ภาค 3 บทที่ 195 ถามสักคำรู้จักท่านชายไหม

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงเพล้งกังวานดังขึ้นทีหนึ่งทำลายความเงียบในห้อง 

 

 

หวงเฉิงมองถ้วยชาที่เขวี้ยงลงบนพื้น ในหูเสียงแสดงความยินดีในท้องพระโรงตอนกลางวันยังคงอยู่ไม่จางหายไป 

 

 

“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เขาเงยหน้ามองเหล่าบุรุษที่ยืนตรงหน้า “ทำไมเกี่ยวข้องกับเฉิงกั๋วกงได้? ทำไมพวกเราไม่ได้ข่าวสักนิด?” 

 

 

บุรุษคนหนึ่งก้มหน้าก้าวออกมา 

 

 

“เพราะไม่อนุญาตให้ช่วยเหลือ ตัดขาดจากเมืองไคเต๋อ ดังนั้นการข่าวด้านนั้นจึงค่อนข้างติดขัด” เขาเอ่ยเสียงเบา 

 

 

“ถ้าเจ้าพูดเช่นนี้ เป็นข้าทำตัวเองรึ?” หวงเฉิงยื่นมือชี้ตนเองเอ่ยขึ้น 

 

 

บุรุษตกใจรีบคุกเข่าลง 

 

 

“ใต้เท้า ผู้น้อยไม่กล้า ผู้น้อยไม่กล้า” เขาโขกศีรษะเอ่ยย้ำๆ 

 

 

ส่วนคนอื่นก็กลั้นหายใจเงียบเสียง 

 

 

หวงเฉิงสูดลมหายใจลึกหลายหน 

 

 

“พูด” เขาเอ่ยเสียงเข้ม 

 

 

บุรุษคุกเข่ากับพื้นขานรับ 

 

 

“ก็เป็นเช่นนั้นอย่างที่เล่า พวกติงต้าซานหลายคนร่วมมือกันกระทำ พวกเขากัดฟันบอกว่าได้รับคำชี้แนะของเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ย 

 

 

หวงเฉิงยิ้มหยัน 

 

 

“เฉิงกั๋วกงกิจทางการทหารมากมาย จะรู้จักว่าพวกเขาไม่กี่คนนี้เป็นใครรึ” เขาเอ่ย 

 

 

หัวหน้าทหารหลายคนนี้อย่างมากที่สุดก็ฐานะเป็นหัวหน้ากอง ทั้งแดนเหนือหัวหน้ากองมากดั่งดวงดาว เฉิงกั๋วกงจะรู้จักชัดเจนปานนี้ได้อย่างไร ยังรู้อีกว่าเมืองไคเต๋อมีทางลับ 

 

 

คนและเรื่องเหล่านี้เฉิงกั๋วกงต้องสืบแน่ ขอแค่สืบย่อมไม่มีทางไม่มีลมพัดหญ้าไหวได้ ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ข่าวสักนิดได้ 

 

 

ที่แท้ตรงไหนมีช่องโหว่? 

 

 

หวงเฉิงหยุดเท้า 

 

 

จูจั้น 

 

 

“มีข่าวคราวบุตรชายเฉิงกั๋วกงไหม?” เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม 

 

 

บุรุษส่ายศีรษะ 

 

 

“ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ” เขาเอ่ย 

 

 

หวงเฉิงยิ้มหยัน 

 

 

“พ่อดีลูกชายดี ตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน” เขาเอ่ย “แน่นอนย่อมร่วมแรงร่วมใจ” 

 

 

หวงเฉิงยกมือสะบัดแขนเสื้อ 

 

 

“จูจั้นต้องอยู่ที่เมืองไคเต๋อแน่ พลิกดินสามฉื่อหาให้ข้า” 

 

 

พวกบุรุษในห้องขานรับพร้อมเพรียง 

 

 

………………………………………. 

 

 

ทุ่งกว้างในช่วงหนาวจัดสายลมพัดหวีดหวิว ชั่วครู่ก็พัดจนคนหนาวถึงหัวใจ แต่คนมากมายถี่ยิบที่ยืนอยู่หน้าประตูเมืองไคเต๋อกลับไม่มีขลาดกลัวสักนิด ตรงกันข้ามแต่ละคนๆ ใบหน้าเริ่มแดงสีหน้าตื่นเต้น 

 

 

“ในเมืองนอกเมืองล้วนเก็บกวาดสะอาดแล้วหรือ?” ติงต้าซานคิดถึงอะไรได้ก็รีบร้อนหมุนตัวเอ่ยถาม 

 

 

หัวหน้าทหารหวังที่สวมชุดทหารใหม่ไม่เข้ากับรูปร่างที่ไม่รู้ค้นออกมาจากไหนเบิกตามองเขาทีหนึ่ง 

 

 

“เก็บกวาดแปดร้อยรอบแล้ว บนเนินดินสะอาดจนคนลื่นล้มได้แล้ว” เขาเอ่ย “ติงต้าซานเจ้าอย่าขี้ขลาดปานนี้ได้หรือไม่? นี่คนยังไม่มาเลยนะ เจ้าก็กลัวจนเป็นเช่นนี้แล้ว รอเห็นข้าหลวงผู้แทนพระองค์กับพวกใต้เท้าแม่ทัพกองซุ่มโจมตีเจ้าอย่าฉี่ราดกางเกงล่ะ” 

 

 

คำพูดนี้ทำให้คนรอบด้านล้วนประสานเสียงหัวเราะขึ้นมา 

 

 

ติงต้าซานหน้าแดงหูแดงถ่มน้ำลายคำหนึ่ง เพราะประสานเสียงหัวเราะ กลุ่มคนจึงขยับอยู่พักหนึ่งจึงมีคนเบียดเข้ามายืนข้างหน้าอีก 

 

 

แม้การเคลื่อนไหวนี้จะเล็กน้อยนักก็ยังคงถูกติงต้าซานค้นพบทันที 

 

 

“คนแซ่เหมา เจ้าถอยไปหน่อยสิ แย่งเอาหน้าอีกแล้ว” เขาถลึงตาตวาดใส่ขุนนางทหารวัยกลางคนร่างกายกำยำหน้าเ**้ยมคนหนึ่ง 

 

 

หัวหน้าทหารเหมาแค่นเสียงเหอะ 

 

 

“สังหารศัตรูตอบแทนบ้านเมืองเหมือนกัน เรียกแย่งเอาหน้าได้อย่างไร” เขาเอ่ย 

 

 

ติงต้าซานไม่สบอารมณ์กำลังจะโต้แย้ง พวกหัวหน้าทหารหวังก็กระทุ้งเขาจากด้านหลัง 

 

 

“มาแล้ว!” เสียงของพวกเขาเปลี่ยนโทนตะโกนบอก 

 

 

ติงต้าซานทั้งร่างเกร็งเครียดทันที ไม่มีเวลาสนใจหัวหน้าทหารเหมาแย่งเอาหน้าอีกต่อไป เขาเงยหน้ามองเห็นธงมากมายถี่ยิบปรากฏ ทรงอำนาจน่าเกรงขาม  

 

 

สถานการณ์นี้พวกเขาโตป่านนี้เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก พวกเขาล้วนไม่กล้าเอ่ยวาจาทันที สีหน้าตื่นเต้น 

 

 

ขบวนม้ามาเร็วนัก เดินเข้าใกล้ก็มองเห็นธงที่เขียนตัวอักษรนานาชนิดไว้ข้างบน ติงต้าซานก็รู้จักไม่หมด แล้วก็ไม่ทันดูด้วย เห็นเพียงธงละลานตาหลีกออกหน้าประตูเมือง แม่ทัพยศใหญ่ขุนนางตำแหน่งสูงขบวนหนึ่งในกองทัพอันลี่เดินออกมา มีแม่ทัพกองฝึกฝนป้องกัน กองป้องกันรักษา กองซุ่มโจมตี 

 

 

เหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่หัวหน้าทหารตัวเล็กๆ คนนี้อย่างเขาได้แต่มองอยู่ไกลๆ ในอดีต วันนี้ล้วนตั้งใจมาเพื่อพวกเขา 

 

 

ไม่ใช่แค่ขุนนางทหารเหล่านี้ ยังมีขุนนางพลเรือนกับขันทีซึ่งถือราชโองการสีเหลืองสว่างเล่มหนึ่งมาอีก 

 

 

รับราชโองการแล้ว ทิ้งนามไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว สุสานบรรพชนตระกูลติงจะมีควันเขียวลอยขึ้นแล้ว ติงต้าซานตื่นเต้นจนตัวสั่น 

 

 

“เหมาเถี่ยโถวคารวะใต้เท้า” 

 

 

มีคนโผผ่านข้างตัวเขาไป โขกศีรษะคำนับคารวะใต้เท้าทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พลางเอ่ยเสียงดัง 

 

 

เจ้าหนูนี่! ถ้าไม่เห็นแก่ที่เขามีส่วนห้าวหาญสังหารศัตรูด้วย เขาต้องฟันเขาตายแน่ 

 

 

ติงต้าซานด่าอยู่ในใจ รีบแย่งต้อนรับบ้าง 

 

 

ทุกสิ่งต่อจากนั้นดำเนินไปตามแผนการที่วางไว้ก่อนแล้ว ประกาศราชโองการของฮ่องเต้ พระราชทานรางวัลให้ เลื่อนตำแหน่งพระราชทานยศ บิดามารดาบุตรชายบุตรสาวของแต่ละคนล้วนได้รับรางวัลพระราชทาน 

 

 

เหล่าแม่ทัพของกองทหารอันลี่มองดูหัวหน้าทหารไม่กี่คนที่ยืนยิ้มโง่ๆ เสียกิริยาอยู่เบื้องหน้าผู้คน ในใจริษยายิ่งนัก 

 

 

พูดไปแล้วคนเหล่านี้ก็กระทำการโดยพลการ พวกเขาไม่รู้ข่าวสักนิด ผลปรากฏว่าตอนนี้ความดีความชอบสักนิดก็แบ่งไม่ได้ 

 

 

หากเป็นเวลาอื่นอย่างไรก็ต้องแย่งความดีความชอบบ้าง แต่เสียดายเรื่องคราวนี้ความหมายไม่ธรรมดา เมืองไคเต๋อสำหรับฮ่องเต้แล้วสำคัญยิ่งยวด พวกเขาไม่กล้าเล่นลูกไม้เวลานี้ ยิ่งไม่กล้าบีบคั้นหัวหน้าทหารที่กระทั่งชื่อก็จำไม่ได้ไม่กี่คนนี้ 

 

 

ต่อมาพวกข้าหลวงผู้แทนพระองค์ก็บำรุงขวัญเหล่าทหารที่สังหารศัตรูอีก ต่างมีพระราชทานรางวัล ทหารที่ตายไปก็บำรุงขวัญหนักหน่วงเช่นกัน หลังเข้าเมืองปลอบประโลมชาวบ้านที่หนีรอดจากความตายแล้ว เซ่นไหว้เหล่าขุนนางและชาวบ้านเช่นท่านเจ้าเมืองที่ปกป้องเมืองจนตายแล้ว วุ่นวายร่ำไห้หัวเราะจนกระทั่งเที่ยงวันถึงเข้าจวนที่ทำการขุนนางพักผ่อน 

 

 

พวกติงต้าซานเจ็ดคนเปลี่ยนเป็นชุดขุนนางใหม่แล้ว พวกเขาติดตามดูแลเหล่าขุนนางผู้แทนพระองค์ทั้งหลายเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น เรื่องที่พูดยังคงเป็นเกลียดชังทหารจินอย่างไร วางแผนสังหารศัตรูอย่างไร แล้วก็ทำทุกสิ่งนี้ได้อย่างไร 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นคำสั่งของเฉิงกั๋วกง มีสาส์นติดต่อหรือไม่?” แม่ทัพคนหนึ่งพลันเอ่ยถาม 

 

 

ติงต้าซานส่ายศีรษะ 

 

 

“ไม่มีสาส์นติดต่อขอรับ เฉิงกั๋วกงส่งทหารส่งสารคนหนึ่งมา” เหมาเถี่ยโถวชิงเอ่ยตอบ 

 

 

“ทหารส่งสารคนนั้นส่งข่าวเสร็จก็กลับไปแล้ว” ติงต้าซานไม่ยอมล้าหลังรีบเอ่ยขึ้น 

 

 

แม่ทัพคนนี้ไม่ได้สนใจการแข่งขันระหว่างสองคนนี่ พยักหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ 

 

 

ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าไม่มีหลักฐาน มีแต่คำพูดปากเปล่า 

 

 

คำพูดปากเปล่าแค่เตี๊ยมกันให้ดี อยากพูดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นไม่ใช่รึ 

 

 

เหล่าผู้แทนพระองค์เดินทางมาไกลเหนื่อยล้า สนทนาพาทีได้สักครู่ก็ไปผลัดผ้าผ่อนพักผ่อนแล้ว พวกติงต้าซานยังคงไม่ว่าง ถูกบรรดาสหายขุนนางที่ปกติคุ้นอยู่บ้างไม่คุ้นบ้างดึงไปถามนั่นถามนี่เอ่ยแสดงความยินดี บ้างริษยา บ้างนับถือ 

 

 

พวกติงต้าซานเริ่มเล่าเรื่องการเอาเมืองไคเต๋อคืนตั้งแต่ต้นอีกครั้ง พลันบุรุษที่ไม่สะดุดตาคนหนึ่งก็เอ่ยปากขัด 

 

 

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่เคยเห็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงไหม?” เขาถามสีหน้าเจ้าเล่ห์ “ทหารส่งข่าวคนนั้นคงไม่ใช่บุตรชายเฉิงกั๋วกงกระมัง?” 

 

 

คำพูดกะทันหันนี่ทำให้ห้องโถงที่เสียงดังวุ่นวายเงียบลงทันที 

 

 

สายตาของบุรุษกวาดผ่านสีหน้าของพวกติงต้าซาน สีหน้าของพวกเขางุนงง ไม่มีเสแสร้งสักนิด 

 

 

“ไม่นะ” พวกเขาพากันเอ่ยวุ่นวาย “ไม่ใช่เด็ดขาด” 

 

 

“พวกเราได้รับประกาศจับบุตรชายเฉิงกั๋วกงแล้ว แล้วก็แปะประกาศหมดแล้วด้วย” หัวหน้าทหารหวังเอ่ย “ไม่มีทางจำไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไม่มีทางปิดบังไม่แจ้ง ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วย” 

 

 

ก็เพราะตรวจสอบแล้วถึงถาม บุรุษยิ้มเรียบๆ 

 

 

“โจรจินขับไล่ไปแล้ว เรื่องนี้ใต้เท้าทั้งหลายก็ต้องใส่ใจไว้” เขาเอ่ย “ไม่ให้สร้างความวุ่นวายให้กิจของทหารกฎของประเทศ สั่นคลอนจิตใจประชาชน” 

 

 

พวกติงต้าซานรีบลุกขึ้นขานรับ 

 

 

………………………………………. 

 

 

ราตรีมาเยือน พวกผู้แทนพระองค์ออกจากเมืองไปแล้ว เมืองไคเต๋อไม่ได้เลี้ยงฉลองรางวัลจนหลงระเริง ยังคงเฝ้าเมืองตามเดิม เหล่าทหารยามต่างก็ทำหน้าที่ของแต่ละคน 

 

 

พวกติงต้าซานเดินเข้าไปในห้องพักประจำค่ายห้องหนึ่ง มองพวกเหล่าจิ่วที่อยู่ในห้อง 

 

 

“พวกเจ้าพรุ่งนี้ก็จะไปแล้วรึ?” ติงต้าซานเอ่ยถาม 

 

 

“ทำไม? ยังต้องให้พวกเราช่วยพวกเจ้าเฝ้าเมืองรึ?” เหล่าจิ่วเอ่ยถาม 

 

 

คนผู้นี้อะไรก็ดี แต่คำพูดจิกกัดคนเสมอ …แต่เวลานี้ยามนี้พวกติงต้าซานไม่มีทางไม่พอใจอย่างไรกับท่าทางของพวกเขา 

 

 

“พวกเราเพียงรู้สึกว่ารีบร้อนเกินไป” ติงต้าซานเอ่ยพลางถูฝ่ามือ หน้าแดง “นอกจากนี้ พวกเจ้าสิ่งใดก็ไม่ได้รับ…” 

 

 

“สิ่งที่พวกเราควรได้ย่อมมีที่ให้ไปรับ” เหล่าจิ่วเอ่ยขัดเขา 

 

 

คนผู้นี้ก็พูดจารวบรัดตัดจบเช่นนี้ ติงต้าซานได้แต่เก็บความเกรงใจเหล่านี้ไว้ 

 

 

“อ้อใช่แล้ว” เขาพลันคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วมองเหล่าจิ่ว “เจ้ารู้จักบุตรชายเฉิงกั๋วกงไหม?” 

 

 

“รู้จักสิ” เหล่าจิ่วเอ่ยตอบทันที “บุตรชายเฉิงกั๋วกงคนหนุ่มอายุน้อยผู้มีความสามารถปกครองฟ้าดิน มีปัญญารักษาความสงบสุขของบ้านเมือง เป็นมังกรหลับหงส์ดรุณ หน้าตาความสามารถเพียบพร้อม ความเมตตาคุณธรรมความกล้าหาญเคียงคู่ เฉลียวฉลาดวรยุทธ์ล้ำเลิศปานนั้น ใครไม่รู้จักได้เล่า?” 

 

 

พวกติงต้าซานตาโตอ้าปากค้าง 

 

 

เกินไปหน่อยไหม?