ตอนที่ 216 เชื่อใจ

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 216 เชื่อใจ

 

“องค์ชาย” หัวหน้าองครักษ์เดินเข้ามาหาอู๋หมิงด้วยท่าทีกังวล คราวก่อนมันก็เคยพบไป๋จูเหวินในวัง ทําให้พอทราบว่าเมืองร้อยแปดอสูรมีความหมายกับองค์ชายแค่ไหน

 

“ใจเย็นก่อยขอรับองค์ชาย ที่นี่ไม่มีศพเลยแม่แต่ศพเดียว”ได้ยินที่หัวหน้าองครักษ์พูด อู๋หมิงก็พลันเบิกตากว้างและมองไปรอบๆตามที่มันได้ยินทันที

 

เป็นอย่างที่หัวหน้าองครักษ์ว่าจริงๆ ภายในเมืองแม้จะพังย่อยยับแต่กลับไม่มีศพเลยแม้แต่ศพเดียว หรือคนของกลุ่มนักล่าอสูรจะหนีไปก่อนที่พวกคนของอาณาจักรฮัวจะบุกเข้ามากัน..

 

ฉึก!! อยู่ๆที่ข้างตัวอู๋หมิงก็มีหนามสีเขียวแทงขึ้นมาจากพื้นดิน ทําเอาเหล่าองครักษ์และเหล่าเชื้อพระวงศ์เตรียมต่อสู้ในทันที

 

“หลินหลิน?”อู๋หมิงขมวดคิ้วพลางมองหนามสีเขียวที่แทงขึ้นมาจากพื้นดิน หลังจากหนามแรกแทงออกมาแล้วหนามที่สอง สาม และ สี่ก็แทงออกมาเช่นกัน ก่อนที่พวกมันจะตะกุยดินรอบๆให้หาบไปจนร่างของหลินหลินปรากฏขึ้นมาบนผืนดิน

 

“ฮ่า ถึงสักที” หลินหลินว่าพลางเปลี่ยนร่างเป็นเด็กสาวน่ารักน่าชังเช่นเดิม แม้ร่างของนางจะเต็มไปด้วยดินก็ตาม

 

ตูม!! ที่ด้านข้างของหลุมที่หลินหลินสร้างขึ้นปรากฏมังกรดินตัวหนึ่งผุดขึ้นมาจากผืนดินราวกับพวกมันพึ่งจําศีลกันมาไม่มีผิด

 

“ตูม!! ราวกับนัดกันมา เหล่ามังกรดินที่ไป๋จูเหวินเคยนํามาเป็นแปลงเพาะปลูกต่างพากันขุดดินขึ้นมายืนบนพื้นอย่างพร้อมเพรียง ทําเอาเหล่าองครักษ์ได้แต่ยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“อยู่ใต้ดินมาตั้งนาน ออกมาแล้วมันแสบตาเหมือนกันนะ”อาวุโส 7 ว่าพลางบิดขี้เกียจไปมา คนที่มีความสุขที่สุดกับการหลบภัยใต้ดินคงเป็นนางนี่ละ

 

“ใครจะไปคิดละว่าเจ้าหนูนั่นจะทํานายอนาคตแม่นขนาดนี้” หวงหลงว่าพลางหัวเราะออกมา ทันทีที่ไป๋จูเหวินทราบว่ามีกองกําลังบุกเข้ามาโจมตีเมืองร้อยแปดอสูร มันก็เสนอความคิดให้พวกมันหลบหนี แต่พวกมันกลับโดนล้อมเอาไว้ทุกทาง พวกมันเลยตัดสินใจใช้มังกรดินที่จับมาก่อนหน้านี้และหลินหลินที่ชํานานการขุดอยู่แล้วช่วยกันสร้างหลุมหลบภัยที่ลึกจนพลังวิญญาณของอีกฝ่ายยังไม่สามารถตรวจสอบได้ สุกท้ายพวกมันเลยได้แต่ทําลายเมืองเปล่าๆ เท่านั้น

 

“พวกเจ้า” อู๋หมิงมองเหล่านักล่าอสูรที่พากันเดินออกมาจากหลุมหลบภัยขนาดยักษ์ด้วยความตกตะลึงปนโล่งใจ

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเราไม่ได้ตายกันง่ายๆ แบบนั้นหรอก”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางเดินมาทางอู๋หมิง เพราะมันมีดวงตาของอสูรแมงมุมทําให้มันเห็นภาพตอนที่อู๋หมิงเดินเข้ามาในเมืองอย่างชัดเจน ท่าทางที่มันเจ็บใจเมื่อรู้ว่าเมืองร้อยแปดอสูรพังไม่เหลือชิ้นดีนั้นทําให้ไป๋จูเหวินดีใจอยู่ไม่น้อย เพราะหากมันเป็นอะไรไปจริงๆก็ยังมีสหายผู้นี้คอยเห็นอกเห็นใจแน่นอน

 

“พวกเจ้านี่หาทางรอดได้สมกับเป็นนักล่าอสูรจริงๆ”อู๋หมิงหัวเราะพลางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จะว่าไปนี่เป็นวันแรกเลยกระมังที่มันไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังเลย

 

“จะเข้าใจผิดก็ไม่แปลกหรอก อสูรปักเป้าของพี่ไปถล่มเมืองเสียพังยับเยินเลย” เหม่ยหลินว่าพลางส่ายหน้าไปมาเพราะพวกนางโดนล้มเอาไว้ทุกด้าน พวกนางเลยล่อให้พวกมันเข้ามาในเมืองแล้วให้อสูรปักเป้าถล่มเสียทีเดียว ตอนที่ถล่มนั้นเล่นเอาหลุมหลบภัยแทบโดนทับ โชคดีที่ให้หลินหลินสร้างกําแพงหินขึ้นมาในหลุมหลบภัยก่อนไม่อย่างนั้นคงโดนแรงสั่นสะเทือนจากอสูรปักเป้าถล่มหลุมหลบภัยแน่ๆ

 

“แต่แบบนี้พวกเราก็ไม่มีที่อยู่ไปสักพัก ไม่ทราบว่าพวกเราจะขอไปพักที่เขตเมืองหลวงได้หรือไม่” หวงหลงถามพลางมองไปทางอู๋หมิง

 

“ดะได้สิ” อู๋หมิงตอบพลางพยักหน้าช้าๆ นั่นทําให้ขบวนรถขององค์จักรพรรดิมีเหล่าอสูรเพิ่มขึ้นมาอีกหลายพันหลายหมื่นตัว แน่นอนว่าองค์จักรพรรดิเองก็เห็นด้วยที่จะให้กลุ่มนักล่าอสูรใช้พื้นที่รอบๆเมืองหลวงในการตั้งรกรากชั่วคราวไปก่อน

 

“เกิดอะไรขึ้นกับซูหลานงั้นเหรอ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองไปทางซูหลานที่นั่งหลบอยู่มุมหนึ่งของรถม้า ตั้งแต่ไป๋จูเหวินขึ้นมาก็เห็นท่าที่นางผิดปกติมาแต่แรกแล้ว

 

“เรื่องมัน…”อู๋หมิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไป๋จูเหวินฟัง ทําให้แม้แต่ไป๋จูเหวินเองยังแปลกใจที่ซูหลานแทงชูเฟิง โดยอู๋หมิงคาดว่าซูหลานอาจจะโดนสะกดจิตก็เป็นได้

 

“ไม่หรอก”ไป๋จูเหวินส่ายหน้า แม้จะเป็นท่านน้าจิ้งจอก แต่การสะกดจิตก็เป็นเรื่องยาก โลกนี้ไม่มีมนตร์คาถาที่ทําให้คนทําตามสิ่งที่ตนอยากให้ทําได้หรอก

 

วูบ! ไป๋จูเหวินเปลี่ยนดวงตาตัวเองเป็นสีม่วงพลางเพ่งมองไปรอบๆร่างของซูหลาน ตอนที่นางโดนลักพาตัวไปนางต้องโดนทําอะไรบางอย่างมาแน่นอน และหากเป็นสิ่งที่ไป๋จูเหวินคิดเอาไว้ มันก็สามารถรักษาได้

 

“จริงๆด้วย”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินเข้าไปหาซูหลาน

 

หมับ! ไป๋จูเหวินจับไปที่ข้อมือของซูหลานพลางดึงมือของนางออกมา ทําให้ซูหลานที่เอาแต่เหม่อลอยอยู่สะดุ้งโหยงทันที แต่เมื่อเห็นว่าคนที่จับมือนางอยู่คือไป๋จูเหวินแถมพ่อแม่รวมทั้งพี่น้องของนางไม่มีท่าทีห้ามเขาแม้แต่คนเดียว นางเลยได้แต่มองว่าไป๋จูเหวินจะทําอะไรกันแน่

 

วูบ..ซูหลานสัมผัสได้ว่าพลังของไป๋จูเหวินไหลเข้ามาในแขนของนาง ก่อนที่จะรู้สึกว่าที่แขนของนางนั้นมีบางอย่างกําลังขยับอยู่

 

ซู่…อยู่ๆที่แขนของซูหลานก็ปรากฏร่างยาวๆราวกับเป็นร่างของหนอนชนิดหนึ่งแทงออกมาจากภายในแขน ภาพสยดสยองตรงหน้าทําเอาเหล่าเชื้อพระวงศ์ตะลึงกันไปหมด แม้แต่อู๋หมิงเองยังไม่ทราบว่ามันคืออะไร

 

“มันคือปรสิตชักใย”ไป๋จูเหวินว่าพลางดึงร่างของมันออกมาจากแขนทั้งสองข้างของซูหลาน ตัวหนอนเป็นสีเขียวเข้มมีลายสีเขียวอ่อนเป็นเส้นๆราวกับเส้นเลือด โดยที่หัวของมันจะมีหนวดยาวเส้นหนึ่งดูแล้วน่าขนลุกไม่น้อย

 

“เจ้าพวกนี้มักจะเข้าไปอาศัยร่างของอสูรกินพืชเพื่อบังคับให้มันล่าเหยื่อ ที่ซูหลานแทงมีดออกไป น่าจะเพราะเจ้านี่มากกว่า”ไป๋จูเหวินนําขวดแก้วออกมาขวดหนึ่งเพื่อเก็บเจ้าปรสิตทั้ง 2 ตัวเอาไว้ แม้จะรูปร่างเล็กและเหมือนแมลง แต่พวกมันเป็นอสูรระดับทอง นั่นก็คือพวกมันมีความสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง การที่มันบังคับร่างของซูหลานให้แทงชูเฟิงนั้นน่าจะเพราะพวกมันได้รับคําสั่งมาจากคนที่ลักพาตัวซูหลานนั่นเอง

 

“อสูรช่างลึกลับจริงๆ แม้แต่ปรสิตเช่นนี้ก็มีด้วย”องค์จักรพรรดิยังมีท่าทีตื่นตกใจไม่หาย ของพวกนี้น่าขนลุกจริงๆ ต้องเป็นคนเช่นไรถึงจะศึกษาและฝึกฝนอสูรประเภทนี้จนเชี่ยวชาน

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าคนที่แทงไม่ใช่ซูหลาน แต่เป็นเจ้าอสูรนี้ต่างหากสินะ” หมิงว่าพลางทําสีหน้าครุ่นคิด เช่นนั้นมันก็พอจะอธิบายให้อาณาจักรชูเข้าใจได้โดยการนําปรสิตชักใยไปให้พวกมันได้เห็น แต่ตอนนี้อารมของคนในอาณาจักรชูคงยังร้อนระอุอยู่เป็นแน่

 

“ได้ยินไหมซูหลาน คนที่ทําคือคนของอาณาจักรฮัวต่างหาก” พระมเหสีได้ยินเรื่องก็พลันเข้าไปหาซูหลานทันที ตั้งแต่นางโดนเจ้าปรสิตนั่นควบคุม นางก็หลบหน้าทุกคนไม่ยอมพูดคุกับใครเลย ทําให้มารดาของนางเป็นห่วงมาก

 

“เจ้าค่ะ” ซูหลานพูดพลางพยักหน้าเบาๆ แม้เรื่องที่นางแทงชูเฟิงจะไม่หายไป แต่อย่างน้อยนางก็วางใจตัวเองได้แล้วว่านางจะไม่แทงใครโดยไม่รู้ตัวอีก ถึงจะไม่มากแต่นางก็เบาใจลงในระดับหนึ่ง

 

หลังจากนั้นขบวนรถขององค์จักรพรรดิก็กลับมาถึงเมืองหลวง โดยระหว่างแทงพวกมันได้รับคนของสมาคมแพทย์กลับมาที่ด้วยเพื่อเริ่มผลิตยาสําหรับใช้ในสงคราม แน่นอนว่าเพราะเข้าสู่สภาพวะสงครามแล้วองค์จักรพรรดิที่พึ่งกลับมาเลยเข้าท้องพระโรงเพื่อหารือประชุมกับเหล่าขุนนางในทันที

 

“ที่ชายแดนทางเหนือ แม่ทัพออู๋ชิงหลางสามารถต้านพวกอาราจักรซุยเอาไว้ได้แล้วขอรับ อาราจักรเล็กๆนั่นต้องใช้เวลามากที่เดียวในการตีฝ่าเข้ามา” ขุนนางคนหนึ่งรายงานพลางยื่นจดหมายจากชายแดนระหว่างอาณาจักรอู๋และอาณาจักรซุยมาให้

 

ตอนแรกอู๋หมิงและองค์จักรพรรดิตกใจมากที่ทั้ง 3 อาณาจักรนั่นคือ ฮัว จง และ ซูย ร่วมกันโจมตีอาณาจักรของพวกมันตอนที่พวกมันเดินทางไปอาณาจักรซู แต่หลังจากขุนนางน้อยใหญ่รายงานสถานการณ์ อู๋หมิงที่ฟังอยู่ข้างๆองค์จักรพรรดิก็โล่งใจขึ้นมาก

 

แม้จะรับศึกหนักจาก 3 อาณาจักร แต่ยอดคนของอาณาจักรอู๋ก็น่าเชื่อถือได้จริงๆ พวกมันสามารถรวมคนและออกไปต้านทัพทันทีที่พวกอาณาจักรอื่นบุกเข้ามา แม้จะเสียเมืองหน้าด่านไปบ้าง แต่ผลลับที่ออกมาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

 

“อู๋หมิง”องค์จักรพรรดิพูดพลางเอนหลังพิงบัลลังก์อย่างเหนื่อยอ่อน

 

“ขอรับเสด็จพ่อ”อู๋หมิงรับคําพลางมองไปทางพระองค์

 

“เจ้าคิดว่าคนของอาณาจักรเราเป็นเช่นไร”ได้ยินคําถามจากบิดา อู๋หมิงก็มองกองรายงานที่อยู่ตรงหน้าโต๊ะของบิดาอย่างภูมิใจ

 

“อาณาจักรเราเป็นอาณาจักรที่โชคดีมากขอรับที่มียอดคนเหล่านี้คอยช่วยเหลือ”อู๋หมิงตอบเสียงเรียบ แต่ก็ทําให้เหล่าขุนนางรอบๆแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างช่วยไม่ได้

 

“ข้าอยากให้เจ้าเชื่อใจพวกมัน แม้พวกมันจะชอบขัดแย้งกันเอง แบ่งพักแบ่งพวก แต่ยามที่ศึกเข้าบ้านพวกมันจะร่วมกันหันคมดาบเข้าหาศัตรู เมื่อนั้นพลังของพวกมันคือสิ่งที่พวกเราต้องการ”องค์จักรพรรดิว่าพลางถอนหายใจออกมา

 

“น่าเสียดายที่พวกมันมีผู้นําที่ไม่เอาไหนอย่างข้า”ได้ยินเช่นนั้นเหล่าขุนนางต่างก็สะดุ้งโหยง พวกมันพยายามปลอบใจองค์จักรพรรดิ แต่ดูเหมือนองค์จักรพรรดิไม่ได้กําลังตัดพ้ออย่างที่พวกมันคิด

 

“อู๋หมิง พ่อเชื่อว่าเจ้าจะเป็นผู้นําในยามสงครามได้ดีกว่าพ่อ”ได้ยินเช่นนั้นทั้งอู๋หมิงทั้งเหล่าขุนนางต่างก็ทราบทันทีว่าพระองค์หมายถึงสิ่งใด

 

“มาเถอะ เจ้ามานั่งตรงนี้ มาช่วยดูให้หน่อยว่าเราควรทําเช่นไรต่อ” องค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนพลางปล่อยให้บัลลังก์ว่างลงท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนาง ยามนี้สายตาของพวกมันต่างมองไปที่อู๋หมิงเป็นตาเดียว

 

“ขอรับ”อู๋หมิงรับคําพลางลุกขึ้นช้าๆ ตัวมันเตรียมตัวมาแล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทําได้ดีหรือไม่ แต่ในสภาวะสงครามเช่นนี้คนรักสงบอย่างเสด็จพ่อไม่อาจคิดแผนรับมือได้ การยกตําแหน่งให้มันถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

 

ตุบ… แม้จะเป็นการนั่งเก้าอี้ธรรมดาๆ แต่เก้าอี้ที่ว่ากลับเป็นบัลลังก์ของจักรพรรดิทําให้มันต่างจากการนั่งเก้าอี้ปกติมาก

 

“ข้อพระองค์ทรงกระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี” เหล่าขุนนางเห็นเช่นนั้นก็พากันคุกเข่าอวยพรแก่อู๋หมิงอย่างรู้งาน ยามนี้แม้จะไม่เป็นทางการตําแหนางองค์จักรพรรดิได้เปลี่ยนไปแล้ว