เทาเท่ดึงเนกไทตัวเองอย่างหัวเสีย เขารู้ว่าทำไมเธอจึงบล็อกเขา เพราะเขาสั่งให้เธอจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจเทาวน์
อารมณ์เธอ…โมโหร้ายขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกกว่าจะเพิ่มเพื่อนในวีแชทเธอได้ลำบากยากเย็นแค่ไหน ตอนนี้เธอกลับมาบล็อกเขาเสียง่ายๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากต้องไปเจอแบบตัวต่อตัว คงไม่มีหนทางอื่นที่จะติดต่อเธอได้
ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกๆ มือทั้งสองข้างเท้าสะเอวเอ่ยถามควีน “ถ้าคุณตกหลุมรักใครสักคน เวลาคบกันเป็นไปได้ไหมว่าจะเรียกเขาว่า ‘ประธานเจเทาวน์’ ด้วยความห่างเหิน?”
ควีนครุ่นคิด หลับตาลงแล้วตอบเบาๆ “ฉันทำแบบนั้นนะ”
เธอมีใครคนนั้นอยู่ภายในใจ และเธอก็เรียกเขาว่า “ประธานโซเมน” อยู่ทุกวัน
เทาเท่ “…”
แรกเริ่มลางสังหรณ์บอกเขาว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหลินจือกับเจเทาวน์คงไม่ใช่ความรัก แต่เมื่อควีนพูดมาเช่นนี้ เขาก็อดสงสัยการตัดสินของตัวเองขึ้นมาเสียไม่ได้
เขามองไปที่ควีนพลางใคร่ครวญ หลินจือตกหลุมรักเจเทาวน์จริงๆ งั้นหรือ
ค่ำคืนนี้ เทาเท่นัดโซเมนและไวท์มารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
ขณะที่สามหนุ่มกำลังรับประทานอาหาร ไวท์ผู้ไม่ดื่มแอลกอฮอล์มาแต่ไหนแต่ไร ฟ้าจะถล่มแผ่นดินแยกออกจากกันหรือไร วันนี้เขากลับรินไวน์ลงในแก้วให้ตัวเอง
โซเมนหยอกเย้า “เป็นอะไร อกหักเหรอ”
ไวท์เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันยังไม่มีความรัก จะอกหักได้ยังไง”
“ช่วงนี้ทำงานหนักเกินไปหน่อย แค่อยากผ่อนคลายเท่านั้น” ไวท์อธิบายให้ตัวเอง
โซเมนพูดอย่างคลุมเครือ “กับหมอดาหลามีความคืบหน้ายังไงบ้าง”
ไวท์คิดหาคำพูดไม่ออก “ฉันมีความคืบหน้าอะไรกับเธอ ฉันกับเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนานแล้ว”
“อ้อ” โซเมนตอบอย่างค้านจะใส่ใจ จากนั้นพูดขึ้นว่า “ในเมื่อพวกนายไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน งั้นฉันจีบเธอนะ”
ไวแค่นี้สำลักไวน์ที่เพิ่งดื่มเข้าไป โซเมนยื่นกระดาษทิชชูให้เขา อนึ่งว่ารังเกียจเขาเสียเต็มประดา “มีอะไรน่าตกใจขนาดนั้น ตามจีบสาวสวย ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องปกติของฉันหรอกเหรอ”
ไวท์รีบจิบน้ำตามทันที จากนั้นจ้องมองโซเมนก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่านายกำลังจะแต่งงานเหรอ”
ท่าทีของโซเมนยังดูเกียจคร้านเช่นเดิม “ฉันบอกปัดไปแล้ว น่าเบื่อ”
ไวน์จ้องเขาเขม็ง “เรื่องการแต่งงาน นายคิดอยากจะบอกปัดก็บอกปัดไปเลยงั้นเหรอ”
โซเมนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับพวกเขา ทำไมฉันต้องสละชีวิตแต่งงานตัวเองไปกับความนิยมชมชื่นของคนพวกนั้นด้วย? ถ้าพวกเขาไม่มีพอใจ งั้นก็ไล่ฉันออกจากตระกูลแมคเคนซี แค่นั้น”
โซเมนกลับมาหาตระกูลแมคเคนซีหลังจากเติบใหญ่ และแม่ผู้ให้กำเนิดเขาไม่ใช่คุณหญิงแมคเคนซีคนปัจจุบัน เขาจึงไม่มีความผูกพันใดๆ ต่อคนในตระกูลแมคเคนซี หากไม่ใช่เพราะว่าคุณหญิงแมคเคนซีคนปัจจุบันไม่สามารถมีบุตรได้ ลูกนอกสมรสอย่างเขาคงไม่หวนคืนสู่ตระกูล
หลังจากโซเมนพูดจบ จึงเหลือบมองเทาเท่ที่อยู่ข้างๆ และพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “จริงๆ แล้วหมู่นี้ฉันชอบควีนมากกว่า แต่ไอ้เทาเท่มันไม่ให้ฉันยั่ว ฉันจึงทำอะไรไม่ได้”
เทาเท่มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ให้โซเมนยั่ว แต่เขาไม่อยากให้โซเมนมาทำร้ายจิตใจควีนต่างหาก
โซเมนหันไปถามไวท์ว่า “ไม่ใช่ว่านายก็จะไม่อนุญาตให้ฉันยั่วเหมือนกันหรอกนะ?”
ไวท์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันขอเตือนนายในฐานะทายาทของโรงพยาบาลเมืองเจสเวิร์ดในอนาคต ทำร้ายจิตใจคุณหมอในโรงพยาบาลเราให้น้อยลงหน่อย”
ไวแค่นี้เป็นทายาทโดยชอบธรรมของโรงพยาบาลเมืองเจสเวิร์ด เพียงแค่เขาไม่ชอบทำตัวเป็นจุดสนใจและเอาแต่ร่ำเรียน หลังกลับจากเรียนต่อต่างประเทศ ก็ตั้งอกตั้งใจทำงานในแผนกมาตลอด เริ่มต้นด้วยการเป็นหมอตำแหน่งธรรมดาๆ
โซเมนรู้สึกขบขันกับคำพูดของไวท์ “ไม่อยากให้ฉันตามจีบหมอดาหลาก็พูดมาเถอะ อย่ามาอ้างเหตุผลโน่นนี่หน่อยเลย”
ไวท์ไม่อยากพูดอะไรต่อ โซเมนจึงยิงคำพูดใส่เขาตรงๆ “ถ้านายชอบก็ไปจีบเธอสิ”
ไวท์ “….”
ใครจะไปชอบดาหลากัน?
ที่เขาไม่ยอมให้โซเมนตามจีบดาหลา เพราะทำเพื่อเพื่อนของเขาต่างหาก เขากลัวว่าเพื่อนรักจะถูกดาหลาผู้หญิงไม่มีหัวใจคนนั้นหลอก…ฟัน
เมื่อนึกสองคำสุดท้ายขึ้นมาได้ ไวท์ก็กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ อยากฉีกร่างยัยหมอคนนั้นให้ขาดเป็นชิ้นๆ แทบทนไม่ไหว
โซเมนที่กำลังจุดบุหรี่ ชำเลืองมองเทาเท่ที่นั่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียวไม่สนใจใคร แล้วถามขึ้น “บอกมาสิ เกิดอะไรขึ้นกับนาย ทำไมถึงดูไม่มีความสุขขนาดนี้”
โซเมนกำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอารมณ์ความรู้สึก ดูแลไวท์ได้สักพัก ก็ต้องมาดูแลเทาเท่ต่อ
เทาเท่สูดหายใจเข้าแล้วพูดว่า “ฉันถูกบล็อกแล้วจะให้ทำอะไรได้”
โซเมนหมดคำพูด ผ่านไปสักพักเขาก็โบกไม้โบกมือพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ “นายเพิ่งกลับมาจากไปทำธุรกิจกับเธอที่เมืองเวลฟ์ไม่ใช่เหรอ ไปดูงานด้วยกัน แต่ความรู้สึกของพวกนายกลับไม่อุ่นขึ้นเลย มิหนำซ้ำยังโดนบล็อกอีก?”
ตามประสบการณ์ที่โซเมนเห็นอยู่บ่อยๆ ตอนที่ออกไปทำธุรกิจด้วยกัน เทาเท่ต้องไปทำอะไรบางอย่างมาแน่ๆ และการที่เขาถูกบล็อกแบบนี้ ก็เป็นตัวยืนยันได้เป็นอย่างดี
เทาเท่กำลังหัวเสีย เมื่อถูกโซเมนพูดให้แบบนี้ ชายหนุ่มจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง
โซเมนกล่าว “นายไปทำอะไร หรือพูดอะไรหรือเปล่า”
เทาเท่ถอนหายใจอีกครั้ง “จูบเธอ”
“แค่นี้?” โซเมนพูดคำพูดน่ารังเกียจ “ไม่ได้เอากันแล้วหรอกเหรอ?”
เทาเท่รู้สึกว่าโซเมนเก่งแต่พูดโดยไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ความสัมพันธ์ของเขากับหลินจือในตอนนี้เหมือนกับเรากำลังเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็งบางๆ แค่เขาจูบ เธอยังหลบหน้าเขา ถ้ายิ่งเขาบีบบังคับให้หลินจือนอนกับเขา เธอไม่ผลักไสไล่ส่งเขาไปเลยเหรอ
เทาเท่จ้องมองโซเมนอย่างเย็นชา เขาถามอย่างไม่พอใจ “นายกำลังช่วยฉัน หรือซ้ำเติมฉันกันแน่?”
โซเมนขยับนั่งตัวตรง แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอโทษที ฉันลืมไปว่านายไม่ใช่เทาเท่อย่างที่เป็นอีกแล้ว ไม่น่าเกรงขามเหมือนเมื่อก่อน ไม่ใช่คนประเภทใครก็หลับนอนกับนายได้”
เทาเท่พึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ “พรุ่งนี้ฉันจะซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วส่งนายไปเปกก้า”
โมเซนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ โดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ “นายจะไปส่งฉันเปกก้าทำไม ฉันไม่มีธุรกิจที่นั่น”
เทาเท่ตอบเสียงเย็นอย่างเยาะเย้ย “นายปากจัดขนาดนี้ ไม่ไปเรียนละครพูดตลก คงน่าเสียดายแย่”
ดวงตาของโซเมนถลนออกมาด้วยความโกรธ ไอ้เพื่อนรักของเขาคนนี้ช่างเหลือเกินจริงๆ ทำเป็นพูดย้อนยอกแอบด่าเขา
โซเมนค้านจะสนใจเรื่องของเทาเท่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วก้มหน้าก้มตาเล่นอย่างไม่คิดอะไร พลันบังเอิญเห็นหัวข้อการค้นหายอดนิยมแจ้งเตือนขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ ทันใดนั้นเขาก็โพล่งขึ้น “ฉิบหาย!”
ทั้งเทาเท่และไวท์ต่างจ้องมองไปที่เขา โซเมนยื่นโทรศัพท์ให้เทาเท่แล้วพูดว่า “การปรากฏตัวของแฟนสาวผู้ลึกลับของเจเทาวน์ ในตอนกลางดึกที่บ้านของชายหนุ่มกับแมวสุดที่รักของเขา?”
สีหน้าของเทาเท่หมองลงทันที เขาคว้ามือถือมาอ่านข่าวอย่างละเอียด
มองแค่ตาเดียวก็รู้ หญิงสาวผู้ที่สวมเสื้อผ้าปกคลุมตัวเองอย่างหนาแน่นคนนั้นคือหลินจือ
นักข่าวถ่ายภาพหลินจือขณะหิ้วกระเป๋าใส่เจ้าเหมียวตัวหนึ่ง เธอลดหมวกลงแล้วเดินเข้าไปในบ้านเจเทาวน์ และไม่มีภาพวิดีโอตอนที่เธอเดินออกมา
แมวของเจเทาวน์ตัวนั้น เขาเลี้ยงดูมันมานานหลายปี เหล่าแฟนคลับจึงคุ้นเคยและจำแมวตัวนั้นได้ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือพวกเขาจำกระเป๋าใส่เจ้าเหมียวใบนั้นได้ด้วย มันถูกปรับแต่งสำหรับแมวของเขาโดนเฉพาะ สีที่เป็นสีเฉพาะตัวของเขา และยังมีรูปเจ้าเหมียวติดอยู่บนกระเป๋าด้วย