บทที่ 952 เตรียมจะทำคนเดียว โดย Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นเขาไม่อยากพูดอะไรมาก วรยุทธ์ของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ เหมียวอี้รู้ว่าตัวเองกดดันถามไปก็ไม่ได้เรื่องอะไร จึงไม่มัวพัวกับปัญหานี้อีก ถึงอย่างไรของก็ตกอยู่ในมือตนแล้ว เรื่องอื่นไม่เกี่ยวอะไรกับตน ขั้นต่อไปก็คือหาทางตามหาเคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดิน โดยอิงจากคำแนะนำในกระจกทองแดง
“ผู้อาวุโสยังมีอย่างอื่นจะกำชับอีกหรือไม่?” เหมียวอี้ถามอีก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เขาก็จะกลับไปคิดหาทางค้นหาสิ่งของต่อไป เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นสนุก
“มิบังอาจจะกำชับอะไรหรอก เพียงหวังว่าท่านจะไม่ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเรา” ผู้อาวุโสมู่เซินกล่าว
พูดถึงคำสัญญาอะไรกัน เหมียวอี้พูดไม่ออก เขามั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ตนจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ต้องรับการทดสอบตัวจริงต้องรักษาสัญญาอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “สัญญาอะไรเหรอ?”
ผลก็คือผู้อาวุโสมู่เซินหลีกเลี่ยงที่จะตอบ “กุญแจอยู่ในมือท่านแล้ว เดี๋ยวท่านก็เจอคำตอบเอง” พูดจบก็กระทุ้งไม้เท้าบนพื้น ทางเข้าโพรงไม้ที่ปิดสนิทเลื้อยขยุกขยิกเปิดออกอีกครั้ง
ตอนนี้หมิงจ้าวไปพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับมู่หลินหลางแล้ว สุดท้ายก็ถามอ้อมๆ ว่า “ภาษาที่ผู้อาวุโสมู่เซินสวดใส่วงล้อเติมคำก่อนหน้านี้ ข้าฟังไม่ออกเลยสักคำ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสสวดอะไร ทำไมถึงทำให้พวกท่านตื่นเต้นฮึกเหิมขนาดนั้น?”
หลังจากมู่หลินหลางยกจอกสุราให้เขา ก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ภาษาที่เป็นหนึ่งเดียวหลังจากปกครองจักรวาลผืนนี้หรอก ที่ผู้อาวุโสสวดคือภาษาที่เผ่าปีศาจของพวกเราถ่ายทอดกันมาตั้งแต่โบราณ บอกว่าพวกเราหาแขกผู้มีเกียรติสูงสุดพบแล้ว เทพแห่งโชคลาภจะประทานอนาคตที่ดีงามและสงบสุขให้พวกเรา!”
“เฉลิมฉลองอย่างฮึกเหิมเพื่อสิ่งนี้น่ะเหรอ?” หมิงจ้าวงุนงง
มู่หลินหลางตอบอย่างปีติยินดี “แน่นอนสิ! เจ้าก็รู้ว่าเผ่าปีศาจของเราไม่ชอบวิธีการใช้ชีวิตแบบพวกเจ้า เราหวังเพียงจะได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ตลอดไป อยู่อย่างสงบสุขตลอดไป ใช้ชีวิตอยู่ในป่าอย่างงดงาม ป่าไม้สามารถประทานสิ่งจำเป็นทุกอย่างในการใช้ชีวิตให้พวกเราได้ สิ่งนี้ไม่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองหรอกหรือ?”
หมิงจ้าวพูดไม่ออก เข้าใจเช่นกันว่าค่านิยมของทั้งสองฝ่ายไม่มีทางหลอมรวมกันได้ เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายไม่เหมือนกำลังหลอกลวง แถมเผ่าปีศาจก็ไม่มีนิสัยหลอกลวงด้วย บางทีอาจจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ
ในขณะนี้เอง เหมียวอี้เหาะลงจากต้นไม้ใหญ่ เดินกลับมาแล้ว เข้ามาร่วมกลุ่มอยู่กับทุกคนต่อไป พบว่าสายตาที่ทุกคนมองตนดูแปลกไปนิดหน่อย เขาเองก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน
จนกระทั่งการฉลองที่สนุกสนานจบลง ผู้อาวุโสมู่เซินกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย
หลังจากกลับมาถึงที่พักที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างอื่นแล้ว ประโยคแรกที่หมิงจ้าวถามเหมียวอี้ก็คือ “ฆราวาส เจ้าเติมคำว่าอะไรบนวงล้อเติมคำถึงได้ผ่านการทดสอบ?”
เหมียวอี้รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องเข้ามาถามเรื่องนี้ แต่จะบอกความจริงได้อย่างไรล่ะ พวกเจ้าป้องกันข้า ก็แสดงว่าไม่เชื่อใจข้า แล้วทำไมข้าจะป้องกันพวกเจ้าบ้างไม่ได้ จึงเอามือเกาหัวทันที “ข้าเองก็ไม่อยากผ่านการทดสอบอะไรนี่เลย หลังจากโดนพวกท่านกดดันให้ขึ้นไป พอคิดไปคิดมาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เติมไปส่งเดชแปดตัวอักษร ใครจะคิดว่าจะผ่านแบบทดสอบไปแบบงงๆ ก็ช่วยไม่ได้ สงสัยข้าจะเกิดมาเพื่อเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขา”
พอเขาตอบบนี้ ทุกคนก็เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? แต่คิดไปคิดมาก็ไม่มีใครสงสัยอะไร ตอนนั้นเจ้าบ้านี่โดนกลุ่มปีศาจดึงตัวไป เจ้าตัวไม่อยากขึ้นไปเล่นเลย โดนกดดันให้ขึ้นไปจริงๆ
“ฆราวาสเติมคำว่าอะไรกันแน่?” หมิงจ้าวขอหลักฐานต่อ
เหมียวอี้เอามือลูบคางทำท่านึกย้อนไป “เหมือนจะเป็น ‘ภูตผีมารปีศาจ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก’ เหมือนข้าจะเติมไปแบบนี้นะ ตอนนั้นก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว เหมือนจะเติมไปแบบนี้แหละ”
ทุกคนอึ้งไปชั่วขณะ รวมทั้งหมิงจ้าวด้วย พากันครุ่นคิดพึมพำอยู่อย่างนั้น “ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง ภูตผีมารปีศาจ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก…”
ทุกคนพึมพำซ้ำๆ รู้สึกว่าการเติมคำของเหมียวอี้เหมือนจะถูกแต่ก็เหมือนไม่ถูก แต่ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เขาเหมือนแกล้งถูกเลือกให้เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดจริงๆ ไม่ว่าผู้ที่มาจะเป็นมารหรือภูตผีหรือปีศาจก็ล้วนเป็นแขกของที่นี่เหรอ บางทีเดาไปแบบนี้ก็อาจจะถูกเหมือนกัน
เพียงแต่ว่า… ถ้าทำแบบนี้แล้วยังผ่านการทดสอบได้ ทุกคนก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ว ตัวเองลำบากใช้สมองครุ่นคิดไปตั้งมากมาย แต่ก็ยังสู้เจ้าเด็กนี่ที่ยังเติมคำไปมั่วๆ ไม่ได้
ไม่ว่าจะจริงหรือหลอก เหมียวอี้ก็ผ่านการทดสอบแล้ว จงหลีค่วยก้าวขึ้นมาถาม “ผู้อาวุโสมู่เซินเชิญเจ้าขึ้นไปทำอะไร?”
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเขาเชิญข้าขึ้นไปทำไม”
จงหลีค่วยถลึงตาถาม “เหลวไหล! เจ้าเป็นคนไปเองแท้ๆ เจ้าไม่รู้แล้วใครจะรู้? ข้าว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ซื่อสัตย์แล้วมั้ง!”
เหมียวอี้จะตกหลุมพรางนี้ได้อย่างไร พูดเหน็บแนมกลับทันที “ข้าขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น แล้วมู่เซินกับธิดาศักดิ์สิทธิ์นั่นก็เดินวนรอบตัวข้า ปากก็พูดพึมพำภาษาที่ข้าฟังไม่เข้าใจ ทำเหมือนร่ายมนตร์กับอวยพรอย่างนั้นแหละ พอเดินวนเสร็จก็เชิญให้ข้าลงมา ข้าถามว่าหมายความว่าอะไร พวกเขาก็ไม่ยอมบอก ข้าจะไปรู้เหรอว่าพวกเขาเชิญข้าขึ้นไปทำอะไร? ลุงหนวด ถ้าท่านเก่งนักก็ช่วยข้าแปลหน่อยสิว่าพวกเขากำลังทำอะไรกับข้า?”
“…” จงหลีค่วยพูดไม่ออก ที่ผู้อาวุโสมู่เซินสวดคาถาใส่วงล้อเติมคำก่อนหน้านี้ ทุกคนก็ได้ยินหมดแล้ว ถ้าเล่นแบบนั้นจริงๆ เขาก็แปลไม่ออกแล้ว
หมิงจ้าวถอนหายใจแล้วบอกว่า “คงจะเป็นภาษาของเผ่าปีศาจ ช่างเถอะ! จะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดหรือไม่ ก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกเรา ทุกคนอย่าลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาที่นี่ นั่นต่างหากคือเรื่องหลักที่พวกเราต้องทำ ทุกคนพักผ่อนบำรุงกำลังวังชาให้เต็มที่ พรุ่งนี้เช้าจะเริ่มคุ้นหาบริวเวณนี้ตามแผน”
“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่ง แล้วต่างคนต่างกลับไปนั่งขัดสมาธิ
เช้าตรู่วันต่อมา ขณะที่แสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่ตรงเส้นขอบฟ้า หมิงจ้าวก็ไปเจรจาหารือกับผู้อาวุโสมู่เซิน จากนั้นก็กลับมาวางแผนนิดหน่อย แบ่งคนสิบสามคนออกเป็นหกกลุ่ม เหมียวอี้กับจงหลีค่วยอยู่กลุ่มเดียวกับหมิงจ้าวเหมือนที่กำหนดไว้ตอนแรก แล้วแยกย้ายกันค้นหาโดยยึดตรงนี้เป็นจุดศูนย์กลาง
บริเวณที่เผ่าปีศาจอยู่รวมกัน ไม่ต้องพูดถึงทิวทัศน์เลย ลำพังแค่ต้นไม้ใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วทุกที่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ในสถานที่ทั่วไปแล้ว แม้แต่เถาวัลย์เก่าแก่ที่โยงใยกันอยู่ในป่าก็ใหญ่เท่าต้นขาแล้ว ทั้งยังมีพวกพืชพรรณเรืองแสงตอนกลางคืนที่อยู่ระหว่างป่าหรือไม่ก็หุบเขาประหลาดอันตราย บางครั้งยามยืนยืนอยู่ข้างน้ำตกลำธารตอนกลางคืน ฉากนั้นเหมือนอยู่ในความฝันจริงๆ งดงามจนทำให้คนต้องยกนิ้ว
บริเวณนี้แทบจะมองไม่เห็นสัตว์ใหญ่ชนิดใดเลย ย่อมเป็นเพราะกำจัดออกไปหมดเพื่อปลูกกิ่งหยกเหลือง ถ้ามีสัตว์เกะกะมากไปจะทำให้กิ่งหยกเหลืองที่ปลูกไว้เสียหาย
ไม่ต้องสงสัยเลย สถานที่ที่ต้นไม้เติบโตจนน่าทึ่งแบบนี้ จะต้องเป็นทำเลยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกกิ่งหยกเหลืองแน่นอน ดังนั้นตรงใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณนี้ โดนส่วนใหญ่จะปลูกกิ่งหยกเหลืองเอาไว้ ทำให้คนที่เห็นใจสั่นหวั่นไหว แต่หมิงจ้าวดันออกคำสั่งกับทุกคนไว้ว่าห้ามแตะต้อง ถึงแม้เผ่าปีศาจจะปลูกพืชพวกนี้ไว้ แต่ที่จริงแล้วช่วยปลูกให้ปราสาทแมกไม้ทั้งหมด เป็นช่องทางรายได้หลักของปราสาทแมกไม้ ถ้าไปแตะต้องสมบัติของเขาซี้ซั้ว นอกจากจะสร้างปัญหาแล้ว ปราสาทดำเนินนภากับปราสาทแมกไม้ยังเป็นคนในเส้นทางเดียวกันด้วย ล้วนเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ ยังคบค้าสมาคมกัน ถ้าไปขโมยสมบัติของคนอื่น อย่าว่าแต่ปราสาทแมกไม้จะมาคิดบัญชีเลย ปราสาทดำเนินนภาเองก็ไม่ยกโทษให้ลูกศิษย์ของตัวเองเช่นกัน
เหมียวอี้ก็ยิ่งถูกเตือนซ้ำๆ ว่าอย่าแตะต้องของที่นี่ซี้ซั้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ไม่สบอารมณ์มาก เห็นข้าเป็นคนยังไงไปแล้ว จำเป็นต้องสั่งข้าซ้ำๆ แบบนี้มั้ย?
ว่ากันตามจริง เขาเองก็อยากจะแตะต้องเหมือนกัน ตัวเองแต่งเมียมาตั้งหลายคน ต้องมีสมบัติไปเลี้ยงสิ! ในโลกมนุษย์ เวลาแต่งงานมีภรรยาก็ต้องหาข้าวให้กิน ไม่มีผู้หญิงคนไหนแต่งงานกับเจ้าเพื่อปรนนิบัติและนอนกับเจ้าอย่างเดียวหรอก พวกนางก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนกัน การใช้ชีวิตก็ต้องมีช่องทางทำเงิน เห็นท่าทางของอวิ๋นจือชิวตอนมาตลาดสวรรค์ครั้งแรกแล้วอยากซื้อของแต่เงินไม่พอมั้ยล่ะ ขนาดท่านขุนนางเหมียวยังทนมองไม่ไหว รู้สึกผิดอยู่สามส่วน!
กิ่งหยกเหลืองมากมายขนาดนี้ ถ้านำกลับไปได้จะต้องร่ำรวยเป็นเศรษฐีแน่นอน… แต่ก่อนที่จะหาเคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานพบ ก่อนที่จะได้สมบัติของราชันลัทธิมารในปีนั้นมา เขาก็ไม่อยากจะก่อเรื่องจนตัวเองเสียการเสียงาน เขาไม่ถึงกับแยกแยะความสำคัญไม่ออก กลับเตือนจงหลีค่วยด้วยซ้ำว่าอย่าแตะต้องของคนอื่นซี้ซั้ว จะได้ไม่ทำให้ตนลำบากไปด้วย
จงหลีค่วยกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชื่นชมกิ่งหยกเหลืองต้นใหญ่ที่พบเห็นได้ยาก พอได้ยินเหมียวอี้เตือนแบบนี้ ก็รู้สึกเหมือนโดนสบประมาท จึงตะคอกตอบว่า “เจ้าคุมตัวเองให้ดีก่อนเถอะน่า!”
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า ทุกคนก็ยังไม่พบอะไรเลย แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สับเปลี่ยนอาณาเขตกันค้นหาไม่หยุดเพราะกลัวจะตกหล่น
หลังจากผ่านไปหนึ่งปี เหมียวอี้ที่ได้สลับมาค้นหาบริเวณตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูกดีอกดีใจมาก แต่ก็ยังไม่แสดงออกทางสีหน้า อดทนไว้ตลอด เพราะไม่มีทางเลือก ถ้าจะให้แย่งของกับปราสาทดำเนินนภาก็แย่งไม่ชนะ ทำได้เพียงคาดคะเนเงียบๆ ว่าจุดศูนย์กลางคือตรงไหน เตรียมจะกำหนดตำแหน่งไว้เงียบๆ แล้วหาโอกาสฮุบไว้คนเดียว จะประมาทเลินเล่อไม่ได้เด็ดขาด
“เหม่ออะไรของเจ้า?”
เมื่อหาจุดศูนย์กลางระหว่างภูเขาสามลูกได้แล้ว มันอยู่ตรงภูเขาหินที่เงียบสงบไม่สะดุดตา เนื่องจากปัญหาของสภาพพื้นดิน ด้านบนจึงไม่มีพืชอะไรงอกขึ้นมา มีแค่พวกวัชพืชและไม้เลื้อยที่ขึ้นตามซอกหินนิดหน่อย แต่ภูเขาลูกนี้น่าจะเป็นยอดเขาที่เคยโดนคนถากให้เรียบไม่รู้ตั้งกี่ปีมาแล้ว
เหมียวอี้คิดจนเหม่อลอย เป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญขนาดนี้ สงสัยคนที่ทิ้งของไว้จะทำสัญลักษณ์ตำแหน่งที่แน่นอนเอาไว้เพื่อให้ค้นหาได้สะดวก จุดศูนย์กลางระหว่างสามภูเขาคือตรงนี้แน่นอน
จงหลีค่วยเห็นเขาเหม่อลอย จึงโพล่งถามไปส่งเดช
“ไม่มีอะไรนี่?” เหมียวอี้ส่ายหน้า ไม่อยากตกเป็นที่ต้องสงสัย เตรียมจะเดินหนี
แต่ใครจะคิดว่าหลังจากหมิงจ้าวเดินดูจนทั่วแล้ว จู่ๆ ก็บอกว่า “สถานที่นี้เหมือนจะเกิดจากฝีมือมนุษย์นะ ดูจากหินที่ตากแดดตากฝนจนเสื่อมโทรม เวลาผ่านไปนานมาก ดีไม่ดีอาจจะมีเบาะแส ไปตรวจดูให้ละเอียดสักหน่อย”
“เหมือนจะเป็นแบบนี้จริงๆ” จงหลีค่วยที่หันมองรอบๆ พยักหน้าอย่างแปลกใจ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดูรอบๆ ทันที
เหมียวอี้รู้สึกตึงเครียดในใจทันที แสร้งทำเป็นสำรวจตาม
ผลลัพธ์ถูกลิขิตไว้แล้ว ร่ายอิทธิฤทธิ์ทะลุลงไปค้นหาใต้ดินก็ไม่มีประโยชน์ นั่นคือภูเขาหินที่แท้จริง ข้างในไม่ได้ซ่อนของอะไรเอาไว้
ด้วยวิธีการเดียวกัน อีกสิบกว่าคนเหมือนจะร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจภูเขาและพื้นดินบริเวณนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง แม้แต่ในแม่น้ำก็ไม่ปล่อยผ่าน แต่ก็ไม่พบสถานที่ไหนที่สามารถซ่อนสมบัติได้เลย พวกถ้ำภูเขาที่หาพบก็เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่พบที่ซ่อนสมบัติ มีแต่ทำให้สัตว์เล็กที่หลบอยู่ในถ้ำตกใจ
การค้นหาครั้งนี้ หลายครั้งแล้วที่ไม่ยอมแพ้ หาแล้วหาอีก หาซ้ำไปซ้ำมา หลังจากหาเป็นเวลาสามปีเต็ม ในที่สุดปราสาทดำเนินนภาก็ยอมแพ้แล้ว เหมือนที่เหมียวอี้เดาไว้ตอนแรก สงสัยว่ามีคนเจตนาไม่ดีอยากยุให้รําตําให้รั่ว จึงจงใจปล่อยแผนที่ฉบับนี้ออกมา
หมิงจ้าวที่ลำบากค้นหาอยู่นานสามปี ตอนนี้นำพาทุกคนเหาะอยู่บนฟ้าและมองลงมาด้านล่าง เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หลับหูหลับตาทำงานมาตั้งนาน
“กลับกันเถอะ!” หมิงจ้าวโบกมือเรียก แล้วนำทุกคนเหาะผ่านฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่กลับทางเก่าต่างก็รู้สึกอับจนหนทาง มีเพียงเหมียวอี้ที่แอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง เขาถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดมาตลอด กอปรกับไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เขาเฝ้ารอวันนี้มานานมาก ต่อไปก็ถึงเวลาที่เขาจะทำคนเดียวแล้ว
แต่เขาก็เคลือบแคลงใจอยู่บ้าง ทุกคนค้นหาที่นี่จนทั่วเป็นเวลาหลายปี ทำขนาดนี้ยังหาไม่เจออีกเหรอ ของจะไปซ่อนอยู่ตรงไหนได้ล่ะ?
…………………………