บทที่ 1143 บุคคลที่สามที่ซ่อนตัวอยู่

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“เอาล่ะ ยัยโง่ เธอไปก่อนเลย” เฮยซือหันไปพูดกับอวี๋ซือหราน

“อื่ม” อวี่ซือหรานพยักหน้า

“เชื่อฟังง่ายๆ อย่างนี้เลยหรอ…”

“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเชื่อใจคนที่เรียกตัวเองว่ายัยโง่มากกว่าพวกเรา…”

“นายลองส่องกระจกดูก็จะรู้ว่าทำไม”

“เฮ้ย หมายความว่ายังไงวะ!”

ตอนนี้ซอมบี้โลลิได้หมุนตัวหันหลัง ย่อตัวลงและพุ่งตัวไปทางกำแพงอย่างรวดเร็ว ขณะที่วิ่งจนเกือบถึงกำแพง เธอชะงักไปครู่หนึ่งและงอเข่า จากนั้นก็ดีดตัวข้ามไปยังอีกฝั่งของกำแพง

เห็นชัดว่าเธอเข้าไปในโกดังอาหารสำเร็จแล้ว

“ต่อไปพวกเราก็รอฟังสัญญาณ” เฮยซือหันมาบอก

แกร๊ก!

อวี๋ซือหรานเหยียบไม้พุ่มและกระโดดลงพื้น เมื่อกิ่งก้านที่มีขวากหนามงอกเต็มไปหมดถูกเหยียบย่ำจนแตกหักทีละก้านๆ ดวงตาซอมบี้โลลิก็ค่อยๆ กวาดมองไปรอบด้าน และกลายเป็นสีแดงในชั่วพริบตา

หลังจากเงียบไปห้าวินาที เธอก็ส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยกนิ้วกดขมับ

“เป็นยังไงบ้าง?” เสียงหนึ่งพลันส่งผ่านมาจากสมองเธอ หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือ เสียงนั้น “ดัง” ขึ้นในสมองเธอ เพราะว่าแหล่งกำเนิดเสียงอยู่ในสมองของเธออยู่แล้ว

“ไม่มีใครเลย” อวี๋ซือหรานตอบ

เฮยซือที่อยู่ด้านนอกกำแพงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด…จากเสียงที่อวี๋ซือหรานกระโดดลงพื้นเมื่อกี้ ถ้าหากมีใครอยู่ใกล้ๆ คงจะตกใจกับเสียงเคลื่อนไหวนั้นไปแล้ว และในเวลาห้าวินาทีนั้น ก็มากพอที่อีกฝ่ายจะเดินมาตรวจสอบดู หรือไม่ก็พยายามสัมผัสรู้ผ่านวิธีต่างๆ

แต่อวี๋ซือหรานดมกลิ่นก็แล้ว สังเกตก็แล้ว เฮยซือเองก็แผ่พลังจิตออกไปเช่นกัน ทว่าพวกเธอก็ยังไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น

ถ้าหากไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่มีคนจริงๆ แสดงว่าคนพวกนั้นจะต้องระวังตัวกันอย่างมาก และหากเป็นอย่างหลัง ก็คงไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพวกเขานัก

“ตอนนี้ฉันต้องทำยังไง?” อวี๋ซือหรานถาม

“สำรวจต่อไป แล้วก็ตื่นตัวไว้เสมอด้วย” เฮยซือบอก

เพิ่งพูดจบประโยค เธอก็พลันตระหนักได้ทันที บางที นี่อาจเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่สุดที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ก็ได้…

หวาดระแวงไปหมดทุกสิ่ง

แต่ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ พวกเขายังต้องรักษาท่าทีอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ…

“เมื่อเป็นอย่างนี้ พวกนั้นก็จะเสียเวลาและเสียเรี่ยวแรงมากกว่าเดิม และภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียด การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็จะเกิดช่องโหว่ได้ง่ายขึ้น นี่ต่างหากคือแผนที่จะทำให้พวกเราได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดหวังไว้ ไม่ใช่หรือไง?” หญิงสาวมองหน้าหัวหน้าทีม แล้วถาม

หัวหน้าทีมผู้นี้กำลังปากอ้าตาค้าง…นี่มัน…เวินเสี่ยวอวี่ที่เขาเคยรู้จักจริงๆ หรือ?

ในตอนนี้เอง เสียง “แอ๊ด” พลันดังมาจากความมืดเบาๆ

เมื่อแสงสว่างทอดผ่านช่องประตู เงาร่างของใครอีกคนก็ปรากฏตัวที่ประตู

หัวหน้าทีมรีบตวัดสายตาไป…ผู้มาคือหลิวหยาง สมาชิกทีมที่เขาค่อนข้างคุ้นเคยดี เขายังจำได้ดีว่าวันแรกที่มาที่นี่ หลิวหยางกับเวินเสี่ยวอวี่รับหน้าที่จัดการเรื่องรถอยู่ข้างนอกสองคน

ถ้าอย่างนั้น…หลิวหยางก็มีส่วนร่วมในแผนการนี้ด้วยงั้นหรอ?

แต่หัวหน้าทีมกลับไม่ได้ถามออกไป…เพราะตอนนี้สายตาที่หลิวหยางมองมาที่เขา คล้ายไม่ได้สนิทสนมเหมือนแต่ก่อน…

หลิวหยางขยับคอไปมาอย่างทื่อๆ สองสามที จากนั้นก็มองหน้าหัวหน้าทีม บอกว่า “พวกนั้นเข้ามาแล้ว”

“เข้ามาแล้ว…” หัวหน้าทีมรีบลุกยืนตัวตรง

เขาดึงปืนพกออกมา บอกว่า “ดีมาก ในเมื่อพวกมันเข้ามาแล้ว ก็อย่าปล่อยให้พวกมันมีโอกาสไปจากที่นี่อีก”

“เวินเสี่ยวอวี่ หลิวหยาง ไปบอกทุกคนให้เข้าประจำตำแหน่งของแต่ละคน พวกเราจะลงมือกันแล้ว” หัวหน้าทีมบอก

ทว่าหลังจากหัวหน้าทีมออกจากห้องไป หลิวหยางกลับมองหน้าเวินเสี่ยวอวี่

พวกเขาสองคนสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็บิดคอไปมาด้วยท่าทางที่เหมือนกันทุกประการ กระทั่งสีหน้าของพวกเขาก็ยังคล้ายกันมากราวกับเป็นคนคนเดียวกัน

“ทำไมยังต้องมอบสิทธิ์ในการสั่งการให้เขา” หลิวหยางถาม

“เพราะการตัดสินใจของเขาเหมือนมนุษย์มากกว่า แบบนั้นจะปกปิดได้เนียนกว่า” เวินเสี่ยวอวี่ตอบ

“แต่ว่าเขาเริ่มสงสัยแล้ว” หลิวหยางบอก

“แต่เขาไม่ได้โง่ ดังนั้นเขาจะยังคงเงียบต่อไป และหาคำอธิบายดีๆ ให้ตัวเอง ถึงจะไม่ใช่อย่างนั้น ความปรารถนาที่เขามีต่อรางวัลก็จะทำให้เขามองข้ามเรื่องพวกนี้ไปชั่วคราว” เวินเสี่ยวอวี่บอก

หลิวหยางเงียบ ทั้งสองสบตากันอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าพร้อมกัน

“ตกลงตามนี้…”

บทสนทนาแปลกๆ ที่ราวกับกำลังคุยกับตัวเองนี้ คล้ายไม่มีบุคคลที่สามได้ยิน…

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ในกล่องใบหนึ่งที่มีแต่เศษขยะกองรวมกันอยู่นอกประตู เครื่องมือสื่อสารซึ่งมีไฟสีเขียวกระพริบติดๆ ดับๆ เครื่องหนึ่งวางอยู่ในนั้น และหลังจากที่ไฟกระพริบประมาณสิบครั้ง มันก็ดับไปอย่างรวดเร็ว…

ถ้าหากไม่ได้จงใจเดินเข้าไปดูดีๆ ก็ไม่ใครสังเกตเห็นเครื่องมือสื่อสารเครื่องนั้นแน่นอน…

“แซ่ดด~~~”

ณ สำนักงานใหญ่ของค่ายฟอลคอนแห่งเมือง X

เสียงคลื่นรบกวนดังขึ้นระลอกหนึ่ง เสนาธิการหวังลดเครื่องมือสื่อสารในมือลงช้าๆ

เขาสอดประสานนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกัน รอยยิ้มจางค่อยๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้า

“น่าสนใจ…”

ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาพลันเงยหน้าขึ้น และดีดนิ้วเสียงดัง

ประตูห้องถูกเปิดทันที พร้อมกับเงาร่างของผู้ช่วยสาวที่เดินเข้ามา

“รายงานพวกเขาไป แผนการเปลี่ยนไปแล้ว” หลังพูดจบ เสนาธิการหวังก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ครั้งนี้ หลิงม่อตายแน่นอน”

…………

“ฮั่กๆ…ฮั่กๆ…”

หัวหน้าทีมเดินจ้ำไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลางเหลือบมองข้างหลังเป็นระยะ

หลังมั่นใจว่าข้างหลังไม่มีใครตามมา เขาพลันถอนหายใจยาวๆ

จากนั้น เขาก็ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง

มีแต่เหงื่อเต็มไปหมด…

“ต้องกลัวขนาดนี้เลยหรอ…” หัวหน้าทีมอดเย้ยหยันตัวเองไม่ได้

เครื่องมือสื่อสารเครื่องนั้น เดิมทีเขาหมายจะเก็บไว้ใช้ตอนสุดท้าย…แต่ตอนนี้…

“ไหนๆ ก็ทำไปแล้ว อย่าคิดมากอีกเลย ถึงจะไม่เจอช่องโหว่อะไร แต่ระวังไว้ก่อนย่อมไม่เสียหาย ไม่แน่ว่า…อาจเป็นบอสใหญ่ที่กำลังจับตามองฉันก็ได้…” หัวหน้าทีมกัดฟันกรอด

“ที่ฉันทำอย่างนี้ ก็เพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต…”

ตอนที่มีคนมอบเครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้ให้เขา คนผู้นั้นได้ถ่ายทอดคำพูดของเสนาธิการหวังด้วย

ใช้หรือไม่ใช้ ล้วนเป็นสิทธิของคุณ ถึงแม้มันมีอายุการใช้งานเพียงสามสิบวินาที แต่ถ้าหากคุณใช้มัน ผมจะซาบซึ้งมาก…

“สามสิบวินาที…ผู้ชายคนนี้รอบคอบมาก” พอหวนนึกถึงเรื่องนี้ มุมปากของหัวหน้าทีมก็อดกระดกขึ้นไม่ได้

“ช่วยไม่ได้ คนที่จะงัดข้อกับค่ายปาฏิหาริย์ได้ ก็มีแค่ฟอลคอนเท่านั้น ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษที่บอสใหญ่แค้นฝังหุ่นเกินไป แทนที่จะเอาเวลาไปพัฒนาค่ายของเรา กลับหมกมุ่นแต่จะแก้แค้นหลิงม่อ ไม่คิดบ้างหรอว่าฟอลคอนต่างหากที่เป็นกองทัพที่แท้จริง ถ้าสุดท้ายแล้วอย่างไรก็ต้องเลือกเป็นศัตรูกับค่ายปาฏิหาริย์ ฉันขอเลือกภูเขาที่มั่นคงกว่าเป็นที่พึ่งพิงดีกว่า”

หัวหน้าทีมค่อยๆ กำนิ้วมือเข้าหากันเพื่อกระชับด้ามปืนในมือแน่น

“ถ้าหากกำจัดหลิงม่อได้ เสนาธิการหวังคงไม่ใช่แค่รู้สึกซาบซึ้งต่อฉันสินะ? ยิ่งฉันเสี่ยงอันตรายเท่าไหร่ รางวัลที่ได้ก็จะยิ่งสูงเท่านั้น แทนที่จะใช้ชีวิตเสี่ยงตายไปวันๆ สู้ลุยซักตั้งเพื่อไต่เต้าขึ้นไปอยู่ตำแหน่งสูงๆ ดีกว่า! ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังมีคนคอยปูทางให้ฉันอีกด้วย!”

ขณะที่หัวหน้าทีมผู้นี้กำลังครุ่นคิดในใจ เขาก็ได้ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แล้วค่อยๆ ก้าวเดินต่อ…เขาเพิ่งเดินเลี้ยว เบื้องหน้าก็ปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งขึ้น

หัวหน้าทีมไม่มีท่าทีแตกตื่น เขาเพียงพ่นลมหายใจเบาๆ หนึ่งที จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นาย มากับฉัน”

—————————————————————————–