ภาค 3 บทที่ 194 ส่งข่าวด่วน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เช้าฤดูหนาวยามเริ่มต้นยังมืดอยู่ ในตำหนักแสงโคมสว่างไสวตลอด รางไฟใต้พื้นร้อนระอุ แต่ในใจทุกคนยังคงเย็นเยียบ 

 

 

ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง พระองค์ไม่ได้หลับสบายมานานนักแล้ว 

 

 

เหล่าขุนนางเต็มท้องพระโรงกำลังทะเลาะโวยวายไม่เลิก 

 

 

หัวข้อสนทนาที่วนเวียนอยู่ย่อมยังเป็นเรื่องการขัดราชโองการไม่กลับมาของเฉิงกั๋วกงรวมถึงความโอหังเหิมเกริมของบุตรชายเฉิงกั๋วกงที่หนีไปทั้งที่มีความผิด 

 

 

ทะเลาะกันจนสุดท้ายทุกคนล้วนบันดาลโทสะ 

 

 

“ใต้เท้าหวง เวลานี้ท่านกล่าวโทษเฉิงกั๋วกง ไม่ใช่เอาเรื่องส่วนรวมมาแก้เค้นเรื่องส่วนตัวหรือ?” มีขุนนางตะโกนใส่หวงเฉิง 

 

 

“ไม่ผิด ท่านใช้อุบายกับสหายขุนนาง จงใจทำร้ายเฉิงกั๋วกง” มีคนตะโกนตามด้วย 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ท้ายแถวขมวดคิ้ว 

 

 

ความจริงย่อมไม่อาจพูดเช่นนั้นได้ 

 

 

“นี่ตกเป็นรองแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบากับคนข้างกาย 

 

 

ขุนนางด้านข้างอดไม่ไหวอยู่บ้าง 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ก็นับว่าเสมอแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา “เมื่อวานใต้เท้าหนิงฝั่งนี้เหนือกว่า” 

 

 

พวกขุนนางด้านหน้าโต้เถียงทะเลาะกันย่อมผลัดไม่ถึงตาพวกเขาขุนนางลำดับท้ายเหล่านี้เข้าร่วม พวกเขาจึงมองดูอยู่เงียบๆ 

 

 

มีขุนนางปลายแถวร่ำๆ อยากลองอยู่เหมือนกัน เพราะการโต้เถียงในท้องพระโรงก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่งให้สร้างความประทับใจต่อหน้าฮ่องเต้ โดดเด่นต่อหน้าผู้คน 

 

 

“ความประทับใจแบ่งดีร้าย ความโดดเด่นก็แบ่งบนล่าง” หนิงอวิ๋นเจาไม่แนะนำ “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเราจะพูด มองความเป็นไปเงียบๆ ดีแล้ว” 

 

 

ท่านอาของเขาคือหนิงเหยียน บางทีนี่อาจเป็นเจตนาของใต้เท้าหนิง ดังนั้นทุกคนจึงล้วนมองความเป็นไปเงียบๆ มองดูเหล่าขุนนางตำแหน่งสูงมากอำนาจเหล่านั้นโต้เถียงกันไม่เลิกรา 

 

 

เป็นดังเช่นหนิงอวิ๋นเจาพูดจริงๆ ได้ยินไม่กี่ประโยคนี้ หวงเฉิงไม่ทันโต้เย้ง ฮ่องเต้พลันตบโต๊ะก่อนแล้ว 

 

 

“หรือการกล่าวโทษของผู้ตรวจการทุกคนล้วนแทรกการแก้แค้นส่วนตัวงั้นรึ?” พระองค์ตวาดตรัส “ไร้สาระ” 

 

 

มีผู้ตรวจการหลายคนก้าวออกมาโต้แย้งขุนนางสองคนนั้นยกหนึ่งทันที หวงเฉิงกลับไม่ต้องพูดจาแล้ว มุมปากยิ้มหยันบางๆ 

 

 

“แน่นอนไม่ใช่ทุกคน” หลังหนิงเหยียนส่งสัญญาณให้ขุนนางสองคนถอยไป ตนเองก็ก้าวออกมาเอ่ยเสียงเข้ม “แต่ใต้เท้าหวงกับเฉิงกั๋วกงไม่ลงรอยกันมาตอลด ทุกคนล้วนรู้สิ้น วันนี้เบื้องหน้าสงครามตึงเครียด ใต้เท้าหวงกลับก่อกวนขัดขวางอยู่เบื้องหลัง นี่คือต้องการประเคนแดนเหนือมอบให้โจรจินงั้นหรือ?” 

 

 

คิ้วขาวของหวงเฉิงเลิกขึ้น 

 

 

“นี่ไม่ใช่ข้าต้องการมอบแดนเหนือให้โจรจิน นี่คือเฉิงกั๋วกงกระหายความชอบถึงก่อเรื่องจนเป็นสงครามแดนเหนือวันนี้” เขาตะเบ็งเสียงดังตวาด พูดพลางหัวเราะหยัน “แดนเหนือวันนี้วุ่นวายเช่นนี้ บางทีอาจเป็นสิ่งที่เฉิงกั๋วกงอยากเห็นก็ได้ เช่นนี้ถึงแสดงให้เห็นว่าเขาสำคัญกับราชสำนักมากปานใด” 

 

 

คำพูดนี้แทงใจจริงๆ! 

 

 

คนทั้งท้องพระโรงสีหน้าเปลี่ยนไปสิ้น 

 

 

“ใต้เท้าหวงท่านอย่าพูดจาเหลวไหล” หนิงเหยียนตวาดเอ่ย 

 

 

“หากไม่ใช่เช่นนั้น ทำไมนานขนาดนี้ยังไม่อาจเอาชนะโจรจินได้? ทำไมปล่อยเมืองไคเต๋อไม่สนใจ?” หวงเฉิงตวาดบ้าง “เมืองไคเต๋อใกล้เมืองหลวงแค่นี้ปล่อยให้ชาวจินยึดครอง คุกคามเมืองหลวง ใจผู้คนหวาดหวั่น เขาต้องการข่มขู่ใคร ต้องการบีบใคร? ราชโองการสิบฉบับถึงได้คำปฏิเสธสิบครั้งของเขากลับมา มั่นใจแล้วว่าวันนี้ไม่มีใครแตะเขาได้ล่ะสิ?” 

 

 

แทงใจจริงๆ! 

 

 

นี่เป็นการยัดเยียดโทษไม่ภักดีวางแผนก่อกบฏให้เฉิงกั๋วกงชัดๆ  

 

 

ฮ่องเต้เดิมทีก็หวั่นเกรงอำนาจทางทหารของเฉิงกั๋วกงอยู่แล้ว หากเอ่ยคำพูดพรรค์นี้ออกมาอีก… 

 

 

“หวงเฉิง เจ้าใจคิดร้าย” หนิงเหยียนสีหน้าคล้ำเขียวตวาด 

 

 

“ใครใจคิดร้าย? ใจไม่คิดร้ายก็เอาเมืองไคเต๋อกลับมาสิ” หวงเฉิงตวาด “ไล่โจรจินออกไปสิ?” 

 

 

การเสียเมืองไคเต๋อเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้เรื่องหนึ่งจริงๆ เป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการโจมตีเฉิงกั๋วกง 

 

 

เพราะที่ตั้งตรงนี้สำคัญเหลือเกินแล้วก็อ่อนไหวเหลือเกิน นอกเสียจากได้เมืองไคเต๋อกลับมา ไม่เช่นนั้นไม่อาจแก้ไขได้ 

 

 

ในตำหนักเงียบงันพักหนึ่ง 

 

 

หวงเฉิงมองดูความเงียบงันนี้ บนใบหน้าผุดรอยยิ้มหยันบางๆ 

 

 

เขากำลังจะเอ่ยอะไรเสริมเข้าไปอีก นอกประตูเสียงแจ้งข่าวด่วนก็ดังมา 

 

 

ฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรคว้าพนักแขนเก้าอี้แน่นทันที 

 

 

ครั้งนี้เสียที่ไหนไปอีก? 

 

 

บรรดาขุนนางก็สีหน้าต่างๆ กันไป สายตาล้วนจับอยู่บนสาส์นที่ขันทีผู้เดินเข้ามาเทินสูงไว้ 

 

 

“เป็น…“ ฮ่องเต้รีบร้อนตรัสถาม 

 

 

ไม่รอพระองค์ตรัสออกมา ขันทีก็คุกเข่าดังตึกลงไป 

 

 

“ฝ่าบาทเมืองไคเต๋อชนะครั้งใหญ่” ขันทีตะโกนเสียงดัง 

 

 

เมืองไคเต๋อ 

 

 

ในท้องพระโรงเงียบไปพักหนึ่ง ทุกนล้วนตะลึงไปแล้ว ฮ่องเต้ก็สีพระพักตร์ตกตะลึงเช่นกัน คล้ายชั่วขณะตอบสนองไม่ทันว่าเมืองไคเต๋อคือที่ใด? 

 

 

“ฝ่าบาท เอาเมืองไคเต๋อคืนได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีตะโกนเสียงดังอีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็ก้มตัวจรดพื้น ร่ำไห้โฮๆ “ยินดีกับฝ่าบาท ฉลองให้ฝ่าบาท ได้เมืองไคเต๋อกลับคืนแล้ว” 

 

 

เมืองไคเต๋อ ได้คืนแล้ว 

 

 

ในท้องพระโรงเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ฮือฮาทันที 

 

 

สาส์นแจ้งถูกส่งมาถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ตื่นเต้นมองสาส์นแจ้ง บรรดาขุนนางก็จับจ้องฮ่องเต้เขม็ง อยากแย่งมาดูยิ่งนักว่าจริงหรือไม่ 

 

 

“เป็นชัยชนะครั้งใหญ่จริงๆ” ในที่สุดฮ่องเต้ก็หาตัวอักษรคำว่าไคเต๋อได้ชัยครั้งใหญ่ห้าคำพบ ยืนยันว่าไม่ได้กำลังฝันแล้วตรัสเสียงดัง 

 

 

“ยินดีกับฝ่าบาท” หนิงเหยียนค้อมกายโขกศีรษะคำนับคนแรก 

 

 

คนอื่นก็รีบคุกเข่าตามพรึบพรับบ้าง ท่ามกลางการเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงนี้ การเคลื่อนไหวของหวงเฉิงแข็งทื่อเป็นพิเศษ ค้อมกายจรดพื้นซุกซ่อนสีหน้าทะมึนไว้ 

 

 

หลังคำอวยพรหลายคำ ผู้คนถึงลุกขึ้นสอบถามรายละเอียดของเรื่องราว 

 

 

เมื่อได้ยินว่าเป็นการกระทำของทหารประจำการห้าป้อมปราการใกล้ๆ เมืองไคเต๋อ ในท้องพระโรงพลันเงียบลงพักหนึ่งจากนั้นก็ฮือฮาอีกครั้ง 

 

 

“ต่อให้ห้าป้อมปราการก็มีเพียงสองพันกว่าคนกระมัง?” 

 

 

“เมืองไคเต๋อไม่ใช่มีทหารฝีมือดีสามสี่พันนายหรือ?” 

 

 

“ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นพวกเราห้าหมื่นสู้อีกฝ่ายสามหมื่น จำนวนคนเทียบกันห่างกันนัก คิดไม่ถึงจะมีเวลาที่พวกเราสองพันสู้กับสี่พันของอีกฝ่ายได้ด้วย” 

 

 

ได้ยินคำถาม ขุนนางทหารที่ติดตามขันทีมาก็อธิบายความเป็นไปของเรื่องราวให้ทุกคนฟัง แรกสุดพรรณนาการกระทำชั่วช้านานาชนิดของทหารจินที่ยึดครองเมืองไคเต๋อและความเดือดร้อนของชาวประชา 

 

 

เรื่องเหล่านี้ก่อนหน้านี้ไม่เคยเล่าอย่างละเอียด อย่างไรยามถูกคนยึดครองเล่าเรื่องเช่นนี้ทิ่มแทงใจจริงๆ ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงชอบฟัง 

 

 

บรรดาทหารประจำการมองเห็นความเหิมเหริมของทหารจินและความทุกข์ทนของประชาชนจึงไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป ดังนั้นหัวหน้าทหารติงต้าซาน หวังเป่า เหมาสือชีเป็นต้นจึงร่วมมือกัน ตัดสินใจเปิดศึกกับทหารจินในเมืองไคเต๋อ 

 

 

พวกเขาแรกสุดใช้ประโยชน์จากความคุ้นเคยสถานที่ภูมิประเทศ ซุ่มโจมตีทหารจินกลุ่มเล็กๆ ที่ออกจากเมือง แล้วโยนศพไว้หน้าเมืองไคเต๋อข่มขวัญทหารจิน 

 

 

หลังจากนั้นใช้ประโยชน์จากทางลับของเมืองไคเต๋อ ในคืนเดือนดับคืนหนึ่งส่งคนฝีมือดีลักลอบเข้าเมือง เผาทำลายค่ายทหาร อาศัยความวุ่นวายลอบโจมตีทหารที่เฝ้าประตูเมืองเปิดประตูเมือง ให้เหล่าทหารโจวที่รวมตัวร่วมมือกันพุ่งเข้ามา 

 

 

แล้วยังอาศัยความคุ้ยเคยกับเมืองตามหาจานเถี่ยมู่หัวหน้าทหารจินพบ ร่วมแรงกันสังหาร ทหารจินจึงโกลาหลเพราะเรื่องนี้ บ้างถูกสังหาร บ้างหนีออกจากเมืองไคเต๋อ 

 

 

เมืองไคเต๋อจึงถูกเอาคืนมาได้เช่นนี้ 

 

 

พูดถึงตรงนี้ แม่ทัพก็ยกกล่องไม้กล่องหนึ่งขึ้นถวาย 

 

 

“นี่คือศีรษะของโจรจินจานเถี่ยมู่” เขาเอ่ยเสียงดัง 

 

 

เมื่อฟังเรื่องราวเหล่านี้คนในที่นั้นก็หัวใจฮึกเหิมประหนึ่งเห็นกับตาตน กระบวนการนี้กล้าหาญชาญฉลาดไม่รีบร้อนไม่ลนลาน เรื่องราวดั่งเมฆาเคลื่อนสายน้ำไหล 

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงศึกครั้งนี้ยอดเยี่ยมปานนี้ ขุนนางฝ่ายพลเรือนที่เล่าเรื่องโดยละเอียดคนนี้ทักษะภาษาก็ไม่ธรรมดาเลย กรมกลาโหมถึงกับมีขุนนางฝ่ายพลเรือนที่ร้ายกาจเช่นนี้ด้วย? ในเวลาสั้นปานก็เขียนเรื่องเล่าที่ดีเช่นนี้ได้? 

 

 

ฮ่องเต้สดับฟังจนพระทัยเกษมสำราญ ออกคำสั่งขันทีให้เปิดกล่อง ให้ทุกคนล้อมมาดูศีรษะของโจรจิน 

 

 

“เห็นได้ว่าโจรจินแข็งนอกอ่อนใน แม่ทัพผู้กล้าของพวกเราคงขับไล่โจรจินได้ในเร็ววัน” หนิงเหยียนเอ่ยเสียงดัง พลางคำนับฮ่องเต้อีกครั้ง “ยินดีกับฝ่าบาท ฉลองแด่ฝ่าบาท” 

 

 

คราวนี้พูดเช่นนี้ฟังดูมีความมั่นใจและรื่นหูขึ้นมากแล้ว ฮ่องเต้แย้มสรวลพยักหน้า 

 

 

“ใช่แล้ว ฝ่าบาท” หวงเฉิงพลันก้าวออกมาบ้าง เอ่ยขึ้นว่า “นี่น่ายินดีน่าฉลองจริงๆ ฝ่าบาทวางพระทัยได้แล้ว” 

 

 

เขาถึงกับเอ่ยเช่นนี้ด้วย? 

 

 

หนิงเหยียนเหล่ตามองเขา 

 

 

ฮ่องเต้ได้ยินถ้อยคำแสดงความยินดีของเขา สีพระพักตร์ยิ่งผ่อนคลาย 

 

 

“มีทหารน้อยนิดเพียงสองพันนาย เผชิญหน้ากับป้อมปราการแข็งแกร่งและโจรจินฝีมือดีมากมาย ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาไม่เพียงเอาเมืองไคเต๋อคืนมา ยังสังหารหัวหน้าโจรจินได้ด้วย นี่เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ปานใด” หวงเฉิงเอ่ยอย่างฮึกเหิมพลางคำนับฮ่องเต้อีกครั้ง “นี่ล้วนเป็นพระปรีชาของฝ่าบาท โชคของปวงประชา” 

 

 

ผู้คนจึงรีบร้อนตะโกนเสียงดังตามอีกครั้ง 

 

 

“ฝ่าบาท แม่ทัพดีทหารกล้าเหล่านี้ต้องประทานรางวัลให้หนักนะพ่ะย่ะค่ะ” หวงเฉิงเอ่ย 

 

 

ฮ่องเต้สรวลพลางยกพระหัตถ์ 

 

 

“ให้รางวัล ให้รางวัลหนักๆ” เขาเอ่ย 

 

 

“ฝ่าบาท มีแม่ทัพดีทหารกล้าเหล่านี้อยู่” หวงเฉิงเอ่ยต่อพร้อมเงยหน้ามองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าจริงใจ “ต่อให้ย้ายเฉิงกั๋วกงกลับมาป้องกัน ต้าโจวของพวกเรายังกลัวโจรจินโอหังอย่างไรอีก กลัวทัพใหญ่ห้าหมื่นของโจรจินประชิดชายแดนอย่างไรอีก” 

 

 

มาแล้ว! 

 

 

หนิงเหยียนพลันสีหน้าบึ้งตึง ในใจเต้นตึกตักทีหนึ่ง รู้อยู่แล้วเชียวว่าหวงเฉิงคนนี้ไม่หวังดี 

 

 

คราวนี้แย่แล้ว 

 

 

เสียเมืองไคเต๋อจะย้ายเฉิงกั๋วกงกลับ ได้เมืองไคเต๋อคืน ฮ่องเต้ยิ่งมีเหตุผลให้ย้ายเฉิงกั๋วกงกลับแล้ว นี่จะทำอย่างไร? 

 

 

“ฝ่าบาท…” เขารีบจะเอ่ยปาก 

 

 

พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วย 

 

 

“ฝ่าบาท ชัยชนะครั้งใหญ่ของเมืองไคเต๋อก็เพราะเฉิงกั๋วกงชี้แนะถึงได้มา” 

 

 

อะไรนะ? 

 

 

นี่เกี่ยวข้องกับเฉิงกั๋วกง? 

 

 

ผู้คนตะลึงอีกครั้ง มองไปทางขุนนางกรมกลาโหมที่พูดอยู่ 

 

 

ขุนนางกรมกลาโหมสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง คล้ายสิ่งที่ตนเองพูดเป็นเรื่องสมควร ความประหลาดใจของผู้คนกลับกลายเป็นสิ่งประหลาดยิ่ง 

 

 

“บนสาน์นรายงานเขียนไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย ยื่นมือชี้ไปทางสาส์นรายงานที่วางอยู่บนโต๊ะทรงงาน “พวกติงต้าซานเพราะวางแผนการรบภายใต้การจัดการชี้แนะของเฉิงกั๋วกงจึงคราวเดียวสำเร็จ” 

 

 

เขียนไว้หรือ? 

 

 

ฮ่องเต้เมื่อครู่สนใจเพียงยืนยันห้าคำนั่น กลับไม่ได้อ่านคำอื่นๆ ในสาส์น 

 

 

พระองค์ยื่นมือถือสาส์นรายงานอ่านไปทีละคำๆ เป็นอย่างที่ว่าปรากฏชื่อของเฉิงกั๋วกงจริงๆ 

 

 

ถึงกับ…. 

 

 

ที่แท้… 

 

 

เป็นเช่นนี้…. 

 

 

“คราวนี้เหนือกว่าแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยเสียงเบากับสหายขุนนางข้างกาย มุมปากผุดรอยยิ้มบาง “นับถือ”