ในมิติพิเศษ เก้าอี้สีเงินลักษณะประณีตเจ็ดตัวลอยอยู่กลางความมืดเรียงรายกันเป็นรูปครึ่งวงกลม และมหาจอมเวทห้าคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ประหนึ่งเป็น ‘พระเจ้า’ กำลังเฝ้ามองเหล่ามนุษย์ปุถุชนจากเบื้องบน
เอลฟ์ระดับอาวุโสตนหนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้หนึ่งในสองตัวที่แต่เดิมเป็นของมหาจอมเวทอีกสองคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในวันนี้ ตอนนี้ เขากำลังจ้องมองอุปกรณ์ปฏิกรณ์ด้านล่างนั่น ราวกับว่าเขาลืมทุกอย่างรอบตัวเขา เอลฟ์อาวุโสตนนี้กำลังจ้องมองการเปลี่ยนแปลงในอุปกรณ์ปฏิกรณ์อย่างละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นสายฟ้า การระเหย และการควบแน่น… มีแสงเรืองรองอยู่ในนัยน์ตาของเขา
หลังจากเงียบไปสักพัก บรูค ‘จักรพรรดิแห่งการควบคุม’ ขณะที่ไขว้นิ้วตามพฤติกรรมที่เคยชิน พูดกับเหล่ามหาจอมเวทที่เหลือด้วยเสียงที่ผสมปนเปไปด้วยความสุขุมและความตื่นเต้น “การทดลองนี้เปิดเผยถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของต้นตอของการกำเนิดชีวิตและวิธีที่ชีวิตถูกสร้างขึ้น และนั่นทำให้เรามีแนวทางใหม่ๆ ในการวิจัย ก่อนหน้าการทดลองครั้งนี้ พวกเรา จอมเวททั้งหลาย ศึกษาหัวข้อนี้ด้วยวิธีการที่ซับซ้อนเกินไป”
“ท่านจะบอกว่าเราสามารถสังเคราะห์เด็กออกมาจากห้องทดลองด้วยการใช้คาร์บอนกับก๊าซแค่เนี่ยนะหรือ?” เฟอร์นันโด เจ้าแห่งวายุ โต้แย้งออกไปตรงๆ “ข้ายอมรับในความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของการทดลองครั้งนี้ แต่ข้าก็เชื่อว่ายังมีความจริงที่ซับซ้อนยิ่งกว่านี้ อาจซับซ้อนยิ่งกว่าที่เราคิด? เรายังไม่รู้เลยว่าองค์ประกอบชีวิตพัฒนาเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตได้อย่างไร องค์ประกอบชีวิตอื่นๆ เกิดขึ้นอย่างไร ร่างกายกับวิญญาณสัมพันธ์กันอย่างไร…”
บรูคคุ้นเคยดีกับอารมณ์ฉุนเฉียวของเฟอร์นันโด ฉะนั้น เขาจึงใช้มือทั้งสองข้างขึ้นทำท่าทางให้เจ้าแห่งวายุเย็นลง “ข้าคงยังพูดไม่ชัด ที่ข้าอยากบอกก็คือสภาพแวดล้อมต้นกำเนิดเป็นสิ่งที่เราเคยทำกันมาเพื่อค้นหาการให้กำเนิดองค์ประกอบชีวิต ซับซ้อนเกินไป ในการศึกษาอาร์คานาศาสตร์ บางครั้งการคิดอะไรง่ายๆ และตรงไปตรงมาก็มีความสำคัญมาก”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านเคยถามตัวเองไหมว่า ไฮโดรเจนคืออะไร? ทำไมภูเขาไฟถึงระเบิด? ทำไมถึงมีมหาสมุทรและเหตุผลที่ทำให้เกิดคลื่น? ก่อนที่สรรพสิ่งพวกนี้จะเกิดขึ้น โลกมีรูปร่างอย่างไร? ทำไมตอนนี้โลกถึงมีลักษณะแบบนี้?” ดักลาส ประธานสภาเวทมนตร์ มองไปยังมหาจอมเวทคนอื่นรอบๆ “การทดลองครั้งนี้ง่ายก็จริง กระบวนการสังเคราะห์องค์ประกอบชีวิตก็ไม่ซับซ้อน แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการทดลองครั้งนี้ไม่ง่ายเลย เราไม่ควรมองผ่านและควรตั้งคำถามถึงเหตุผล”
“หนึ่งแสนทำไม…” เจ้าแห่งวายุพึมพำ
แฮททาเวย์พยักหน้าเบาๆ “มหาสมุทรแห่งอาร์คานาไม่มีขอบเขต และเราก็เป็นชาวประมงที่แล่นเรือออกจากฝั่ง เรายังห่างไกลจากการทำความเข้าใจแก่นแท้ของโลกนี้ และเราต้องยำเกรงต่อโลกใบนี้”
“เพราะฉะนั้นอาร์คานาศาสตร์ถึงมีเสน่ห์อย่างไงละ” บรูคยิ้มกริ่ม ดันแว่นตาของเขาขึ้นเล็กน้อย
ธานาทอสเองก็ยิ้มกว้าง “แม้ว่าเราจะออกเรือไปแล้ว ศาสนจักรต้องตกตะลึงแน่นอน สิ่งที่เรากำลังดูอยู่ตอนนี้ ซึ่งก็อยู่ในสายตาของศาสนจักร เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงและเป็นแนวคิดที่คุกคามอย่างหนักหน่วง ในพื้นที่หวงห้ามของพระเจ้าและพลังเทพ ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าสันตะปาปาและพระคาร์ดินัลพวกนั้นจะทำอย่างไร เมื่อได้รู้เรื่องการทดลองครั้งนี้ ข้าพนันได้เลยว่า พวกมันจะต้องคอยหาข้อแก้ตัวอื่นๆ ที่อ้างถึงวิญญาณ แต่สักวัน เมื่อเราเข้าใจวิญญาณและพลังเทพอย่างถ่องแท้แล้ว ก็จะถึงจุดจบของศาสนจักร เสียดายที่การทดลองต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล หรือเราจะยกผลการทดลองไปแสดงต่อหน้าศาสนจักรเลย… ลองคิดดูแล้ว… บาทหลวงพ่อมั่นคงเจ็บปวดน่าดู”
มหาจอมเวททุกคนที่อยู่ในการประชุมเข้าใจว่า ไม่ใช่พระคาร์ดินัลหรือบาทหลวงทุกรูปของศาสนจักรจะถูกทำลายด้วยพลังเทพของตัวเองเมื่อได้เห็นการทดลอง เหตุผลที่วอลเตอร์และนิโคไลย์ถูกพลังศักดิ์สิทธิ์กัดกินในทันทีก็เพราะทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดวัน ได้เห็นการทดลองตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่อุปกรณ์ปฏิกรณ์ถูกสร้างขึ้น หลังจากตั้งข้อสงสัยและรู้สึกไม่มั่นใจมาเป็นเวลานานระหว่างรอคำตอบสุดท้าย ผลการวิจัยก็ทำให้ทั้งสองคนอยู่ในภาวะตกตะลึงสุดขีดเกินกว่าจะยึดมั่นในความเชื่อต่อไปได้
เมื่อไม่มีกระบวนการก่อร่างสร้างความคิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป บาทหลวงและพระคาร์ดินัลส่วนใหญ่ย่อมสงสัยในความถูกต้องของผลการทดลอง ถึงขนาดอาจบอกว่าการทดลองนี้เป็นของปลอม แล้วพวกเขาก็จะหาเหตุผลต่างๆ นานาหรือหลักฐานแค่บางส่วนมาตอบโต้และปลอบประโลมตัวเอง เพื่อให้สามารถยึดมั่นอยู่ในความเชื่อของตนได้
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าเหล่ามหาจอมเวททั้งหลายจะไม่ยอมปล่อยโอกาสทองในการเล่นงานศาสนจักรครั้งนี้หลุดมือไป แม้ว่าการทดลองครั้งนี้ไม่อาจถอนรากถอนโคนศาสนจักรได้อย่างเด็ดขาด แต่บาทหลวงจำนวนมากจะเริ่มสงสัยในความเชื่อของตน และบาทหลวงพวกนี้จะไม่มีโอกาสพัฒนายกระดับได้อีกต่อไป
“เรายอมหลับหูหลับตาให้กับคนพวกนี้มานาน และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องแสดงให้พวกมันเห็นคุณค่าอันแท้จริงเสียที” แฮททาเวย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเนียนและกำกวม
เจ้าแห่งวายุเห็นตรงกัน “ศาสนจักรจะต้องเจ็บปวดจากผลการทดลองนี้ ข้าอยากรู้จริงเชียวว่าพวกบาทหลวงกับพระคาร์ดินัลจะถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กัดกินมากน้อยขนาดไหน”
ไม่นาน เหล่ามหาจอมเวทก็ได้ข้อสรุปร่วมกัน และดักลาสเริ่มออกคำสั่งไปยังคณะกรรมการกิจการ
ขณะเดียวกัน แฮททาเวย์หันกลับไปมองที่ธานาทอส “อย่าใช้ ‘เวททะลวงสมอง’ เพื่อค้นหาว่าใครออกแบบการทดลองนี้จากเจตจำนงแห่งธาตุ ข้าไม่อยากให้พวกเขาต้องถูกศาสนจักรไล่ล่า อย่าเข้าไปในมิติอื่น”
แม้ว่า ‘เวททะลวงสมอง’ และ ‘เวททอความทรงจำ’ ไม่สามารถใช้ได้ผลกับนักเวทชั้นอาวุโสเท่าไรนัก แต่ธานาทอส ในฐานะนักปรมาจารย์แห่งอาคมทั้งสองบทนี้ ครั้งหนึ่งก็สามารถทะลวงเข้าไปในสมองของพระคาร์ดินัลระดับแปด มาได้แล้วคนหนึ่ง เขาได้อ่านความทรงจำส่วนใหญ่ของพระคาร์ดินัลรูปนี้ และสามารถถึงกระทั่งเปลี่ยนความทรงจำบางอย่าง จนทำให้พระคาร์ดินัลรูปนี้เกลียดพระสันตะปาปา เพื่อทำให้พระคาร์ดินัลวางแผนสังหารพระสันตะปาปา แต่โชคร้าย ความทรงจำส่วนที่เปลี่ยนไปของพระคาร์ดินัลก็ทำให้ความเข้าใจต่อโลกของเขาเปลี่ยนไปเช่นกัน ความเชื่อของพระคาร์ดินัลรูปนี้ถูกทำลายในทันที จนในที่สุด เขาก็ถูกลำแสงศักดิ์สิทธิ์กัดกิน ทำให้แผนของธานาทอสล้มเหลวไม่เป็นท่า
อย่างไรก็ตาม สภาเวทมนตร์ก็ได้ข้อมูลมามากมายจากการทะลวงสมองพระคาร์ดินัลของธานาทอส และได้เห็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพลังเทพด้วยตาตัวเองจากแผนนี้ เพราะฉะนั้น ธานาทอสจึงมีรายชื่ออยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดใน ‘บัญชีกวาดล้าง’ ของศาสนจักร ซึ่งอยู่สูงกว่าแม้กระทั่งแฮททาเวย์และเจ้าแห่งวายุ
“จอมเวทชั้นอาวุโสจากเจตจำนงแห่งธาตุของท่านฟางก็อยู่ในบัญชีหมดแล้วนี่ จะมีเหตุผลอะไรอีก?” ธานาทอสรู้สึกสับสนเล็กน้อย
แฮททาเวย์ไม่ได้คำตอบกับเขา
ธานาทอสยิ้มแก้เก้อ เนื่องจากเขาไม่อยากทะเลาะกับแฮททาเวย์ต่อหน้ามหาจอมเวทคนอื่น แล้วเขาก็พยักหน้า “นักเวทผู้ออกแบบการทดลองนี้ได้ผสมประสานความเชื่อเข้ากับโลกแห่งความตระหนักรู้เข้าด้วยกัน… น่าสนใจทีเดียว”
ตอนนั้นเอง มัลฟิวเรียนก็ได้สติกลับมาจากการอยู่ในห้วงความคิดมหาศาลและพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง “พระจิตแห่งสรรพสิ่ง! นี่คือพระจิตแห่งสรรพสิ่ง!”
…
ด้านล่างของมิติพิเศษ เหล่าจอมเวทต่างจ้องมองแสงศักดิ์สิทธิ์และเลือดที่กระเซ็นไปทั่วบริเวณด้วยภาวะตกตะลึง ทุกคนรู้สึกได้ทันทีว่า แสงสายฟ้าในอุปกรณ์ปฏิกรณ์ดูช่างงดงาม แต่ก็โหดร้ายทารุณ
อนาคตของอาร์คานาศาสตร์จะสดใสขึ้นด้วยการทดลองครั้งนี้ แต่เบื้องหลังการทดลอง กลับเต็มไปด้วยเลือดและความมืดมิด
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง ทิโมธีถามด้วยเสียงดังและสับสน “นั่นมันลำแสงศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?”
“คนพวกนั้น… มาจากศาสนจักรสินะ?” แลร์รี่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครถูกลำแสงศักดิ์สิทธิ์กัดกินต่อหน้าต่อตาตัวเองเช่นนี้
ผู้คนเริ่มรู้สึกว่าหวาดวิตก
“เงียบก่อน!” ราเวนติท่าทางหัวเสีย และพูดกับเราจอมเวทด้วยเสียงดังกึกก้อง “อย่าแตกตื่น! ตอนนี้เราต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมคนของศาสนจักรเข้ามาอยู่ในนี้ได้!”
เมื่อได้ยินราเวนติตะโกน บรรดาจอมเวททั้งหมดก็เริ่มมองสำรวจไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
เมื่อรู้ตัวว่าคนจากศาสนจักรเพิ่งอยู่ห่างจากเขาแค่ก้าวเดียว เฟลิเปก็ตอบด้วยน้ำเสียงอมทุกข์ “พวกมันมาที่นี่เพื่อสังหารข้า และนักเวทที่หัวระเบิดไป… ก็เป็นผู้แปรพักตร์”
หลังจากแสงศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ จางหายไป ร่างของนิโคไลย์และวอลเตอร์ก็สลายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก แต่เหลือเพียงดาบสีเทาเงินตกอยู่บนพื้น
“นี่มันอาวุธถอดแบบจาก ‘ดาบแห่งสัจจะ’!”
“ดาบเล่มนี้มีค่าในการวิจัย!”
ดาบจากสังฆมณฑลโฮล์มเล่มนี้เป็นดาบที่มีชื่อเสียงมาก จอมเวทส่วนใหญ่จึงจํามันได้ในทันที
ลูเซียนรู้ว่าเป้าหมายรองของศาสนจักรก็คือเขา แต่ในสายตาของศาสนจักรแล้ว เขาไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับเฟลิเปแน่นอน แต่ลูเซียนก็ยังอยากรู้ว่าศาสนจักรจะจัดอันดับเขาอยู่ในห้าสิบรายชื่อแรกใน ‘บัญชีกวาดล้าง’ หรือไม่หากได้รู้ถึงการทดลองครั้งนี้ การทดลองของมิลเลอร์-อูเรย์ นักฟิสิกส์ผู้เก่งกาจในโลกเดิม ซึ่งลูเซียนนำเสนอนี้
ลูเซียนรู้สึกโชคดี ตอนที่เขาเสนอการทดลองนี้ต่อเจตจำนงแห่งธาตุ เขาขอให้เก็บชื่อตัวเองไปอยู่หลังฉาก
โรเจริโอจาก ‘คณะกรรมการกิจการ’ เดินขึ้นมาบนเวทีและเริ่มสั่งการกับเรานักเวทให้รับมือแตกต่างกันออกไป
นักเวทที่ไม่ได้รับหน้าที่อะไรยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งและเริ่มพูดคุยกัน “ไม่น่าเชื่อว่าการออกแบบการทดลองง่ายๆ แบบนี้จะสามารถสร้างองค์ประกอบชีวิต…”
“และไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าบาทหลวงสองคนจะระเบิดกลายเป็นลำแสงศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าพวกเรา! แสงนี้สวยงามยิ่งกว่าดอกไม้ไฟปีใหม่เสียอีก ฮ่าๆ”
“พวกนักเวทศาสตร์มืดน่าจะรู้สึกโชคดีไม่น้อยที่การทดลองก่อนหน้านี้ของลูเซียน อีวานส์ และเฟลิเปได้ล้มล้างทฤษฎีพลังชีวิตได้ก่อน ไม่เช่นนั้นการทดลองวันนี้คงปั่นป่วนสมองของพวกเขาจนระเบิดออกมาจริงๆ”
“ถ้าไม่มีการศึกษาก่อนหน้านี้เป็นกันชนให้ตั้งแต่แรก พวกเขาก็คงไม่แสดงการทดลองต่อหน้าพวกเราในการประชุม มหาจอมเวทรู้ดีว่าเรื่องนี้จะสร้างแรงสั่นสะเทือนขนาดไหน และนั่นพวกเขาถึงค่อยๆ ให้เราเข้าใจทีละอย่าง”
“ข้ารู้… แต่ก็สงสัยว่าใครออกแบบการทดลองนี้… ดูเหมือนกับ ‘พระเจ้า’ ได้เปิดเผยความจริงต่อหน้าพวกเรา”
“แต่ทำให้หัวคนระเบิดก็โหดร้ายเกินไปนะ…”
ในมุมหนึ่ง ลูเซียนยืนฟังบทสนทนาอย่างเงียบๆ ณ ตอนนั้นเอง เสียงของไอริสทีนก็เข้ามาในหูของเขา “ท่านอีวานส์”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท?” ลูเซียนหันกลับไปถาม
ไม่ใช่เรื่องปกติที่รอยยิ้มจริงใจจะปรากฏบนหน้าของไอริสทีน ซึ่งทำให้นางดูงดงามมากยิ่งขึ้น หน้าของนางเป็นสีแดงระเรื่อขณะพูดกับลูเซียน “พวกท่านได้พิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และถ้าคิดว่าพวกท่านก็ไม่ได้เลวไปเสียหมด”
“ท่านอีวานส์ ได้โปรดอภัยที่ข้าทำตัวหยาบคายก่อนหน้านี้ นักเวทก็สามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้เช่นกัน และพวกท่านสามารถใช้อาร์คานาศาสตร์เพื่อแสดงให้เห็นความมหัศจรรย์” อาร์เซเลียนคิดเห็นเหมือนกัน “หลังจากได้เห็นการทดลองนี้ด้วยตาตัวเอง ข้าตกใจมาก”
แม้ว่าลูเซียนไม่เข้าใจสาเหตุที่เอลฟ์ทั้งสองตนเปลี่ยนทัศนคติต่อนักเวทเพียงเพราะการทดลองครั้งเดียวนี้ แต่ก็เป็นเรื่องดีเสมอที่จะมีพันธมิตรเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพันธมิตรที่เป็นเอลฟ์
…
ณ โบสถ์อาภา อาณาจักรโฮล์ม
พระคาร์ดินัลสามรูปกำลังรอคอยผลของแผนลอบสังหารในห้องอ่านหนังสือของฟีลิเบล
ตอนนั้นเอง บาทหลวงรูปหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมถือจดหมายลับสุดยอดอยู่ในมือ “ใต้เท้า ผลมาถึงแล้วขอรับ จดหมายลอบส่งมาจากนักเวทที่เราติดสินบนไว้จากพระเวทมนตร์”
………………………