“ข้าเลือกเจ้าแล้ว”
“ค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทาง”
ซูฉินตัดสินใจเลือกอยู่ภายในความคิดตน
ค่ายกลฟ้าดินชนิดนี้ตรงกับความต้องการของซูฉินพอดี ด้วยค่ายกลอันนี้ แม้ว่าคนนอกจะเข้ามาภายในตำหนักชุนฝั่งขวา พวกเขาก็จะสูญเสียความสามารถในการรับรู้ทิศทางไปโดยสิ้นเชิงและจะเดินหมุนวนอยู่ในสถานที่เดิมๆ
ในฐานะที่เขาเป็นผู้สร้างค่ายกล ซูฉินย่อมรู้ได้ด้วยหากมีใครบุกรุกเข้ามาภายในค่ายกลแห่งนี้
ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทางยังใช้หินหยกเพียงแค่หนึ่งร้อยยี่สิบชิ้น และการจัดวางก็ง่ายมาก ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน เพียงไม่กี่อึดใจก็สร้างค่ายกลได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
…
ซูฉินยังคงลงชื่อเข้าใช้และฝึกฝนบ่มเพาะต่อไป
ในขณะที่ภายในราชสำนักปรากฏคลื่นลมอันรุนแรง จักรพรรดิถังรู้ว่าเส้นตายของตนนั้นใกล้เข้ามาแล้ว จึงได้เริ่มปูทางให้กับองค์รัชทายาทหลี่เชิง
อันที่จริงจักรพรรดิถังก็ทำเรื่องพวกนี้มานานหลายสิบปีแล้ว เพียงแต่ในอดีตนั้นเป็นการกระทำที่ค่อยเป็นค่อยไปและเงียบสงบ เป็นเรื่องยากที่คนนอกจะสังเกตเห็นได้
แต่ตอนนี้องค์จักรพรรดิถังไม่มีแผนการที่จะปกปิดอีกต่อไป เพื่อให้องค์รัชทายาทขึ้นครองตำแหน่งได้อย่างราบรื่นและมั่นคง บางสิ่งบางอย่างรวมถึงผู้คนจำเป็นต้องกวาดล้างทำความสะอาดครั้งใหญ่
เป็นเวลาหลายวันที่เหล่าขุนนางข้าราชการพลเรือนและทหารนายกองในกองทัพจำนวนมากมายหลายคนถูกคุมตัวไปด้วยข้อหาต่างๆ ทุกๆ วัน
ขุนนางและแม่ทัพนายกองเหล่านี้ได้ยืนเคียงข้างเหล่าองค์ชายสักพระองค์อย่างชัดเจน
หากเป็นเมื่อก่อน องค์จักรพรรดิถังจะไม่ทำเช่นนี้อย่างแน่นอน หากขุนนางเหล่านี้ยืนอยู่ในจุดที่ถูกที่ควร อย่างมากสุดพวกเขาก็จะถูกเนรเทศโยกย้ายตำแหน่งเท่านั้น
แต่ตอนนี้องค์จักรพรรดิถังทราบดีว่าเวลาของพระองค์กำลังจะหมดลง ผนวกกับราชสำนักที่มั่นคงมาหลายทศวรรษ ด้วยคำสั่งขององค์จักรพรรดิจึงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน
จวบจนถึงตอนนี้ ทุกคนได้ตระหนักแล้วว่าจักรพรรดิชราที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นี้โหดร้ายมากเพียงไร
ทันใดนั้นเอง
เมืองฉางอันทั้งหมด กองกำลังต่างๆ ทั้งฟากฝั่งพลเรือนและฝั่งทหารต่างหวาดกลัวว่าตนจะอยู่ในขอบเขตของการกวาดล้างขององค์จักรพรรดิหรือไม่
ซูฉินก็ได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้มาบ้างเช่นกัน
เขามักจะเดินเตร่ไปมาในวังหลวง และบางครั้งก็มักจะได้ยินนางกำนัลและขันทีสนทนากันเรื่องอย่างเช่นว่า ผู้อาวุโสสี่ถูกคุมขัง หรือ ราชเลขาธิการถูกส่งตัวกลับภูมิลำเนาเดิม…
ไม่มีความลับใดภายในรั้วในวัง นับประสาอะไรกับเรื่องราวใหญ่โตที่เกี่ยวข้องกับสภาขุนนางเช่นนี้?
หลังจากซูฉินรู้เรื่อง เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการอะไร
สิ่งที่จักรพรรดิถังทำลงไปก็เพื่อองค์รัชทายาทหลี่เชิง
ไม่มีความขัดแย้งใดส่งมาถึงซูฉิน เขาแค่ต้องเฝ้าดูมันอย่างเงียบๆ ก็เท่านั้น
หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน
ที่ห้องโถงว่าความราชกิจ
จักรพรรดิถังเรียกตัวองค์ชายหลายคนมาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์
ต่อหน้าเหล่าขุนนางในราชสำนัก จักรพรรดิถังถามไถ่องค์ชายเหล่านั้นว่าอยากจะไปอยู่ที่ไหนสักแห่งนอกฉางอัน ผืนแผ่นดินที่มีพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมไปด้วยความมั่งคั่งเช่นในอดีตหรือไม่…
ด้วยสิ่งที่ตรัสออกมา
เหล่าองค์ชายพากันหน้าซีด
เห็นได้ชัดว่าองค์จักรพรรดิถังตั้งใจจะส่งพวกตนออกไปนอกเมืองเพื่อให้องค์รัชทายาทหลี่เชิงขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่น
ขุนนางที่เหลืออยู่เหลือบมองไปที่เหล่าองค์ชายอย่างเห็นใจ
หลังจากครึ่งเดือนแห่งการกวาดล้างผ่านพ้นไปแล้ว ตำแหน่งส่วนใหญ่ก็ถูกโยกย้ายเปลี่ยนแปลงแทนที่กันจนเป็นเรื่องปกติ
ขุนนางที่ยังเหลืออยู่ที่ไม่ได้ถูกโยกย้ายตำแหน่งล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นและไม่เคยออกตัวว่าฝักใฝ่ฝ่ายใด หรือไม่ก็ยึดมั่นในพระบัญชาขององค์จักรพรรดิถังมาโดยตลอด
“เสด็จพ่อ”
“ท่านไม่ควรจะใจร้ายเยี่ยงนี้”
ทันใดนั้นองค์ชายคนหนึ่งก็ทรุดตัวลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นมองไปที่องค์จักรพรรดิด้วยดวงตาแดงฉาน “ข้าก็เป็นบุตรชายของท่านเช่นกัน เสด็จแม่ของข้าก็เป็นฮองเฮาที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ว่ากันตามจริงแล้วตำแหน่งองค์รัชทายาทควรจะเป็นของข้าเสียด้วยซ้ำ”
องค์ชายผู้นั้นน้ำตาไหลพราก
ในบรรดาองค์ชาย หากจะมีใครมั่นใจได้มากที่สุดว่าจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ ควรจะเป็นเขาหาใช่ใครอื่น
แต่ที่น่าเสียดายที่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่องค์ชายหลี่เชิงมาถึงฉางอัน ไม่เพียงแต่เขาจะสูญเสียอำนาจไป แม้แต่ฮองเฮาองค์ปัจจุบันก็ยังถูกสั่งขังในตำหนักเย็น
“ฮองเฮา?”
ร่องรอยความเหยียดหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิ “จงลากตัวมันออกไป ส่งไปยังถิ่นทุรกันดาร จงฟังคำสั่งของข้า ขอห้ามไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในเมืองฉางอันอีกนับจากนี้”
“ตามพระบัญชา”
ทหารของราชวงศ์เดินเข้ามาในทันทีแล้วลากตัวองค์ชายออกไป
เมื่อองค์ชายที่เหลือเห็นฉากนี้ พวกเขารู้ได้ในทันทีว่าไม่มีอะไรที่จะต้องพูดอีกต่อไป พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกจากเมืองฉางอัน ทิ้งฐานันดรแล้วใช้ชีวิตอยู่นอกเมือง
เมื่อองค์ชายเฉินเห็นฉากนี้ ดวงตาเขาก็กะพริบวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร
เขาสามารถเห็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิถังได้อย่างชัดเจนในยามนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความคิดองค์จักรพรรดิ
หลังจากการประชุมภายในห้องโถง ทุกคนต่างก็รู้ว่าองค์ชายทั้งหลายได้จากไปแล้ว และองค์รัชทายาทหลี่เชิงก็จะเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังในอนาคต
ตัวองค์จักรพรรดิเอง หลังจากที่ส่งองค์ชายทั้งหลายออกไปแล้ว ร่างกายของพระองค์ก็อ่อนแอลงไปอีก และเอนนอนอยู่บนบัลลังก์มังกรเกือบจะตลอดเวลา ในขณะที่มีจ้าวกงกงอยู่เคียงข้าง
ส่วนเรื่องการเมืองและกิจการภายใน องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ได้หารือกับเหล่าข้าราชบริพาร
โชคดีที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงได้ข้องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่บ่อยครั้งในช่วงหลายปีมานี้ และองค์จักรพรรดิก็ตั้งใจฝึกฝนด้านนี้ให้เองโดยไม่ได้รีบเร่งอะไรนัก
ในช่วงเวลานี้ซูเยว่หยุนมักจะมาบ่นกับซูฉินว่านางกับองค์รัชทายาทหลี่เชิงได้พบกันน้อยลงมาก
แต่กระนั้นซูเยว่หยุนก็เข้าใจชัดเจนว่าองค์รัชทายาทกำลังเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญภายในอาณาจักรถังแห่งนี้ หากจัดการเรื่องราวอย่างไม่ระมัดระวังเพียงแค่ครั้งเดียว อาจสร้างความวุ่นวายให้อาณาจักรถังได้เลย และผู้คนมากมายอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งนี้
“พี่สาม กลับบ้านกันเถอะวันนี้ นานแล้วที่ไม่ได้เจอพ่อเลย”
ซูเยว่หยุนมาพบซูฉินแล้วพูดเช่นนี้
“ไปสิ”
ซูฉินพยักหน้า
ตอนนี้เขาว่างอยู่พอดี โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้ก็ได้ใช้ไปเรียบร้อย ดังนั้นจึงไม่รอช้ารีบกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซูในทันที
ไม่นาน
ทั้งสองคนกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลซูด้วยการคุ้มกันจากกองทหารของต้าถัง
นับตั้งแต่เหตุการณ์การลอบสังหารภายในวังหลวงครั้งล่าสุด องค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนจะต้องเดินทางร่วมกับกองทหารตลอด และจะไม่มีโอกาสให้มือสังหารเข้ามาลอบทำร้ายได้อีก
“หยุนเอ๋อเจ้ากลับมาแล้วหรือ?”
เมื่อซูชื่อหมินเห็นซูเยว่หยุนกับซูฉิน เขาก็ส่งคนรับใช้ออกไปต้อนรับในทันที
“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่กับพี่รองอยู่ที่ไหนกัน?”
ซูเยว่หยุนได้กลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลซูและรู้สึกดีขึ้นมาก จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสบายใจ
“พวกเขาทั้งคู่…”
ซูชื่อหมินส่ายหัว “มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเร็วๆ นี้ภายในกองทัพมากจนเกินไป ซูเฉิงฮ่าวกับซูเฉิงยู่นั้นยุ่งเอามากๆ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ซูเยว่หยุนพยักหน้า
จักรพรรดิถังได้ทำการกวาดล้างเหล่าขุนนางพลเรือนและทางการทหารมาเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากแค่ไหนที่ถูกโยกย้ายสลับปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เป็นปกติที่ภายในกองทัพจะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน
“ไม่ต้องกังวล ข้าเพิ่งส่งคนไปแจ้งทั้งคู่ อีกสักพักพวกเขาคงกลับมา”
ซูชื่อหมินกล่าว
กองทัพที่ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่สังกัดนั้นอยู่ภายในเมืองฉางอันและใกล้กับคฤหาสน์ตระกูลซูมาก
เมื่อซูชื่อหมินกำลังจะพูดต่อ
“พ่อ น้องเล็กกลับมาแล้วหรือ?”
ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่เดินเข้ามาภายในคฤหาสน์ตระกูลซู
“ทำเช่นนี้ได้ที่ไหน ตอนนี้หยุนเอ๋อเป็นพระชายาแล้ว โปรดระวังกิริยาด้วย”
ซูชื่อหมินขมวดคิ้ว
ด้วยคำที่กล่าวออกมา
ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ก็หดหัวลง
“เอาเถอะท่านพ่อ เราก็ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นแหละ…”
ซูเยว่หยุนไม่ได้ใส่ใจ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยหัวร่อต่อกระซิก ซูฉินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปที่จี้หยกที่อยู่กับซูเฉิงฮ่าว
จี้หยกชิ้นนี้ใสสะอาด เห็นได้ชัดว่ามันมีค่าอย่างยิ่ง ซูเฉิงฮ่าวแขวนมันเอาไว้กับตัว เกรงว่าคงจะเป็นการโอ้อวดประการหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม
ในดวงตาของซูฉิน เขาเห็นบรรยากาศสีดำจางๆ กระจายอยู่ที่ผิวของจี้หยก และบรรยากาศสีดำอันนี้ยังกระจายพลังออกมาแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันชั่วร้าย น่าขนลุก
“นี่คือ…”
“มนต์คาถาจากอาณาจักรหนานจ้าว[1]?”
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ความคิดของเขาผันผวนไปมา
——————————————-
[1] 南诏 หนานจ้าว เป็นอาณาจักรหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีอยู่ในราวๆ ค.ศ. 738-927