ตอนที่ 474 ทั้งโกรธทั้งซาบซึ้ง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 474 ทั้งโกรธทั้งซาบซึ้ง

สภาพจิตใจของอันหลิงเกอในตอนนี้สับสนเป็นอย่างมาก นางขุ่นเคืองการกระทำเมื่อคืนของมู่จวินฮาน แต่ก็ยังซาบซึ้งที่เขาช่วยนางออกมา

ทว่าเจียงอ๋องผู้นั้นแม้ได้รับการปรนนิบัติอย่างสมเกียรติอยู่ในวังหลวง แต่มองแล้วมิเพียงเก่งศิลปะการต่อสู้ระดับสูงเท่านั้น ยังมีความคิดลึกซึ้งอีกด้วย ช่างมิธรรมดาจริง ๆ

วันข้างหน้านางต้องระวังตัวมากกว่านี้

ฝั่งจ้าวหลานหยู่เดิมทีคิดใช้ประโยชน์โรงเกลือเป็นกับดักล่อให้มู่จวินฮานปรากฎตัว คาดมิถึงว่าจักสูญเสียโรงเกลือไปทั้งหลัง ทำให้เขาโกรธแค้นเป็นอย่างมากจึงเก็บกวาดคนที่รับผิดชอบในโรงเกลือจนวอดวาย

บัดนี้ยังมิสามารถบีบมู่จวินฮานได้แม้แต่น้อย

ทุกวันนี้งานราชการของมู่จวินฮานยุ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องออกไปทำงานตั้งแต่ฟ้าสางแล้วกลับมาฟ้าก็มืด บางครั้งยังต้องค้างคืนมิได้กลับจวน

หลายวันต่อมาอาการบาดเจ็บที่ขาของอันหลิงเกอดีขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูร้อนพอดี นางพักต่อไปมิได้จึงพาหมิงซินออกไปเดินเล่น ในสายตาคนนอกแล้วนางสง่างามดั่งคุณหนูในจวนโหวผู้มีฐานะสูงศักดิ์

นอกจากอันหลิงเกอเที่ยวเล่นดื่มกินแล้ว ในความเป็นจริงยังมาตรวจสอบเรื่องราวของจ้าวหลานหยู่อย่างลับ ๆ อีกด้วย

เพราะนางต้องการรู้ว่าจ้าวหลานหยู่มีอำนาจอยู่ในอาณาเขตใดบ้าง

ดูท่าแล้วตอนนี้จ้าวหลานหยู่คงคิดก่อกบฏเป็นแน่ เยี่ยงนั้นพวกนางจำเป็นต้องควบคุมทิศทางทั้งหมดของเขาก่อน

วันนี้อันหลิงเกอตรงมาไหว้พระทำบุญที่วัด

หลังนางทานอาหารเจเสร็จ ในตอนที่เดินไปยังสวนด้านหลังก็ได้ยินพวกสตรีคุยเรื่องบางอย่างด้วยเสียงแผ่วเบา เมื่อฟังอย่างตั้งใจก็พบว่ามีการเอ่ยถึงชื่อเต็มของอันหลิงเกอด้วย!

“อันหลิงเกอผู้นั้นเป็นสตรีที่แต่งงานแล้วทว่ามิปรนนิบัติดูแลท่านอ๋อง ตรงกันข้ามยังทำตัวเหมือนสตรีที่ยังมิได้แต่งงาน เที่ยวเล่นไปทั่วทุกแห่งมิยอมอยู่จวน แต่งงานกับสตรีเยี่ยงนี้สร้างความลำบากให้ท่านอ๋องมู่เสียจริง”

เสียงสตรีอีกคนพูดคล้อยตาม “นั่นน่ะสิ รูปร่างหน้าตาของท่านอ๋องมู่ยังมีสตรีมากมายหมายปองอยากสมรสด้วยทั้งนั้น แต่ถูกยัดเยียดให้พระชายาผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ แต่งชายาที่ไหนกัน แต่งกับพระโพธิสัตว์ที่ต้องกราบไว้ทุกวี่วันชัด ๆ ”

ทั้งสองคนกล่าวพลางหัวเราะเย้ยหยัน

อันหลิงเกอฟังจบ หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน จากนั้นก็เดินหัวเราะออกมาจากด้านหลังของสวน “เจ้าสองคนนินทากันอย่างสนุกปาก ใต้รอยพระพุทธบาทก็ยังกล้าพล่ามเยี่ยงนี้ มิกลัวว่าจักได้รับการลงโทษจากพระองค์หรือ วันข้างหน้าตกนรกก็มิรู้ว่าคิดได้หรือไม่” นางหัวเราะเย็นชาหลังกล่าวยาวเหยียดจนจบและทำให้ความอึดอัดใจดูเหมือนดีขึ้น

ทั้งสองคนคาดมิถึงว่าอันหลิงเกออยู่ที่นี่ด้วยจึงพากันตื่นตกใจ ฝีปากแรงกล้าของอันหลิงเกอมีชัยไปกว่าครึ่ง

สตรีทั้งสองรู้ว่านางร้ายกาจ ใบหน้าถอดสีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาลับหลัง ก่อนเดินจากไปด้วยสีหน้าเศร้าหมองโดยมิพูดอันใดสักคำ

อันหลิงเกอขมวดคิ้วเตรียมเดินตามไปแต่ถูกหมิงซินดึงตัวไว้ “พระชายา ขาของท่านเพิ่งหายดี ส่วนพวกปากเสียเหล่านั้นก็อย่าสนใจเลยเจ้าค่ะ”

แม้อันหลิงเกอมิสบายใจแต่ก็มิได้ใส่ใจต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนภายนอก ดังนั้นจึงส่งเสียง ฮึ ออกมา “ได้ใจพวกนางน่ะสิ!”

“จริงสิ สตรีทั้งสองคนนั้นอยู่กับอี้หวางเฟยใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

ดูเหมือนอันหลิงเกอคิดได้บางอย่างจึงรีบหันมาถามหมิงซิน

“เจ้าหมายความว่าสองคนนั้นเป็นคนสนิทของจวนอ๋องอี้หรือ”

ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอรู้ว่าเหตุใดชื่อเสียงของตนจึงสกปรกอย่างไร้สิ่งใดเทียบเทียมจากปากของพวกนางได้

เดิมทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิได้สร้างผลกระทบอันใดต่ออันหลิงเกอ แต่ระหว่างทางกลับจวนก็พบเรื่องที่สุดแสนรับมิได้ขึ้นมา

อันหลิงเกอเห็นว่ารถม้าโดนบังคับเข้าไปในฝูงชนวุ่นวายจึงเปิดม่านออก กระทั่งได้เห็นเงาอันคุ้นเคยของมู่จวินฮาน

ในเวลานี้เขามิได้แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวทรงเกียรติของท่านอ๋อง แต่แต่งกายด้วยชุดธรรมดาแล้วเดินออกจากหอนางโลมแห่งหนึ่งโดยมีเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งเหยาะ ๆ ตามเขาออกมา จากนั้นก็ยื่นใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันไปข้างหูของเขา มิรู้ว่ากำลังกล่าวอันใดกัน

มู่จวินฮานตอบรับมิกี่ประโยค เด็กสาวผู้นั้นก็คลี่ยิ้มอย่างเอียงอาย

ดีนัก บุรุษที่แต่งงานแล้วยังกล้าหยอกล้อกับเด็กสาวจากหอนางโลมกลางถนน !

เมื่ออันหลิงเกอนึกถึงคำพูดของคนในวัดเมื่อครู่ นางก็ยิ่งโกรธเคือง

นางรีบตะโกนบอกคนขับรถม้าโดยมิคิดอันใด “หยุดรถ”

หมิงซินมองนางด้วยความโง่เขลา “พระชายามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? ”

อันหลิงเกอยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าต้องไปจับชู้ ! ”

กล่าวจบ อันหลิงเกอก็เปิดม่านลงจากรถม้าทันที จากนั้นก็สาวเท้าตรงไปหามู่จวินฮานและเด็กสาวผู้นั้น

หมิงซินก็รีบตามไป

เด็กสาวมีใบหน้าเอียงอายแดงก่ำกำลังกล่าวอันใดบางอย่าง มู่จวินฮานพยักหน้าเหมือนตอบรับแล้วหันหน้ามามองทางนี้

ยามเมื่อเห็นอันหลิงเกอเดินดุ่มเข้ามา เขาก็เลิกคิ้วสูงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ มุมปากกระตุกยิ้มเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

เมื่อเห็นท่าทางของมู่จวินฮานแล้ว อันหลิงเกอก็ยิ่งขุ่นเคืองเข้าไปใหญ่

ลอบคบชู้ต่อหน้าต่อตาเยี่ยงนี้ เห็นพระชายาเดินเข้ามาก็มิหลบ ยังยิ้มอีก!

แม้นางขุ่นเคืองก็ตาม ทว่าเมื่อเดินมาหยุดตรงหน้าของทั้งสอง มุมปากอันหลิงเกอก็ยกยิ้มเล็กน้อย เผยรอยยิ้มมีเสน่ห์ที่สุดออกมา

“ท่านอ๋อง สนมในจวนก็มากมาย เหตุใดท่านยังมาเด็ดดอกหญ้าริมทางอีกเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอเอ่ยกับมู่จวินฮานอย่างเชื่องช้า เสแสร้งหรือ ? นางชำนาญที่สุด !

ด้านหลังนั้นหมิงซินและชิงเฟิงยืนปาดเหงื่ออยู่เงียบๆ พระชายาผู้นี้ช่าง…มิใช่คนธรรมดา

ทั้งสองต่างมองไปยังมู่จวินฮานอย่างเห็นใจ คาดว่าครานี้ท่านอ๋องต้องเสียเปรียบเป็นแน่

นึกมิถึงว่ามู่จวินฮานมิเพียงมิขุ่นเคือง ตรงกันข้ามยังยิ้มบาง ๆ พลางกล่าวว่า “พระชายากล่าวถูกต้อง ข้าคงเย้าแหย่เกินไป มิยับยั้งชั่งใจเลยจริง ๆ ”

อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าหนังหน้าของเขาหนาได้ถึงเพียงนี้จึงยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องกล่าวเยี่ยงนี้ ข้าเกรงว่าต้องเชื่อเสียแล้ว”

มู่จวินฮานยกมือขึ้นมาโอบไหล่ของนางพลางเอ่ยอย่างสนิทสนม “ข้าผิดไปแล้ว ชายาลงโทษข้าได้เลย”

สองคนนี้มิมีใครยอมใคร ใช้อุบายขิงก็ราข่าก็แรง เวลานั้นใบหน้าของเด็กสาวที่ยืนอยู่ก็เปลี่ยนจากแดงเป็นซีดเผือดทั้งยังเปลี่ยนจากซีดเป็นดำคล้ำอีกด้วย นางจ้องไปยังสองคนตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง ก่อนกลืนน้ำลายอึกหนึ่งพลางยกมือปิดหน้าแล้วเดินจากไปด้วยความเสียใจ

อันหลิงเกอมองไปยังร่างอรชรที่วิ่งจากไปแล้วก็ผลักมู่จวินฮานออกด้วยความรังเกียจ “ท่านอ๋องยังมิตามแม่นางน้อยไปอีกหรือเจ้าคะ ? ”

นัยน์ตาของมู่จวินฮานมองนางด้วยความอ่อนโยน “หึงหรือ ? ”

อันหลิงเกอถุยน้ำลายโดยมิรักษาภาพลักษณ์แล้วมองค้อนใส่เขา “หลงตนเอง ! ข้าแค่เป็นห่วงว่าท่านอ๋องจะหลงใหลสตรีที่นี่แล้วสร้างปัญหาให้ข้าต่างหาก ! ”

กล่าวจบ อันหลิงเกอก็หมุนตัวเดินไปยังรถม้า ความโกรธเคืองที่อยู่ในใจมิได้มลายหายไปแต่อย่างใด

“เกอเอ๋อ ข้านั่งรถม้ากลับจวนพร้อมเจ้าดีหรือไม่ ? ” มู่จวินฮานเดินเคียงข้างนางมาติด ๆ

อันหลิงเกอมิได้มองเขา “รถม้าของข้ามิอยากให้สิ่งสกปรกแปดเปื้อนหรอกเจ้าค่ะ”