110 มนต์คาถาอาณาจักรหนานจ้าว

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

“ข้าเลือกเจ้าแล้ว”

 

“ค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทาง”

 

ซูฉินตัดสินใจเลือกอยู่ภายในความคิดตน

 

ค่ายกลฟ้าดินชนิดนี้ตรงกับความต้องการของซูฉินพอดี ด้วยค่ายกลอันนี้ แม้ว่าคนนอกจะเข้ามาภายในตำหนักชุนฝั่งขวา พวกเขาก็จะสูญเสียความสามารถในการรับรู้ทิศทางไปโดยสิ้นเชิงและจะเดินหมุนวนอยู่ในสถานที่เดิมๆ

 

ในฐานะที่เขาเป็นผู้สร้างค่ายกล ซูฉินย่อมรู้ได้ด้วยหากมีใครบุกรุกเข้ามาภายในค่ายกลแห่งนี้

 

ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทางยังใช้หินหยกเพียงแค่หนึ่งร้อยยี่สิบชิ้น และการจัดวางก็ง่ายมาก ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน เพียงไม่กี่อึดใจก็สร้างค่ายกลได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

 

ซูฉินยังคงลงชื่อเข้าใช้และฝึกฝนบ่มเพาะต่อไป

 

ในขณะที่ภายในราชสำนักปรากฏคลื่นลมอันรุนแรง จักรพรรดิถังรู้ว่าเส้นตายของตนนั้นใกล้เข้ามาแล้ว จึงได้เริ่มปูทางให้กับองค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

อันที่จริงจักรพรรดิถังก็ทำเรื่องพวกนี้มานานหลายสิบปีแล้ว เพียงแต่ในอดีตนั้นเป็นการกระทำที่ค่อยเป็นค่อยไปและเงียบสงบ เป็นเรื่องยากที่คนนอกจะสังเกตเห็นได้

 

แต่ตอนนี้องค์จักรพรรดิถังไม่มีแผนการที่จะปกปิดอีกต่อไป เพื่อให้องค์รัชทายาทขึ้นครองตำแหน่งได้อย่างราบรื่นและมั่นคง บางสิ่งบางอย่างรวมถึงผู้คนจำเป็นต้องกวาดล้างทำความสะอาดครั้งใหญ่

 

เป็นเวลาหลายวันที่เหล่าขุนนางข้าราชการพลเรือนและทหารนายกองในกองทัพจำนวนมากมายหลายคนถูกคุมตัวไปด้วยข้อหาต่างๆ ทุกๆ วัน

 

ขุนนางและแม่ทัพนายกองเหล่านี้ได้ยืนเคียงข้างเหล่าองค์ชายสักพระองค์อย่างชัดเจน

 

หากเป็นเมื่อก่อน องค์จักรพรรดิถังจะไม่ทำเช่นนี้อย่างแน่นอน หากขุนนางเหล่านี้ยืนอยู่ในจุดที่ถูกที่ควร อย่างมากสุดพวกเขาก็จะถูกเนรเทศโยกย้ายตำแหน่งเท่านั้น
แต่ตอนนี้องค์จักรพรรดิถังทราบดีว่าเวลาของพระองค์กำลังจะหมดลง ผนวกกับราชสำนักที่มั่นคงมาหลายทศวรรษ ด้วยคำสั่งขององค์จักรพรรดิจึงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน

 

จวบจนถึงตอนนี้ ทุกคนได้ตระหนักแล้วว่าจักรพรรดิชราที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นี้โหดร้ายมากเพียงไร

 

ทันใดนั้นเอง

 

เมืองฉางอันทั้งหมด กองกำลังต่างๆ ทั้งฟากฝั่งพลเรือนและฝั่งทหารต่างหวาดกลัวว่าตนจะอยู่ในขอบเขตของการกวาดล้างขององค์จักรพรรดิหรือไม่

 

ซูฉินก็ได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้มาบ้างเช่นกัน

 

เขามักจะเดินเตร่ไปมาในวังหลวง และบางครั้งก็มักจะได้ยินนางกำนัลและขันทีสนทนากันเรื่องอย่างเช่นว่า ผู้อาวุโสสี่ถูกคุมขัง หรือ ราชเลขาธิการถูกส่งตัวกลับภูมิลำเนาเดิม…

 

ไม่มีความลับใดภายในรั้วในวัง นับประสาอะไรกับเรื่องราวใหญ่โตที่เกี่ยวข้องกับสภาขุนนางเช่นนี้?

 

หลังจากซูฉินรู้เรื่อง เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการอะไร

 

สิ่งที่จักรพรรดิถังทำลงไปก็เพื่อองค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

ไม่มีความขัดแย้งใดส่งมาถึงซูฉิน เขาแค่ต้องเฝ้าดูมันอย่างเงียบๆ ก็เท่านั้น

 

หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน

 

ที่ห้องโถงว่าความราชกิจ

 

จักรพรรดิถังเรียกตัวองค์ชายหลายคนมาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์

 

ต่อหน้าเหล่าขุนนางในราชสำนัก จักรพรรดิถังถามไถ่องค์ชายเหล่านั้นว่าอยากจะไปอยู่ที่ไหนสักแห่งนอกฉางอัน ผืนแผ่นดินที่มีพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมไปด้วยความมั่งคั่งเช่นในอดีตหรือไม่…

 

ด้วยสิ่งที่ตรัสออกมา

 

เหล่าองค์ชายพากันหน้าซีด

 

เห็นได้ชัดว่าองค์จักรพรรดิถังตั้งใจจะส่งพวกตนออกไปนอกเมืองเพื่อให้องค์รัชทายาทหลี่เชิงขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่น

 

ขุนนางที่เหลืออยู่เหลือบมองไปที่เหล่าองค์ชายอย่างเห็นใจ

 

หลังจากครึ่งเดือนแห่งการกวาดล้างผ่านพ้นไปแล้ว ตำแหน่งส่วนใหญ่ก็ถูกโยกย้ายเปลี่ยนแปลงแทนที่กันจนเป็นเรื่องปกติ

 

ขุนนางที่ยังเหลืออยู่ที่ไม่ได้ถูกโยกย้ายตำแหน่งล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นและไม่เคยออกตัวว่าฝักใฝ่ฝ่ายใด หรือไม่ก็ยึดมั่นในพระบัญชาขององค์จักรพรรดิถังมาโดยตลอด

 

“เสด็จพ่อ”

 

“ท่านไม่ควรจะใจร้ายเยี่ยงนี้”

 

ทันใดนั้นองค์ชายคนหนึ่งก็ทรุดตัวลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นมองไปที่องค์จักรพรรดิด้วยดวงตาแดงฉาน “ข้าก็เป็นบุตรชายของท่านเช่นกัน เสด็จแม่ของข้าก็เป็นฮองเฮาที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ว่ากันตามจริงแล้วตำแหน่งองค์รัชทายาทควรจะเป็นของข้าเสียด้วยซ้ำ”

 

องค์ชายผู้นั้นน้ำตาไหลพราก

 

ในบรรดาองค์ชาย หากจะมีใครมั่นใจได้มากที่สุดว่าจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ ควรจะเป็นเขาหาใช่ใครอื่น

 

แต่ที่น่าเสียดายที่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่องค์ชายหลี่เชิงมาถึงฉางอัน ไม่เพียงแต่เขาจะสูญเสียอำนาจไป แม้แต่ฮองเฮาองค์ปัจจุบันก็ยังถูกสั่งขังในตำหนักเย็น

 

“ฮองเฮา?”

 

ร่องรอยความเหยียดหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิ “จงลากตัวมันออกไป ส่งไปยังถิ่นทุรกันดาร จงฟังคำสั่งของข้า ขอห้ามไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในเมืองฉางอันอีกนับจากนี้”

 

“ตามพระบัญชา”

 

ทหารของราชวงศ์เดินเข้ามาในทันทีแล้วลากตัวองค์ชายออกไป

 

เมื่อองค์ชายที่เหลือเห็นฉากนี้ พวกเขารู้ได้ในทันทีว่าไม่มีอะไรที่จะต้องพูดอีกต่อไป พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกจากเมืองฉางอัน ทิ้งฐานันดรแล้วใช้ชีวิตอยู่นอกเมือง

 

เมื่อองค์ชายเฉินเห็นฉากนี้ ดวงตาเขาก็กะพริบวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร

 

เขาสามารถเห็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิถังได้อย่างชัดเจนในยามนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความคิดองค์จักรพรรดิ

 

หลังจากการประชุมภายในห้องโถง ทุกคนต่างก็รู้ว่าองค์ชายทั้งหลายได้จากไปแล้ว และองค์รัชทายาทหลี่เชิงก็จะเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังในอนาคต

 

ตัวองค์จักรพรรดิเอง หลังจากที่ส่งองค์ชายทั้งหลายออกไปแล้ว ร่างกายของพระองค์ก็อ่อนแอลงไปอีก และเอนนอนอยู่บนบัลลังก์มังกรเกือบจะตลอดเวลา ในขณะที่มีจ้าวกงกงอยู่เคียงข้าง

 

ส่วนเรื่องการเมืองและกิจการภายใน องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ได้หารือกับเหล่าข้าราชบริพาร

 

โชคดีที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงได้ข้องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่บ่อยครั้งในช่วงหลายปีมานี้ และองค์จักรพรรดิก็ตั้งใจฝึกฝนด้านนี้ให้เองโดยไม่ได้รีบเร่งอะไรนัก

 

ในช่วงเวลานี้ซูเยว่หยุนมักจะมาบ่นกับซูฉินว่านางกับองค์รัชทายาทหลี่เชิงได้พบกันน้อยลงมาก

 

แต่กระนั้นซูเยว่หยุนก็เข้าใจชัดเจนว่าองค์รัชทายาทกำลังเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญภายในอาณาจักรถังแห่งนี้ หากจัดการเรื่องราวอย่างไม่ระมัดระวังเพียงแค่ครั้งเดียว อาจสร้างความวุ่นวายให้อาณาจักรถังได้เลย และผู้คนมากมายอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งนี้

 

“พี่สาม กลับบ้านกันเถอะวันนี้ นานแล้วที่ไม่ได้เจอพ่อเลย”

 

ซูเยว่หยุนมาพบซูฉินแล้วพูดเช่นนี้

 

“ไปสิ”

 

ซูฉินพยักหน้า

 

ตอนนี้เขาว่างอยู่พอดี โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้ก็ได้ใช้ไปเรียบร้อย ดังนั้นจึงไม่รอช้ารีบกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซูในทันที

 

ไม่นาน

 

ทั้งสองคนกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลซูด้วยการคุ้มกันจากกองทหารของต้าถัง

 

นับตั้งแต่เหตุการณ์การลอบสังหารภายในวังหลวงครั้งล่าสุด องค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนจะต้องเดินทางร่วมกับกองทหารตลอด และจะไม่มีโอกาสให้มือสังหารเข้ามาลอบทำร้ายได้อีก

 

“หยุนเอ๋อเจ้ากลับมาแล้วหรือ?”

 

เมื่อซูชื่อหมินเห็นซูเยว่หยุนกับซูฉิน เขาก็ส่งคนรับใช้ออกไปต้อนรับในทันที

 

“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่กับพี่รองอยู่ที่ไหนกัน?”

 

ซูเยว่หยุนได้กลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลซูและรู้สึกดีขึ้นมาก จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสบายใจ

“พวกเขาทั้งคู่…”

 

ซูชื่อหมินส่ายหัว “มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเร็วๆ นี้ภายในกองทัพมากจนเกินไป ซูเฉิงฮ่าวกับซูเฉิงยู่นั้นยุ่งเอามากๆ”

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูเยว่หยุนพยักหน้า

 

จักรพรรดิถังได้ทำการกวาดล้างเหล่าขุนนางพลเรือนและทางการทหารมาเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากแค่ไหนที่ถูกโยกย้ายสลับปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เป็นปกติที่ภายในกองทัพจะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน

 

“ไม่ต้องกังวล ข้าเพิ่งส่งคนไปแจ้งทั้งคู่ อีกสักพักพวกเขาคงกลับมา”

 

ซูชื่อหมินกล่าว

 

กองทัพที่ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่สังกัดนั้นอยู่ภายในเมืองฉางอันและใกล้กับคฤหาสน์ตระกูลซูมาก

 

เมื่อซูชื่อหมินกำลังจะพูดต่อ

 

“พ่อ น้องเล็กกลับมาแล้วหรือ?”

 

ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่เดินเข้ามาภายในคฤหาสน์ตระกูลซู

 

“ทำเช่นนี้ได้ที่ไหน ตอนนี้หยุนเอ๋อเป็นพระชายาแล้ว โปรดระวังกิริยาด้วย”

 

ซูชื่อหมินขมวดคิ้ว

 

ด้วยคำที่กล่าวออกมา

 

ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ก็หดหัวลง

 

“เอาเถอะท่านพ่อ เราก็ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นแหละ…”

 

ซูเยว่หยุนไม่ได้ใส่ใจ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยหัวร่อต่อกระซิก ซูฉินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปที่จี้หยกที่อยู่กับซูเฉิงฮ่าว

 

จี้หยกชิ้นนี้ใสสะอาด เห็นได้ชัดว่ามันมีค่าอย่างยิ่ง ซูเฉิงฮ่าวแขวนมันเอาไว้กับตัว เกรงว่าคงจะเป็นการโอ้อวดประการหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในดวงตาของซูฉิน เขาเห็นบรรยากาศสีดำจางๆ กระจายอยู่ที่ผิวของจี้หยก และบรรยากาศสีดำอันนี้ยังกระจายพลังออกมาแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันชั่วร้าย น่าขนลุก

 

“นี่คือ…”

 

“มนต์คาถาจากอาณาจักรหนานจ้าว[1]?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ความคิดของเขาผันผวนไปมา

 

 

——————————————-

[1] 南诏 หนานจ้าว เป็นอาณาจักรหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีอยู่ในราวๆ ค.ศ. 738-927