วันศุกร์ต่อมา หลังจากจอมเวทจัดการกับอาหารเช้ากันเรียบร้อย พวกเขาก็เข้าไปในห้องโถงเป็นกลุ่มๆ ตามที่ราเวนติบอกไว้ พวกเขาจะได้เห็นผลของการทดลองในวันนี้ หรืออาจจะพรุ่งนี้อย่างช้าที่สุด ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นกังวลมาก

ตลอดช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา เหล่าจอมเวทได้ร่วมสังเกตอุปกรณ์ปฏิกิริยาผ่านรอยประทับเวทมนตร์ที่เขาทิ้งไว้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นพิเศษ ไม่มีผลอะไรเปลี่ยนแปลงใหม่จากน้ำบริสุทธิ์ที่ระเหย กับสายฟ้าที่ผ่าไอน้ำและมวลรวมผสมของก๊าซ หรือไอน้ำที่กลั่นตัวกลายเป็นของเหลวอีกครั้ง

ทุกอย่างต้องดูง่ายดายและแทบไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

“เราจะได้เห็นอะไรกัน? พูดตรงๆ นะ น่าสงสัยมาก” นักเวทศาสตร์มืดผู้หนึ่งจากหัตถ์ไร้ชีวาซึ่งสามารถสร้างสภาพแวดล้อมฌานสมาธิขึ้นมาได้ไหมกำลังพูดด้วยเสียงท่าทางตื่นเต้น

นักเวทศาสตร์มืดผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เพิ่งถึงห้องน้ำเป็นสีบรอนซ์ ขบริมฝีปากเล็กน้อย “เจสัน อันที่จริง ข้าไม่ได้หวังผลอะไรเลย พูดตรงๆ นะ ข้าไม่มีอะไรพิเศษในการทดลองนี้เลย และไม่มีทางที่การทดลองธรรมดาธรรมดาแบบนี้จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ก่อกำเนิดชีวิตได้ ความจริงก็คือ ตอนกำเนิดชีวิตต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ มากมายกว่าที่เราจินตนาการ!”

“ลิลลี่ ข้ารู้… ข้าเฝ้ามองสายฟ้านั้นผ่าอยู่นานแล้ว จนภาพมันหลอนติดตาข้าเลยตอนนี้” เจสันตอบอย่างติดตลก เขาพูดถูก เราไม่หลายคนที่กำลังศึกษาปรากฏการณ์การปล่อยประจุไฟฟ้าต่างพูดแบบเดียวกันนี้

ลิลลี่ขยี้ตาเบาๆ “ข้ารู้ แต่นั่นก็ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษ”

ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ใครคนหนึ่งที่ทั้งสองคุ้นเคยก็เดินตรงเข้ามาหา เขามีผมหงอก รอยเหี่ยวย่นนึกบนใบหน้า และดวงตาสีฟ้าที่ดูอ่อนโยน

“อรุณสวัสดิ์ เจสัน อรุณสวัสดิ์ ลิลลี่” นักเวทชราทักทายทั้งสอง

“อรุณสวัสดิ์ เวิร์น” ทั้งลิลลี่และเจสันพยักหน้าและยิ้มให้

“ลิลลี่ที่รัก เจ้าพอจะช่วยอะไรข้าหน่อยได้ไหม?” เวิร์นพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ข้าขอแลกที่นั่งกับเจ้าได้ไหม ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจสันถึงความคิดของข้าเรื่องทฤษฎีพลังชีวิต”

“ทำไมล่ะ? ทฤษฎีนั้นถูกล้มล้างไปแล้วนี่ ไม่ใช่หรือคะ?”  ลิลลี่รู้สึกสับสน และนางไม่อยากนั่งอยู่ท่ามกลางจอมเวทสายธาตุ

“อันที่จริง ข้าไม่คิดอย่างนั้น” เวิร์นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าจะปฏิเสธการมีอยู่ของพลังชีวิตและวิญญาณหรืออย่างไร?”

“ไม่มีทาง พลังชีวิตและวิญญาณเป็นรากฐานในสำนักศาสตร์มืด การปฏิเสธการมีอยู่ของพลังชีวิตและวิญญาณเหมือนการปฏิเสธการมีอยู่และคุณค่าของเรา” เจสันตอบอย่างเด็ดขาด “เฉพาะทฤษฎีพลังชีวิตเท่านั้นที่ถูกล้มล้าง แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับการศึกษาเรื่องวิญญาณและชีวิตของเรา เราแค่ถูกเปลี่ยนเส้นทางจากแนวปฏิบัติที่ผิดพลาดในอดีตถึงการสร้างร่างกายมนุษย์ แต่สำหรับทฤษฎีอื่นในสำนักศาสตร์มืด โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับวิญญาณ ยังคงงดงามและมีหลักฐานหนักแน่น”

ความเชื่อในอดีตของพวกเขา เหล่านักเวทศาสตร์มืดเชื่อกันว่า มนุษย์ เอลฟ์ และมังกรยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือสิ่งมีชีวิตจากธาตุและแร่แปรธาตุอื่นๆ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตจากภาพพวกนี้ไม่มีพลังชีวิตซึ่งบรรจุอยู่ในเลือดเนื้อ ดังนั้น พวกเขาเชื่อว่าต้องใช้องค์ประกอบชีวิตในการสร้างชีวิตเท่านั้น จนกระทั่งทฤษฎีนี้ถูกล้มล้างโดยลูเซียนและเฟลิเป

เวิร์นส่ายหน้า “สิ่งที่ถูกสังเคราะห์ได้ตอนนี้ยังห่างไกลจากคำว่า ‘องค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตส่วนใหญ่’ ฉะนั้น ข้าจะไม่บอกว่าทฤษฎีทางชีวิตถูกล้มล้างไปทั้งหมด เราทั้งสองคนต้องเห็นความงดงามที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ และความงดงามของการวางโครงสร้างร่างกายมนุษย์ เรายังจะได้พบกับความลับอีกมากมายของร่างกายที่เรายังไขไม่ออก และถ้าทฤษฎีพลังชีวิตผิดโดยสิ้นเชิง เราสามารถสรุปได้ไหมล่ะว่า เราจะมีชีวิตเป็นนิรันดร์โดยไม่ต้องอาศัย ‘กล่องชีวิต’ หรือแยกวิญญาณออกจากตัว หรือมองหาร่างใหม่?”

“โอ้… ช่างเหนืออาร์คานา ข้าบอกได้เลยว่าท่านเข้าใจทฤษฎีพลังชีวิตลึกซึ้งจริงๆ เวิร์น ข้ายังห่างไกลจากท่านนัก” ลิลลี่ใช้มือถูหน้าผากของนางไปมา ขณะความคิดของนางกำลังสับสนยุ่งเหยิง “ข้าอยากใช้เวลาอยู่คนเดียว ข้าเชื่อในความลับของร่างกายมนุษย์ แต่ข้าก็เชื่อในผลการทดลองของเฟลิเป เชิญคุยกับเจสันตามสบาย เวิร์น”

‘ช่างเหนืออาร์คานา’ เป็นคำอุทานที่เหล่าจอมเวทมักใช้เพื่อแสดงความประทับใจในอะไรบางอย่างเพื่อแสดงความสุภาพ

แล้วนางก็เดินไปทางกลุ่มจอมเวทสายธาตุ และนั่งลงท่ามกลางพวกเขา หลังจากคิดอยู่ในหัวสักพักหนึ่ง ลิลลี่ก็ได้สรุปของตัวนางเองว่า แน่นอนว่าทฤษฎีพลังชีวิตไม่ถูกต้อง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความลับทั้งหมดของร่างกายมนุษย์ถูกเฉลยออกมา และยิ่งต้องมีการสำรวจเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ ตอนนี้  ลิลลี่เพียงแค่ต้องการปล่อยสมองให้โล่ง ซึ่งนางเชื่อว่าน่าจะเป็นความคิดที่ดีที่สุดแล้ว

เวิร์นนั่งลงบนที่นั่งของลิลลี่ ขณะเขากำลังสนทนากับเจสัน สายตาของเขากลับมุ่งไปยังเฟลิเป ซึ่งนั่งห่างจากเขาไปทางซ้ายสามแถว

ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขา เพื่อปกป้องกิตติศัพท์แห่งพระเจ้า เวิร์นพร้อมที่จะพลีชีพ อย่างไรก็ตาม ในบรรดานักเวทสายมืดทั้งหมดที่เขารู้จัก มีเพียงที่นั่งของลิลลี่เท่านั้นที่อยู่ใกล้กับเฟลิเปมากที่สุด แต่ที่นั่งจุดนี้ยังไม่ดีพอที่จะให้นิโคไลย์ลงมือโจมตีเฟลิเปและสังหารเขาได้ในดาบเดียว เมื่อถึงเวลา นิโคไลย์จำเป็นต้องยอมเสี่ยงเดินเข้าไปอีกห้าหกก้าวผ่านช่องว่างระหว่างเก้าอี้ เพื่อสังหารเฟลิเป

“ขอให้ประตูสู่แห่งสวรรค์ขุนเขาจงเปิดรับข้า” เวิร์นทำเครื่องหมายกางเขนบนหน้าอกในห้วงความคิด

ไม่นาน จอมเวทผู้เข้าร่วมประชุมก็มากันพร้อมหน้า และวันนี้ แลร์รี่จะทำหน้าที่บนเวที

หน้ากลมๆ ของแลร์รี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาพูดกับทุกคนในห้องโถงด้วยเสียงสูงกว่าปกติ “เราได้ค้นพบความสัมพันธ์อันน่ามหัศจรรย์ระหว่างความเข้มข้นและสภาพนำของสารละลายในคำถามของลูเซียน ฉะนั้น ข้าคิดว่า สมมุติถ้าเราลองศึกษาอย่างอื่นนอกจากสารละลายล่ะ? สมมุติถ้าเราศึกษาน้ำบริสุทธิ์? ข้าสงสัยว่าสภาพนำของน้ำบริสุทธิ์จะเป็นอย่างไร..”

เนื่องจากข้อเท็จจริงที่รู้กันดีว่าน้ำเป็นสื่อเหนี่ยวนำดูแล้ว จอมเวทส่วนใหญ่จึงไม่สนใจแนวทางนี้ แม้ว่าพวกเขาสามารถผลิตน้ำบริสุทธิ์จากการผสมออกซิเจนกับไฮโดรเจนเข้าด้วยกัน พวกเขาก็ไม่เคยคิดถึง แต่เมื่อได้ฟังการเกริ่นนำของแลร์รี่ เหล่าจอมเวทก็เริ่มไม่แน่ใจ

แลร์รี่เริ่มน้ำบริสุทธิ์เพื่อทดสอบสภาพเหนี่ยวนำ เมื่อประกายไฟฟ้ายังคงปรากฏอยู่ในอุปกรณ์ปฏิกรณ์  วงเวทด้านล่างของน้ำบริสุทธิ์สำหรับการทดสอบกลับไม่พบอะไรเลย สีหน้าของนักเวททุกคนดูค่อนข้างสับสนแต่ก็ประหลาดใจ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นความเชื่อพื้นฐานก็ถูกล้มล้างอีกครั้ง

เมื่อน้ำเริ่มผุดเป็นฟอง แลร์รี่ก็เสร็จสิ้นการทดลองของเขา “อย่างที่ทุกท่านเห็น ก่อนที่น้ำบริสุทธิ์จะเปลี่ยนเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน มันไม่มีสภาพเหนี่ยวนำ ดังนั้น เราสามารถตั้งสมมติฐานได้ว่าสสารแร่แปรธาตุบางชนิดละลายในน้ำเพิ่งเปลี่ยนน้ำให้เป็นตัวเหนี่ยวนำ เรื่องนี้ข้ายังไม่มั่นใจเท่าไร แต่เราสามารถเห็นได้จากวงเวทที่สี่วงใหม่นี้ซึ่งถ้าสร้างขึ้นจากการทดลองนี้ ‘โล่น้ำแลร์รี่’ ซึ่งสามารถป้องกันอาคม ‘สายฟ้า’ ได้อย่างเป็นผล

หลังจากนั้น แลร์รี่ก็เริ่มถ่ายทอดโครงสร้างทั่วไปของอาคมบทนี้ และวิธีสร้างรูปแบบของอาคม แม้ว่าเขาจะปิดบังส่วนสำคัญของอาคมไว้ แต่นักเวทส่วนใหญ่ก็ยังตั้งใจฟังโดยละเอียด เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถสร้างอาคมเช่นนี้ได้ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เวิร์นแทบไม่มีฌานสมาธิ เขาคอยมองหาแต่บริกรที่ทำหน้าที่ยกน้ำชา น้ำ และผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ มาบริการจอมเวท เมื่อเขาเห็นว่ามีบริกรประมาณห้าหรือหกคน ซึ่งคอยบริการอยู่ตามจุดต่างๆ ในห้องโถง เวิร์นยกมือขึ้นและส่งสัญญาณเรียกนักเวทฝึกหัดที่อยู่ใกล้ๆ

“ขอรับ ท่าน? มีอะไรให้รับใช้ขอรับ?” นักเวทฝึกหัดเดินมาหาเวิร์นและถามด้วยอากัปกิริยาเคารพ เนื่องจากเขารู้ว่านักเวททุกคนที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ต่างเป็นจอมเวทชั้นกลางขึ้นไป!

เวิร์นพยักหน้าด้วยท่าทีเป็นมิตร “พ่อหนุ่มน้อย ข้าอยากได้ชาดำกับมะนาวฝานเสียหน่อยจะได้ไม่วอกแวก”

เจสันไม่ได้สนใจเวิร์น ไม่เพียงเพราะเวิร์นไม่ได้ทำอะไรแปลกเท่านั้น แต่ก็เพราะในฐานะนักเวทศาสตร์มืด เขาสนอกสนใจกับอาคมที่สามารถป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่าง ‘สายฟ้า’ ได้

“ได้ขอรับ” นักเวทฝึกหัดสืบเท้าถอยหลังและเดินออกไปยังประตู

ตอนนั้นเอง นิโคไลย์ลองเสี่ยงเดินออกมาสองก้าว

“ชาดำหนึ่งถ้วยพร้อมมะนาวฝานให้ท่านเวิร์นทางนั้นนะ” นักเวทฝึกหัดพูดมาทางนิโคไลย์ เนื่องจากเขาไม่ได้สนใจตามลำดับแถวของบริกร และบริกรอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังนิโคไลย์ก็แสดงท่างงๆ ไม่รู้ว่าทำไมชายผู้นี้ถึงต้องการเอาใจนักเวทเฒ่า

นิโคไลย์เข้าไปในห้องเล็กๆ ตรงมุมห้องโถงถ้วยชาดำมาช่วยหนึ่ง แม้จะวิตกกังวล แต่เขาก็บอกกับตัวเอง ‘พระเจ้าทอดพระเนตรที่เราอยู่ และนี่เป็นช่วงเวลาอันทรงเกียรติ ประตูแห่งสวรรค์ขุนเขาจะเปิดรับเรา!’

นิโคไลย์สงบสติอารมณ์ลงได้ด้วยความเชื่อของเขา แล้วเขาก็เดินตรงไปทางแถวที่นั่งของเวิร์น นิโคไลย์ยื่นถ้วยน้ำชาให้กับเวิร์นด้วยความเคารพ

“ชาดำมะนาวของท่านขอรับ” นิโคไลย์พูดด้วยความสุภาพ ราวกับว่าเวิร์นเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา

อีกฝั่งหนึ่ง จอมเวทชั้นกลางอีกคนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังลูเซียนออกไปสี่แถวก็ขอน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง

วอลเตอร์รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ระยะที่ดีนักในการสังหารลูเซียน อย่างไรก็ตาม เขาต้องเด็ดขาดและมั่นใจว่า เมื่อคู่หูของเขา นิโคไลย์ โจมตีเฟลิเป นั่นจะเป็นโอกาสทองของเขาเช่นกันในการสังหารลูเซียน อีวานส์

 เมื่อวางถ้วยน้ำชาลง นิโคไลย์ค่อยๆ หันกลับไป ขณะจ้องมองเฟลิเปจากด้านหลัง นิโคไลย์รู้สึกว่าระยะระหว่างเฟลิเปกับเขาเป็นเส้นทางที่เขาต้องเดินเพื่อเข้าถึง ‘สวรรค์ขุนเขา’

ในสายตานิโคไลย์ เป็นระยะทางที่ไกลมาก แต่สิ่งที่รออยู่ปลายทางเป็นสิ่งที่เขาโหยหามาตลอด

แม้ว่าอาวุธเดียวที่นิโคไลย์มีก็คืออาวุธจำลองจาก ‘ดาบแห่งสัจจะ’ แต่ดาบเล่มนี้ก็ยังเป็นอุปกรณ์เทพระดับเก้า การใช้ดาบเล่มนี้จะทำให้เขาเสียพลังและความแข็งแกร่ง แม้พลังของดาบที่ถอดแบบมาเล่มนี้จะไม่สามารถเปิดใช้ได้อย่างเต็มที่เพราะระดับพลังของนิโคไลย์เอง ขณะเดียวกัน เนื่องจากอาวุธคือดาบ เขาต้องถึงตัวเฟลิเปดาบในระยะประชิดเพื่อให้เห็นผลอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ดังนั้น นิโคไลย์ต้องให้ใครสักคนช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของเฟลิเปในจังหวะที่เขากำลังจะโจมตี

เมื่อนิโคไลย์กำลังเดินไปถึงทางเดินระหว่างที่นั่ง เขายังคงคำนวณระยะทางอยู่ ก่อนที่เขาจะถึงจุดที่ดีที่สุดในการลอบสังหาร หากเวิร์นไม่สามารถช่วยเขาด้วยการเบี่ยงเบนความสนใจของเฟลิเป เขาก็ต้องยอมเสี่ยงไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวเพื่อสังหารเฟลิเป แม้จะหมายความว่าเขาต้องวิ่งผ่านช่องทางเดินระหว่างที่นั่งแคบๆ เพื่อเข้าใกล้เฟลิเป

นิโคไลย์พร้อมแล้วที่จะพลีชีพ

ขณะเดียวกัน วอลเตอร์ที่กำลังรินน้ำใส่ถ้วยเพื่อจะยกไปให้กับจอมเวทที่ขอ ก็กำลังคำนวณระยะทางระหว่างเขากับลูเซียน อีวานส์ แต่เขาจะไม่ใช้โอกาสชิงลงมือก่อนที่เฟลิเปจะถูกโจมตี เวิร์นสูดหายใจลึกเข้าปอด ขณะที่เขากำลังทำจะอะไรบางอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกคน แล้วก็มีจอมเวทคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้าก็ตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงแหลม “อุปกรณ์ปฏิกรณ์! มีบางอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ในอุปกรณ์ปฏิกรณ์!”

นักเวททุกคนหันไปมองอุปกรณ์ปฏิกรณ์ รวมถึงแลร์รี่

ในขวดแก้วด้านล่างขวา ภายในหลอดสำหรับการควบแน่น มีวัตถุบางอย่างแสงอ่อนอยู่ในน้ำบริสุทธิ์!

นั่นคืออะไร?!

เหล่านักเวทแทบจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่กล้าถามออกไป แต่หัวใจของทุกคนเต็มไปด้วยคำถาม นักเวทหลายคนด้านหน้าถึงกับขนาดยืนขึ้นเพื่อให้เห็นชัดๆ นิโคไลย์ถูกบังจนมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็รู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว ท่ามกลางเหตุโกลาหลนี้ เขาจะมีเวลามากพอในการสังหารเฟลิเป อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองก็เสียฌานสมาธิไปเช่นกัน และก็สงสัยว่าวัตถุสีแดงนั่นคืออะไร

ราเวนติซึ่งนั่งอยู่แถวหน้า ลอยตัวจากพื้นขึ้นไปบนเวที  คลายวงเวทออกทั้งหมด และนำวัตถุสีแดงอ่อนออกมา เขารีบเรียกใช้วงเวท ‘ระบุตัวตน’ เพื่อดูว่าวัตถุนี้คืออะไร

ขณะเดียวกัน จอมเวทคนอื่นก็ใช้วงเวท ‘ระบุตัวตน’ ของตัวเองเช่นกันเพื่อตรวจสอบสารดังกล่าว รวมถึงเฟลิเป

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่พวกเขามองข้ามไปก็คือ ‘เวทระบุตัวตน’ ใช้สำหรับตรวจสอบได้เฉพาะสิ่งที่เป็นที่รู้จักแล้วเท่านั้น เนื่องจากอาคมบทนี้ยังได้รับการพัฒนาจากสภาเวทมนตร์อยู่ตลอด

เมื่อเห็นว่าจอมเวททั้งหลายกำลังวุ่นอยู่กับการร่ายอาคม นิโคไลย์รู้ว่านี่เป็นโอกาสทองของเขาในการสังหารเฟลิเป ภายใต้ชุดทรงยาวของเขา เขากำดาบจำลองไว้แน่น และสืบเท้าอย่างมั่นคงไปข้างหน้า เขาเดินเร็วขึ้นๆ และไม่สนใจอีกต่อไปหากจะมีนักเวทคนไหนสังเกตเห็น ในสายตาของเขา มีเพียงเป้าหมายเดียว เฟลิเป

ภายในไม่กี่วินาที ระยะทางระหว่างนิโคไลย์กับเฟลิเปก็เหลืออยู่ไม่มาก

ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่ง วอลเตอร์ก็เริ่มลงมือแล้วเช่นกัน

นิโคไลย์อยู่ห่างจากเฟลิเปเพียงก้าวเดียวแล้วตอนนี้!

เขาใช้มือหนึ่งกระชากเครื่องรางที่สวมอยู่เพื่อปิดบังพลังเทพออกอย่างรุนแรง และดึงดาบออกมาด้วยอีกมือหนึ่ง

ขณะที่เขากำลังจะลงดาบสังหารเฟลิเป มีคนตะโกนด้วยเสียงสูงแหลมว่า “กรดแอสพาร์ติก… มีกรดแอสพาร์ติกในนั่น! มีบางอย่างเกิดจากหน่อไม้! โอ้… ช่างเหนืออาร์คานา… อะไรกันนี่…”

“มีองค์ประกอบชีวิตอื่นอีก! ถึงมีสองตัวที่ยังกลั่นไม่สมบูรณ์ แต่มันก็เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิต!” ทางฟากหนึ่ง จอมเวทระดับห้าอีกคนตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน ราวกับว่าเขาได้พบกับพระเจ้า

“มีสารอินทรีย์ไขมันและคาร์โบไฮเดรต…” เปเซอร์และทีนา-ทีมอสยืนขึ้นพร้อมกัน

แม้พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ศรัทธา แต่พวกเขาก็เข้าใจว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทำเรื่องนี้ได้

นับเป็นปาฏิหาริย์ที่สภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นจากปัจจัยง่ายๆ หลายปัจจัย ทั้งสายฟ้า ก๊าซ น้ำบริสุทธิ์ และภูเขาไฟระเบิดจำลองขนาดจิ๋ว สามารถสร้างองค์ประกอบชีวิต!

 เฟลิเปเองก็ตกตะลึงไม่แพ้ใคร ในสายตาของขา ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในอาณาจักรแห่งพระเจ้า เขาอยากรู้ว่าใครเป็นคนออกแบบแบบจำลองนี้ ศาสตราจารย์อย่างนั้นหรือ?!

จอมเวททุกคนรู้ดีว่าการทดลองนี้มีความหมายอย่างไร นี่เป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงที่ว่า แม้ไม่ได้เป็นการปฏิเสธว่า ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ เป็นผู้สร้างชีวิตโดยสิ้นเชิง แต่อย่างน้อยก็บอกได้ว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่สามารถสร้างชีวิต ในทางกลับกัน แนวคิดทางศาสนารังสรรค์นิยมกำลังเผชิญกับภัยคุกคามครั้งยิ่งใหญ่

เมื่อเหล่าจอมเวทกำลังตกตะลึงกับผลการทดลองตรงหน้า นิโคไลย์ซึ่งยืนห่างจากเฟลิเปเพียงก้าวเดียว ก็อยู่ในภาวะประหลาดใจสุดขีดเช่นกัน

เขาไม่อาจละสายตาจากอุปกรณ์ปฏิกรณ์ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยวงเวท ‘ระบุตัวตน’ มากมาย แสงของสัญลักษณ์ต้นไม้เหนืออุปกรณ์ปฏิกรณ์ที่ระบุถึงองค์ประกอบชีวิตทุกชนิดบริสุทธิ์และสุกใสมากจนนิโคไลย์ลืมวัตถุประสงค์ที่ถูกส่งมาที่นี่ เมื่อจ้องมองไปบนเวที

เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เขาไม่อยากเชื่อว่ามีกรดแอสพาติคในอุปกรณ์ปฏิกรณ์

ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวนิโคไลย์ เขาย้อนคิดถึงวิธีการสร้างการทดลอง อุณหภูมิร้อนจัดและก๊าซมีเทนเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ สายฟ้าเวทที่ใช้ในการจำลองฟ้าผ่าและฟ้าร้องตามธรรมชาติ น้ำบริสุทธิ์ที่จำลองมหาสมุทรยุคก่อนประวัติศาสตร์ และก๊าซหลักๆ ซึ่งรวมถึงไฮโดรเจน… ในการทดลองทั้งหมดนี้ ไม่มีการแทรกแซงจากพระเจ้าเลย แต่องค์ประกอบชีวิตก็กำเนิดขึ้นมาได้

นิโคไลย์รู้สึกยิ่งกว่าเสียใจที่เขาเรียนรู้เรื่องราวของอาร์คานาศาสตร์มาก่อน หากย้อนกลับไปได้ เขาหวังว่าเขาจะไม่ได้รับรู้เลยว่าองค์ประกอบชีวิตคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร

ในหัวของนิโคไลย์สับสนไปด้วยความคิดที่ว่า

‘สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติสามารถสร้างชีวิตได้หรือไม่? พระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงผู้เดียวที่ควบคุมการให้กำเนิดชีวิตหรือกหรือ?’

‘แต่… แต่ชีวิตควรถูกกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพลานุภาพ…’

‘การสร้างชีวิต… อยู่ภายในอาณาจักรของพระเจ้า…’

‘พระเจ้ามีจริงหรือไม่? สวรรค์ขุนเขามีจริงหรือไม่? หลังความตาย เราจะไปไหน?’

‘พวกมันเป็นปีศาจ ปีศาจตัวจริง ปีศาจที่ทำให้ข้าสงสัยในพระเจ้า!’

ในชั่วอึดใจนั้น ความคิดของนิโคไลย์ทำให้ความเชื่อของเขาสั่นคลอน ดังนั้น อาคมเทพของเขาจึงสูญเสียการควบคุม ด้วยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นิโคไลย์เริ่มสวดภาวนา

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาเริ่มสวดภาวนา พลังของเขาก็ระเบิดออกมาในทันที จากภายในออกสู่ภายนอก พลังเทพกัดกินเขาด้วยแสงสว่างจ้าอันงดงาม

ขณะเดียวกัน วอลเตอร์ก็ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์เดียวกันนั้นกลืนกิน

ร่างของทั้งนิโคไลย์และวอลเตอร์ระเบิดออกด้วยพลังของตัวเอง และกลายเป็นลำแสงสีงดงาม ราวกับดอกไม้ไฟที่สวยงามราวกับความฝัน

เมื่อเห็นลำแสงสว่างจ้าดังกล่าว เหล่าจอมเวทก็พากันตกใจและสับสน

ก่อนที่พวกจอมเวทจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หัวของเวิร์นเองก็ระเบิด เนื้อเยื่อสมองและเลือดสดๆ กระจายไปทั่วบริเวณ

จอมเวทที่เหลือรีบเพ่งฌานสมาธิกับสภาพแวดล้อมฌานสมาธิของตนให้สงบ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด และคิดเหมือนกันว่า

‘นี่มันบ้าชัดๆ!’

“การทดลองสองหัวข้อนี้พิสูจน์ได้ว่าส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงถึงขนาดพาศาสนจักรมาถึงนี่ได้” แฮททาเวย์กล่าวอย่างไร้ความรู้สึก ตาสีเทาเงินของนางดูเยือกเย็น

มหาจอมเวทล่วงรู้แผนของศาสนจักรมาตั้งแต่ต้น เนื่องจากข้อเสนอให้เอานิโคไลย์กับวอลเตอร์เข้ามาในที่ประชุมจริงๆ แล้วเป็นความคิดที่ธานาทอสสร้างขึ้น และฝังความคิดนั้นลงในความคิดของเวิร์น

วาฮารัลล์และวารันไทน์เองก็ไม่คิดว่าระดับมหาจอมเวทจะมาปรากฏตัวในที่ประชุม

………………………