111 เจตจำนงแห่งดาบอันนี้

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 111 เจตจำนงแห่งดาบอันนี้

 

 

แม้ว่าศิลปะการต่อสู้วิทยายุทธจะได้รับความนิยมอย่างมากในโลกนี้ แต่นอกจากวิทยายุทธแล้วก็ยังมีร่องรอยของพลังพิเศษชนิดอื่นๆ ให้เห็นอยู่อีก

 

เช่น คาถา คำสาป และอื่นๆ

มนต์คาถาและคำสาปส่วนใหญ่แล้วจะมาจากอาณาจักรหนานจ้าว

 

อาณาจักรหนานจ้าวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยกลุ่มชนที่ยังคงไร้วัฒนธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ใต้การปกครองของ ‘ลัทธิบูชาจันทร์‘

 

แม้แต่จ้าวครองอาณาจักรหนานจ้าวก็ยังเป็นสาวกของ ‘ลัทธิบูชาจันทร์‘

 

ผู้นำของลัทธิบูชาจันทร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคาถาอาคมและคำสาป เขามีพลังที่แข็งแกร่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไม่เชื่อเรื่องพวกนี้และต้องการจะลอบเข้าไปภายในลัทธิบูชาจันทร์ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเจอเข้ากับไอพลังที่อธิบายไม่ได้

 

ไม่ว่าจะเป็นคาถาหรือคำสาป พวกมันล้วนแปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้ มักจะฆ่าคนไปได้โดยที่มองไม่เห็นด้วยซ้ำ

 

อย่างไรก็ตาม มันมีข้อบกพร่องร้ายแรงอยู่บางประการ นั่นคือคาถาและคำสาปนั้นถูกจำกัดด้วยพลังฉีและเลือดเนื้อ

 

ผู้ที่เลือดเนื้อแข็งแกร่งมั่นคงแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากมนต์คาถาส่วนใหญ่เลย

 

แต่เดิมจอมยุทธที่ขัดเกลาร่างกายและเลือดเนื้อของตนเอง พวกเขาล้วนเป็นคราวเคราะห์ของผู้ที่ฝึกฝนมนต์คาถาและคำสาป

 

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมลัทธิบูชาจันทร์จึงครอบคลุมอยู่เพียงแค่หนานจ้าว

 

ซูฉินไม่คิดว่าจะได้เห็นร่องรอยของมนต์คาถาภายในเมืองฉางอัน

 

“ฉินน้อย เจ้าพบอะไรพิเศษในจี้หยกชิ้นนี้งั้นหรือ?” ซูเฉิงฮ่าวสังเกตเห็นการจับจ้องของซูฉิน และหยิบจี้หยกขึ้นมาแนะนำในทันที

 

“เป็นเรื่องแปลกๆ แต่ที่จะบอกคือเมื่อเช้าข้าออกไปข้างนอกและหยกชิ้นนี้ก็ตกลงที่เท้าข้าด้วยความบังเอิญ”

 

เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ ซูเฉิงฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ดูเหมือนว่า เวลาคนเราจะโชคดี มันก็ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้”

 

“ตามการคะเนของข้า หยกชิ้นนี้มีค่าอย่างน้อยก็หลายพันตำลึงเงินเข้าไปแล้ว”

 

ซูเฉิงฮ่าวกล่าว

 

ตำลึงเงินของอาณาจักรถังมีมูลค่าไม่น้อย ค่าใช้จ่ายของครอบครัวธรรมดาที่มีสมาชิกสี่คนปกติจะอยู่ที่ไม่กี่ตำลึงเงินต่อปี

 

สำหรับหนึ่งพันตำลึงเงินก็เพียงพอให้คนคนหนึ่งซื้อบ้านในเมืองฉางอันและใช้ชีวิตเยี่ยงคนรวย

 

แม้แต่ตระกูลซูในปัจจุบัน เงินหนึ่งพันตำลึงเงินก็ไม่ใช่จำนวนที่เล็กน้อย

 

“เป็นจริงดังว่า คุณภาพของจี้หยกชิ้นนี้ดีมาก เรียกได้ว่าหายากมาก” ซูเยว่หยุนเหลือบมองไปที่จี้หยกในมือของซูเฉิงฮ่าวแล้วจึงพยักหน้า

สมบัติหายากอะไรบ้างที่นางไม่เคยพบเห็นในรั้วในวัง? แค่มองแวบแรกนางก็มั่นใจว่ามันมีค่ามาก

 

“บังเอิญเจออย่างนั้นหรือ?”

 

ร่องรอยความเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

เขาค่อนข้างแน่ใจว่ามีคนมุ่งเป้าไปที่ซูเฉิงฮ่าว

 

ไม่ต้องพูดถึงคุณค่าของหยกชิ้นนี้ แค่คำสาปที่ติดอยู่กับตัวหยกเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาๆ ทำขึ้นมาได้

 

ที่บอกว่า ‘บังเอิญหยิบได้‘ จากปากคำของซูเฉิงฮ่าว เกรงว่ามันจะห่างไกลจากเรื่องราวที่แท้จริงไปไกล

 

“เหมือนจี้หยกนี้จะมีปัญหาอยู่นะ”

 

ซูฉินกล่าวออกมาตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม

 

“มีปัญหา?”

 

ซูเฉิงฮ่าวตกใจ

 

เมื่อตอนที่เขาหยิบจี้หยกนี้ขึ้นมา เขาก็รู้สึกงงงวยเช่นกัน แต่ตอนนี้เขารู้สึกเพียงว่าตนเองคงโชคดี จึงไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เมื่อได้ยินคำพูดของซูฉินยามนี้ สีหน้าของเขาก็กลายเป็นจริงจัง

 

“ฉินน้อย ลองตรวจสอบมันอีกที”

 

ซูเฉิงฮ่าวถอดจี้หยกแล้วส่งมอบให้ซูฉินในทันที

 

ซูฉินถือจี้หยกเอาไว้และมองมันอย่างพินิจพิเคราะห์

 

เรื่องของคำสาปนั้น เขาได้เห็นมาแค่ข้อความบางส่วนที่บันทึกไว้ภายในศาลาพระคัมภีร์ของวัดเส้าหลินเท่านั้น

 

สำหรับคำสาปของจริง นี่เป็นครั้งแรกที่ซูฉินได้เห็นมันกับตา

 

ซูฉินลูบจี้หยกเบาๆ เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ พร้อมทั้งบรรจุจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ลงไปในจี้หยก

 

ทันใดนั้นภาพหญิงสาวผู้บอบบาง มีผ้าผืนบางคลุมบนใบหน้าก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพของซูฉิน

 

“นางน่าจะเป็นเจ้าของที่แท้จริงของจี้หยกชิ้นนี้ นางเป็นผู้ใส่คำสาปเอาไว้ด้วยหรือ?”

 

ความคิดของซูฉินพลิกผัน

 

ซูเฉิงฮ่าวได้จี้หยกชิ้นนี้มา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่มีจุดประสงค์แอบแฝง

 

คาถาที่ติดอยู่กับจี้หยกนี้ ไม่เชิงว่าเป็นคำสาปโดยตรง แต่เป็นพลังอันละเอียดอ่อนที่ใช้ในการควบคุม

 

มีคนต้องการควบคุมซูเฉิงฮ่าวผ่านการใช้จี้หยกชิ้นนี้

 

ตั้งแต่ซูฉินมาที่ฉางอัน แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ภายในพระราชวังตะวันออก เขาก็จะตรวจสอบตระกูลซูด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นระยะๆ

 

ดังนั้นแม้ว่าซูฉินจะไม่ได้กลับมาในวันนี้ แต่อย่างช้าที่สุดก็คือพรุ่งนี้ เขาคงใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมพื้นที่ของคฤหาสน์และรับรู้ความผิดปกติของจี้หยกชิ้นนี้

 

ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ซูเฉินฮ่าวก็จะไม่ถูกควบคุม

 

แต่อย่างไรก็ตาม กลับมีใครบางคนคิดลงมือกับตระกูลซู

 

ซูฉินใช้ดวงตาแห่งสัจจะจับไปยังหญิงสาวรูปร่างบอบบางที่ใส่ผ้าคลุมหน้า ซึ่งเป็นไอพลังที่อยู่ลึกภายในจี้หยก

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลซู เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปทั่วเมืองฉางอัน

 

เห็นไอพลังฉีจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งใกล้ไกล แข็งแกร่งและอ่อนแอ ในที่สุดดวงตาแห่งสัจจะก็จับจ้องไปที่มุมหนึ่งในทิศตะวันออกของเมืองฉางอัน

 

“เจอตัวเจ้าแล้ว…”

 

ซูฉินดูสงบนิ่ง ยกมือขวาชูนิ้วในลักษณะคล้ายดาบแล้วค่อยๆ วาดมือลง

 

หวึ่ง!

 

เจตจำนงดาบไร้ลักษณ์พุ่งหายไปภายในพริบตา

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านในห้องพักของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองฉางอัน

 

หญิงสาวแปลกหน้าที่มีผ้าคลุมบางเบาสวมไว้บนใบหน้ากำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยความเงียบ

 

“พระแม่”

 

“จี้หยกถูกส่งออกไปแล้วเมื่อเช้านี้”

 

“ซูเฉิงฮ่าวจากตระกูลซูนำติดตัวไปด้วยราวสมบัติล้ำค่า”

 

หญิงชราผมขาวเดินเข้ามาในห้องแล้วหยุดอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่คลุมหน้ามากนัก จากนั้นจึงกระซิบบอก

 

“ทราบแล้ว”

หญิงสาวคลุมหน้ากล่าวตอบเบาๆ

 

“พระแม่…”

 

หญิงชราผมขาวลังเลอยู่พักหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “คำสาปสะกดใจเป็นทักษะลับของลัทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา ต้องใช้แก่นพลังและเลือดเนื้อถึงสามในสิบของตัวท่านเพื่อใช้งาน”

 

“จอมยุทธที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตสามระดับบนแทบจะไม่สามารถต่อต้านมันได้เลย”

 

“พวกเราใช้มันกับซูเฉิงฮ่าวจากตระกูลซูมันจะคุ้มหรือไม่?”

 

หญิงชราผมขาวกระซิบถาม

 

ในความคิดของนาง ซูเฉิงฮ่าวเป็นแค่จอมยุทธในระดับชั้นที่เจ็ด ไม่ได้อยู่ในขอบเขตสามระดับกลางด้วยซ้ำ ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้ ‘คำสาปสะกดใจ‘

 

“มันคุ้มค่า”

 

หญิงสาวที่คลุมใบหน้ามองไปที่หญิงชราผมขาว “ตระกูลซูเป็นตระกูลของพระชายาในรัชทายาทองค์ปัจจุบัน ตราบใดที่ลัทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของข้าเข้าควบคุมตระกูลซูได้แล้วละก็ เทียบเท่ากับตอกตะปูเข้ามาในอาณาจักรถังได้”

 

“ในเวลานั้นลัทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของข้าจะหยั่งรากลึกเข้ามาในที่ราบภาคกลางนี้อย่างแท้จริง”

 

เมื่อหญิงสาวที่คลุมหน้าอยู่พูดออกมา ร่องรอยของความมุ่งมั่นก็ปรากฏอยู่ในดวงตาของนาง

 

“หลังจากเสร็จงานแล้ว พวกเราจะทำอย่างไรกับตระกูลซู?” หญิงชราผมขาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงไถ่ถาม

 

“หลังจากเสร็จงานแล้ว?”

 

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้า “หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ข้าจะสังเวยชีวิตซูเฉิงฮ่าวและตระกูลซูทั้งหมดให้กับเทพจันทรา”

 

ลัทธิบูชาจันทร์เชื่อว่ามีเทพจันทราอยู่บนดวงจันทร์ บ่อยครั้งที่จะต้องสังเวยสิ่งมีชีวิตให้กับเทพจันทรา

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

หญิงชราผมขาวโค้งคำนับ

 

“ออกไปข้างนอกพร้อมกับข้าหน่อย”

 

หญิงสาวที่มีผ้าคลุมหน้าอยู่ค่อยๆ ลุกขึ้น เตรียมจะเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม

 

ทันใดนั้น

 

ในชั่วขณะนั้นเอง

 

ร่างกายของหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าก็แข็งทื่อไป

 

เธอรู้สึกอย่างชัดเจนว่าหนอนกู่[1]ภายในร่างของนางกำลังร้องเตือนอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังเผชิญอันตรายถึงแก่ชีวิต

 

“เกิดอะไรขึ้น”

 

“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น”

 

หญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าตกใจและกระวนกระวายใจ แต่นางก็หาแหล่งที่มาของอันตรายไม่พบ

 

อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา เมื่อหญิงสาวเดินไปที่หน้าต่างและบังเอิญมองไปบนท้องฟ้า ท่าทีของนางก็กลายเป็นแข็งค้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกทึ่ง

 

“นี่คือ?!!”

 

ในสายตาของหญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้า เจตจำนงแห่งดาบที่ไม่สามารถมองเห็นดูเหมือนจะอยู่ด้านนอกนั่น มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับได้รับการเสริมพลังจากพลังฟ้าดิน ปิดกั้นทุกทางเดินของนาง

 

———————————————————-

[1] หนอนกู่เป็นหมอนแมลงพิษที่ใช้กรรมวิธีการเลี้ยงดูที่พิเศษ คนที่เลี้ยงหนอนกู่ไว้มักจะเป็นพวกที่เล่นของ มีคาถาอาคม