เฟิงหลินเหยียดตรง ดวงตาของเขาทอประกายทรงพลัง ออร่าเปล่งประกายจากส่วนลึกภายในตัว มีวิญญาณของมังกรและความดุร้ายของเสือ
พลังที่เพิ่มขึ้นทุกครั้งคือวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตให้เพิ่มสูงขึ้น
มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสิ่งมีชีวิตเกรดต่ำที่จะรู้สึกได้รับแรงกดดันจากสิ่งมีชีวิตระดับสูง นี่เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างขั้นพลัง เหมือนหนูกับแมว ระดับพลังที่ต่ำจะแพ้โดยไม่ต้องต่อสู้
พลังของเฟิงหลินทะลุ16และร่างของเขาก็ใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อ
เขารู้สึกเหมือนการสั่นสะเทือนของภูเขาไฟ ร่างกายของเขาซ่อนพลังจำนวนมหาศาลไว้ มันเงียบสงบภายใต้การควบคุมของเขา แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงก็สามารถระเบิดได้ในทันที พลังนั้นเหมือนลาวาเดือดพุ่งพรวดที่สามารถทำลายทุกสิ่งในเสี้ยววินาที
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงความรู้สึกหิวโหยที่รุนแรงนั้น ลึกๆแล้วเฟิงหลินรู้สึกดีใจ
โชคดีที่เขาไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับยีนของเขาและอดทนรอ เขาชดเชยพลังชีวิตส่วนเกินเขาและเติมเต็มด้วยสารอาหาร
ผู้บ่มเพาะดวงดาวต้องการสารอาหารเพื่อรักษาตัวเอง หากมีการเพิ่มระดับพลังของพวกเขาในระดับที่กว้างขึ้นอย่างมาก มันจะขัดกับกฏการอนุรักษ์พลังงาน และทำให้ร่างกายของพวกเขาเข้าสู่ภาวะขาดสารอาหาร
การบ่มเพาะแต่ละครั้ง เฟิงหลินยิ่งเข้าใจลึกซึ้งขึ้น
การบ่มเพาะนั้นคล้ายกับการสร้างบ้าน คุณไม่สามารถประมาทได้เลย หนึ่งควรวางอิฐแต่ละก้อนอย่างช้าๆและต่อเนื่อง จนกระทั่งในที่สุดสามารถสร้างเป็นตึกระฟ้าได้
มันไม่ง่ายเหมือนการพายเรือต้นน้ำที่ถ้าคุณล้มคุณก็แค่หยุดเคลื่อนไปข้างหน้า แต่นี่ถ้ามันไม่คืบหน้ามันจะนำไปสู่การพังทลายทันที ตกจากท้องฟ้าและกลายเป็นฝุ่น
มีความเสี่ยงอย่างมากที่มาพร้อมกับการฝึกฝน!
การสะสมประสบการณ์อันมีค่าเหล่านี้กลายเป็นสมบัติที่เฟื่องฟูที่สุดของเฟิงหลินในกระบวนการฝึกฝนของเขา
หลังจากเติมสารอาหารด้วยตัวเอง พลังงานทั้งหมดก็ถูกเปลี่ยนเป็นศักยภาพยีน หลังจากนี้เฟิงหลินจะขังตัวในห้องเพื่อเอาชนะการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมองไปที่คลื่นใต้น้ำของดาวอังคารและความขัดแย้งของบริษัทยาไจแอนท์ ความรู้สึกของเขาบอกเขาว่าเขาควรจะเสริมกำลังให้กับร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
เฟิงหลินเงียบลงและเริ่มค้นคว้าศิลปะการต่อสู้ที่เขาเพิ่งได้รับ: รอยประทับฝ่ามือคุนหลุน
นี่คือศิลปะการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ที่ขุดออกมาจากเทพนิยาย มันสิบสองฝ่ามือรวมถึงเทคนิคดาบ และอาวุธอื่นๆ ที่ใช้กันทั่วไปและซับซ้อนก็เช่น รอยประทับดาบสังหารเทพ ค้อนพลิกฟ้า แส้กระหน่ำเทพ…
ศิลปะต่อสู้โบราณฮั่วเซียพัฒนามาจากการต่อสู้ระยะประชิดในสนามรบ ยกตัวอย่างเช่น 8หมัดพิฆาตมาจากเทคนิคหอก, หมัดไทชิมาจากเทคนิคค้อน, และฝ่ามือ8เหลี่ยมก็มาจากเทคนิคการใช้มีด …
รอยประทับฝ่ามือคุนหลุนนี้มีลักษณะอาวุธต่างๆ มันดูเรียบง่ายและไม่โดดเด่น แต่เต็มไปด้วยแก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้
เทคนิคทุกอย่างเป็นแบบพื้นฐาน และสามารถรวมกันได้อย่างอิสระ มีการผสมผสานแก่นของศิลปะการต่อสู้ต่างๆ ไว้ในที่เดียว เทคนิคที่สามารถใช้ได้นั้นไม่มีขอบเขต
เฟิงหลินคิดกับตัวเอง ไม่น่าแปลกใจที่ชายชุดยาวสามารถต่อต้านการโจมตีที่หลากหลายของเขาได้แม้จะไม่ได้อยู่ในระดับความสามารถเท่าเขา
ใครจะคาดคิดว่าชายผู้นั้นจะมีความรู้ลึกล้ำเช่นนี้ น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่วิชายุทธ์ยีนและไม่สามารถควบคุมพลังทางพันธุกรรมได้
ทว่าบางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ศิลปะการต่อสู้นี้เป็นแบบนี้
ศิลปะการต่อสู้ทางพันธุกรรมมีความแข็งแกร่งเพราะพลังแห่งยีน แต่มันก็ยังถูกกำจัดด้วยเอกลักษณ์มันซึ่งกำจัดความยืดหยุ่น
ยกตัวอย่างเช่น หมัดวัชระสยบอสูร ใช้ยีนวัชระเป็นพื้นฐานของพลัง มันอาจยืดหยุ่นได้เช่นเดียวกับไทชิโดยใช้ความนุ่มนวลเพื่อพิชิตความแข็งแกร่งและเปลี่ยนพลังงานโจมตีเป็นของตนเอง
ศิลปะการต่อสู้โบราณไม่มีข้อจำกัดเช่นนี้เนื่องจากตรรกะของศิลปะการต่อสู้มันไม่ได้ถูกจำกัดโดยพันธุศาสตร์และสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากมาย
รอยประทับฝ่ามือคุนหลุนทำให้เฟิงหลินจินตนาการได้มาก – ดาบสังหารเทพ, กระจกหยินหยาง, ค้อนพลิกฟ้า, แส้กระหน่ำเทพ – เหล่านี้ถือเป็นอาวุธตำนานในเทพนิยายฮัวเซีย และมีอำนาจทำลายสวรรค์และโลกได้
รอยประทับเหล่านี้ได้รับการยกย่องในแบบเดียวกับชื่อ ด้วยความสง่างามของอาวุธเพียงหนึ่งในพันหรือแม้แต่หนึ่งในหมื่น อำนาจของมันคือสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
มันไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ทางพันธุกรรม แต่มันก็ยอดเยี่ยมกว่ามาก
เฟิงหลินคาดหวังต่อมันมากขึ้นและเริ่มทดสอบ
ดาบสังหารเทพ!
มือของเฟิงหลินกลายเป็นปลายดาบแทงไปข้างหน้าเหมือนดาบในตำนาน
มันเหมือนจะเป็นการแทงตามปกติ แต่กลับมีเล่ห์เหลี่ยม กล้ามเนื้อบนนิ้วมือของเขาสั่นสะเทือนทำให้อากาศรอบตัวเกิดพลังงานที่มองไม่เห็นตัดผ่านอากาศ เสียงแหลมสูงดังขึ้นแหวกอากาศ ปล่อยรังสีที่เหมือนจะสามารถสังหารเทพและทำลายเทพเจ้าได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงหลินพยายามใช้เทคนิคนี้ และเขาก็ไม่เข้าใจมันดี ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นศักยภาพได้อย่างเต็มที่
รอยประทับฝ่ามือคุนหลุนเป็นศิลปะการต่อสู้โบราณที่เฟิงหลินไม่เคยพบมาก่อน มันมีเทคนิคที่ซับซ้อนมาก แต่ละขั้นตอนต้องใช้ความพิถีพิถัน ลักษณะการกระจายพลังงานที่เข้มงวด
ผู้บ่มเพาะดวงดาวที่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์จึงจะสามารถสั่งการได้อย่างง่ายดาย
เฟิงหลินรีบหยิบยกขึ้นมาพิจารณา กระบวนการเหล่านั้นยากสำหรับคนปกติ – ในระดับที่ดูเหมือนจะขัดกับตรรกะของร่างกายมนุษย์ – เฟิงหลินเชี่ยวชาญเรื่องนี้ในทันที อย่างไรก็ตาม เขายังต้องใช้เวลามากกว่านี้เพื่อดึงเอาศักยภาพมันออกมา
หลังเขาฝึกรอยประทับดาบสังหารเทพ เฟิงหลินก็เริ่มฝึกเทคนิคต่อไปโดยไม่หยุด
รอยประทับค้อนพลิกฟ้า!
เฟิงหลินขยับมือทั้งสองเป็นหมัด กล้ามเนื้อในร่างกายของเขาขยายและหดตัวเหมือนคลื่น ร่างกายของเขารวบรวมพลังงานเอาไว้และใส่ทุกอย่างในหมัดเดียว
ฮ่าห์!
การโจมตีของเฟิงหลินเป็นเหมือนค้อนยักษ์ทุบลงมา ราวกับว่ามันพลิกท้องฟ้าและกดทับโลกมนุษย์ไว้!
อากาศรอบตัวเขาดูเหมือนจะถูกบดขยี้ด้วยพลัง ลมแรงแหวกออกมาจากหมัดของเฟิงหลิน เกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง
“ช่างเป็นเทคนิคที่ร้ายกาจมาก!”เฟิงหลินถึงกับตกตะลึง
รอยประทับค้อนพลิกฟ้าอัดแน่นพลังทั้งหมดไว้ในการโจมตีเดียว มันทรงพลังอย่างยิ่ง
หากลุคสามารถใช้เทคนิคนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มันคงกดดันเฟิงหลินได้
ภายใต้การฝึกของเฟิงหลิน ศักยภาพของรอยประทับฝ่ามือคุนหลุนเริ่มปรากฏขึ้น เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความเร็ว
เหมือนเด็กที่เพิ่งได้รับของเล่นชิ้นโปรด เฟิงหลินไม่สามารถหยุดฝึกได้
รอยประทับแส้กระหน่ำเทพ
เฟิงหลินสะบัดแขนอย่างดุดัน เหมือนแส้ซึ่งเพิ่งฟาดใส่เทพ มันมีพลังมากพอจะฟาดเทพให้ตกลงมาบนพื้นโลก
รอยประทับกระจกหยินหยาง
หยางอยู่ในมือข้างหนึ่งและหยินบนมืออีกข้างหนึ่ง รวมกันเหมือนกระจกสองด้าน ข้างหนึ่งแข็งกร้าวในขณะที่อีกด้านหนึ่งอ่อนโยนมีชีวิตชีวา ไม่มีทางป้องกันมันได้
รอยประทับเชือกมัดเทพ
แขนของเขาไหลลื่น มันทำงานเหมือนเถาองุ่น มันสามารถจับมังกรได้โดยการพันรอบศัตรูด้วยพลังมหาศาล
…
เฟิงหลินฝึกฝนทุกเทคนิคในรอยประทับฝ่ามือคุนหลุน ทุกอย่างมีลักษณะเฉพาะของมันเอง มีเทคนิคกำปั้น เทคนิคค้อน และเทคนิคการจับ …บางเทคนิคอ่อนโยน บางเทคนิคแข็งกระด้าง ทำให้มีรูปแบบที่หลากหลาย
จากการทดลองอย่างไม่หยุดยั้ง เฟิงหลินยิ่งเข้าใจมันยิ่งขึ้น เขาเข้าใจทฤษฎีเบื้องหลังเทคนิคการต่อสู้แต่ละอันที่แตกต่างกัน รวมถึงเทคนิคในการใช้พลังของเขา
ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ทำให้เขาสามารถนำไปใช้กับทักษะการต่อสู้ที่มีลักษณะคล้ายกันได้
รอยประทับฝ่ามือคุนหลุนนี้เปรียบเสมือนเตาที่ให้การต้อนรับทุกสิ่งทุกอย่างผสมผสานเข้ากันอย่างสมบูรณ์
เฟิงหลินดีใจมากถ้าเขาสามารถใช้เทคนิคการต่อสู้โบราณเหล่านี้ได้ ทักษะต่อสู้เขาย่อมแกร่งขึ้นแบบก้าวกระโดด
ในความเป็นจริง โดยไม่คำนึงถึงศิลปะการต่อสู้โบราณหรือทางพันธุกรรม ความแตกต่างที่สำคัญของมันคือการใช้พลังพันธุกรรม แต่ทว่า เทคนิคพื้นฐานสุดก็มีการใช้พลังเหมือนๆกัน
เฟิงหลินเห็นแจ้ง บางทีรอยประทับฝ่ามือคุนหลุนนี้อาจรวมกับศิลปะการต่อสู้ทางพันธุกรรมได้
นั่รเป็นไปได้มาก!
อยู่ๆเขาก็คิดได้ รอยประทับของลุคเคยเปลี่ยนไปก่อนหน้านี้โดยใช้พลังลมและไฟ
ทุกรูปแบบในรอยประทับฝ่ามือคุนหลุนมีความแตกต่างกันมาก แต่มันอาจรวมเข้ากับวิชายุทธ์ยีนที่มีความคล้ายคลึงกับมันได้
ความคิดที่ว่าสามารถใช้วิชายุทธ์ยีนประเภทต่างๆได้อย่างอิสระทำให้เฟิงหลินมีแรงบันดาลใจ
นี่จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนได้ไหม?