ตอนที่ 55 วิชาแพทย์ของฉันยังอ่อนด้อยนัก

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

กู้จิ้งตระหนักดีว่า บางทีท่านหมอเหลิ่งผู้นี้อาจเป็นหมอที่เก่งและมีความรับผิดชอบสูงมาก แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านยุคสมัยและสภาพแวดล้อม เขาจึงไม่รู้ว่าอะไรคือยาปฏิชีวนะ และไม่มีทางหายาวิเศษซึ่งประเทศจีนในช่วงทศวรรษที่สี่สิบของศตวรรษที่สิบเก้ายังขาดแคลนอยู่มาได้

เมื่อเผชิญหน้ากับอาการไข้สูงจากการติดเชื้อเช่นนี้ เขาจึงไม่อาจทำอะไรได้เลย

เมื่อกู้จิ้งปรากฏตัวต่อหน้าคนเจ็บแล้วเริ่มตรวจดูอาการ เธอสัมผัสได้ว่าท่านหมอเหลิ่งกำลังมองเธอด้วยสายตาพินิจพิจารณา

เธอไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้หยิบปรอทซึ่งอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาใช้ เธอกลัวว่าหากตัวเองทำอะไรผิดปกติมากเกินไปจะทำให้ท่านหมอเหลิ่งสงสัยขึ้นมาได้

เห็นได้ชัดว่าท่านหมอเหลิ่งผู้นี้ไม่เหมือนกับเซียวเถี่ยเฟิงที่สามารถยอมรับการกระทำและคำพูดแปลกๆ ทั้งหมดของเธอได้โดยไร้เงื่อนไข ยิ่งไม่เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ที่คิดง่ายๆ ว่าเธอมีพฤติกรรมไม่เหมือนคนอื่นก็เพราะเธอเป็น ‘ปีศาจ’ เป็น ‘ต้าเซียน’

นับแต่ครั้งแรกที่เห็นท่านหมอเหลิ่ง เธอก็สัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนที่มีสัญชาตญาณเฉียบไวมาก

เธอเพียงแค่ใช้มือสัมผัสอุณหภูมิร่างกายของคนเจ็บ จากนั้นก็หยิบยาเพนิซิลลินออกมาป้อนให้

“ต่อจากนี้ ฉันจะเอาโอสถทิพย์มามอบให้เขาทุกแปดชั่วโมง”

มารดากับภรรยาของคนเจ็บต่างกล่าวขอบคุณด้วยท่าทางหวาดหวั่น เธอก็รีบฉวยโอกาสบอกวิธีดูแลคนเจ็บให้

จนกระทั่งเตรียมตัวหันกายจากไป เธอพบว่าท่านหมอเหลิ่งยิ่งจ้องเธอตาเขม็งโดยไม่คิดจะปิดบังสักนิด

“วิชาแพทย์ของฉันยังอ่อนด้อยนัก ต่อไปต้องขอให้ท่านหมอเหลิ่งช่วยชี้แนะด้วย” เธอยิ้มถ่อมตัว

“หากฮูหยินเซียวสามารถรักษาอาการไข้สูงนี้ได้ ย่อมนับได้ว่าเป็นหมอเทวดาที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้เลย” ท่านหมอเหลิ่งกล่าวเสียงเรียบ

“ท่านหมอเหลิ่งล้อเล่นแล้ว ฉันแค่อาศัยยาที่มีอยู่ในมือ หากกินหมดเมื่อไหร่ คิดจะเป็นหมอเทวดาก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”

ในความเป็นจริงแล้ว หากกระเป๋าหนังสีดำของเธอยังคงมหัศจรรย์เช่นนี้ ยาเพนิซิลลินย่อมมีให้กินได้ไม่จำกัด แต่ที่เธอพูดเช่นนี้ก็เพราะต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามเลิกหวาดระแวง

ท่านหมอเหลิ่งรั้งสายตากลับโดยไม่พูดอะไรอีก กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ก็ก้าวเท้าจากไปด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน

พอก้าวออกไปก็เจอกับเซียวเถี่ยเฟิงที่ออกมาจากห้องข้างๆ พอดี เธอจึงรีบเดินไปหา

“อาการบาดเจ็บของเถี่ยหนิวเป็นอย่างไรบ้าง? รักษาได้ไหม?” เซียวเถี่ยเฟิงถามถึงอาการของคนเจ็บ

“น่าจะได้นะ ฉันให้ยาไปแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา” ถึงอย่างไรอาการบาดเจ็บก็สาหัสไม่น้อย เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปอาการอักเสบของเขาจะเป็นอย่างไร

“ดี ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตามข้าไปดูจิ้งเทียนหน่อย อาการของเขาไม่น่าวางใจเลย” กล่าวจบเซียวเถี่ยเฟิงก็ลากกู้จิ้งเดินไปทันที

กู้จิ้งนึกถึงเรื่องที่จ้าวจิ้งเทียนกระอักเลือดแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

“ฉันเห็นท่านหมอเหลิ่งรักษาไปแล้วไม่ใช่หรือ ท่านหมอเหลิ่งว่าอย่างไรบ้าง?”

“ท่านหมอเหลิ่งสั่งยาให้ ตอนนี้ก็กินไปแล้ว แต่ข้ายังไม่วางใจอยู่ดี เขาเจ็บขา แต่ท่านหมอตรวจดูแล้วบอกว่าไม่หนักหนาอะไร ให้พักผ่อนเท่านั้นก็พอ”

“ท่านหมอเหลิ่งคนนั้น…” กู้จิ้งคิดๆ แล้วก็พูดว่า “เขาดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”

“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกลัว” เซียวเถี่ยเฟิงปลอบใจ “ตระกูลของท่านหมอเหลิ่งเป็นหมออยู่ที่เขาเว่ยอวิ๋นมานานแล้ว ท่านชอบอ่านหนังสือ ปกติไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แต่จริงๆ แล้วเป็นคนดีมาก”

ระหว่างที่พูด เซียวเถี่ยเฟิงก็นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ก่อนหน้านี้สวนแตงของท่านมักจะถูกพวกนกบุกมาจิกกินบ่อยๆ ท่านก็เลยจ้างข้าไปช่วยเฝ้าสวนให้ ให้ค่าตอบแทนคืนละสิบอีแปะ เพราะอย่างนี้ ข้าก็เลยได้พบกับเจ้า”

“สิบอีแปะงั้นหรือ?” กู้จิ้งอดถอนใจไม่ได้ ค่าแรงของท่านบรรพบุรุษของเธอถูกซะไม่มี ไม่ได้ ต่อไปต้องขึ้นราคา

ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงบ้านของจ้าวจิ้งเทียน พอเข้าไปก็ได้กลิ่นยาฉุนไปหมด

ในห้องนั้นมีหญิงชราอยู่สองคน คนหนึ่งคือคนที่เคยยืนขวางประตูห้องคลอดเอาไว้ น่าจะเป็นมารดาของจ้าวจิ้งเทียน ส่วนอีกคนหนึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน น่าจะเป็นอาสะใภ้หรืออะไรทำนองนั้น

มารดาของจ้าวจิ้งเทียนเห็นกู้จิ้งมา สีหน้าก็บอกชัดว่าอึดอัดขัดเขินมาก นางจึงได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงนั้น

“เขาเป็นยังไงบ้าง?”

กู้จิ้งถามเสียงเรียบ ไม่คิดจะแสดงความเป็นมิตรกับอีกฝ่ายสักนิด

“หลับไปแล้ว แต่เขาเจ็บมาก หลับก็หลับไม่สนิท!” มารดาของจ้าวจิ้งเทียนก้มหน้าลงเช็ดน้ำตา “ต้าเซียน ท่านช่วยดูหน่อยเถิด ขาของเขาแค่แตะโดนก็เจ็บมาก ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ? คง…คงไม่กลายเป็นคนขาเป๋หรอกนะ!”

พูดถึงคำว่าขาเป๋ มารดาของจ้าวจิ้งเทียนก็น้ำตาร่วงด้วยความโศกเศร้า

“เขายังไม่มีลูกสักคน ถ้ากลายเป็นคนขาเป๋ไปจริงๆ จะแต่งเมียดีๆ ได้อย่างไร!”

เมียดีๆ?

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็แค่นยิ้มเย็น “เมียเพิ่งตายก็คิดจะแต่งใหม่แล้ว ช่างเร็วเหลือเกินนะ!”

คำพูดนี้ทำให้มารดาของจ้าวจิ้งเทียนถึงกับพูดไม่ออก นางก้มหน้าลงด้วยความละอาย “ข้า… ข้า…”

นางกัดฟันแน่น พอหันไปมองใบหน้าเขียวคล้ำราวกับผักของบุตรชาย ทันใดนั้นนางก็ตัดสินใจทรุดลงคุกเข่าแล้วโขกศีรษะไม่หยุด “ต้าเซียน ข้าผิดไปแล้ว หญิงไม่รู้ความเช่นข้าผิดไปแล้ว ข้ามีตาแต่ไม่รู้จักต้าเซียน ต้าเซียนโปรดช่วยลูกของข้าด้วย ช่วยรักษาขาของเขาด้วย!”

เซียวเถี่ยเฟิงรีบประคองมารดาของจ้าวจิ้งเทียนให้ลุกขึ้น “ท่านป้า ไยต้องทำเช่นนี้ ในเมื่อนางมาแล้วย่อมต้องช่วยรักษาจิ้งเทียนสุดความสามารถ เราจะไม่ยืนดูอยู่เฉยๆ แน่ เพียงแต่เราก็ได้แต่พยายาม ผลจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสวรรค์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวาสนาของจิ้งเทียนแล้ว”

คำพูดของเขาฟังดูสุภาพอ่อนโยน แต่ความหมายชัดเจนมาก

นั่นก็คือถ้าช่วยไม่ได้ก็เป็นโชคชะตาของจิ้งเทียนเอง ไม่ใช่เมียของข้าไม่ช่วย

สำหรับเซียวเถี่ยเฟิงแล้ว พี่น้องสำคัญมาก แต่ภรรยาก็ต้องปกป้อง อย่าคิดจะมาโทษกันง่ายๆ

มารดาของจ้าวจิ้งเทียนได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันที “เจ้าพูดถูก เจ้าพูดถูก ขอเพียงต้าเซียนยอมช่วย ผลสุดท้ายเป็นอย่างไรล้วนเป็นวาสนาของจิ้งเทียน เป็นเวรกรรมของยายแก่อย่างข้าเอง จะโทษคนอื่นไม่ได้! สงสารก็แต่หลานของข้าเท่านั้นที่รักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้!”

กู้จิ้งเห็นหญิงชรามีท่าทางหวาดหวั่นก็สะใจมาก จริงๆ แล้วเธอเองก็ตระหนักดีว่า ที่วันนั้นหญิงชราผู้นี้ยืนกรานไม่ยอมให้เธอเข้าไปในห้องคลอดและเลือกเสียสละลูกสะใภ้เพื่อ ‘หลานตัวอวบอ้วน’ ล้วนเป็นเพราะข้อจำกัดของยุคสมัยและสภาพแวดล้อม จะโทษนางไม่ได้ แต่พอกู้จิ้งคิดขึ้นมาก็ยังคงรู้สึกหนาวเยือกอยู่ในอก วันนี้เธอจึงจงใจกลั่นแกล้งอีกฝ่าย

จะได้ทำให้นางรู้ว่าอย่าวางอำนาจมากเกินไป เพราะต้องมีสักวันที่ท่านจะต้องก้มหัว

กู้จิ้งมองหญิงชราซึ่งคุกเข่าน้ำตานองอยู่ตรงหน้าแล้วก็แค่นยิ้มเย็นอยู่ในใจ ปากจงใจกล่าวว่า “ฉันเป็นปีศาจ เกรงว่าจะรักษาลูกของป้าไม่ได้ ซ้ำร้ายจะทำให้เป็นหนักยิ่งกว่าเดิม”

หญิงชราได้ยินเช่นนี้ก็รีบโขกศีรษะอีกรอบ จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองแรงๆ อีกหลายครั้ง

“ข้าโง่ ข้ายิ่งแก่ก็ยิ่งเลอะเลือน ล่วงเกินต้าเซียน ต้าเซียนโปรดอภัยด้วย ยกโทษให้ข้าสักครั้งเถิด!”

กู้จิ้งทั้งกลั่นแกล้ง ทั้งข่มขู่หญิงชราจนสะใจแล้วถึงได้ยอมเลิกรา

สั่งสอนจบ เธอก็เดินเข้าไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของจ้าวจิ้งเทียน

ไม่มีรังสีเอกซ์ก็ได้แต่ใช้มือคลำดู เธอพบว่ากระดูกซี่โครงของจ้าวจิ้งเทียนหัก กระดูกขาก็หัก ส่วนหัวใจตับปอดที่อยู่ข้างในมองไม่เห็น ก็ได้แต่สวดภาวนาเท่านั้น

เธอเงยหน้าขึ้นถามเซียวเถี่ยเฟิง “กระดูกหักไม่ต้องเข้าเฝือกหรือ?”

“เข้าเฝือก? มันคืออะไร?”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันที เธอถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นเวลากระดูกหัก พวกนายทำยังไงกันหรือ?”

เซียวเถี่ยเฟิงตอบว่า “ปกติก็ทายาของท่านหมอเหลิ่งแล้วนอนพักฟื้นบนเตียงสักสองสามวัน”

กู้จิ้งพยักหน้า เธอเข้าใจแล้วว่าหมอบนภูเขาแห่งนี้ยังไม่รู้จักการเข้าเฝือก

จริงๆ แล้ววิชาการต่อกระดูกของคนจีนในสมัยโบราณนับได้ว่าอัศจรรย์มาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ กู้จิ้งเคยศึกษามาบ้างเหมือนกัน เท่าที่เธอรู้ ยาทาภายนอกมียาอู่กู่ซ่าน, ยาปากู่ซ่าน อย่างยาปากู่ซ่านก็ทำจากกระดูกเสือ, กระดูกวัว, กระดูกมังกร, กระดูกไก่, กระดูกหมา, กระดูกกระต่าย, กระดูกหมู, กระดูกแพะ, น้ำมันหอมจากต้นถง, แร่ทองแดงธรรมชาติ ผสมกันเป็นยาสำหรับทารักษาอาการกระดูกหัก

กู้จิ้งไม่กล้าชักช้าอยู่อีก เธอรีบให้มารดาของจ้าวจิ้งเทียนไปหาแผ่นไม้มา พร้อมทั้งอธิบายว่าต้องการแผ่นไม้แบบไหน ต้องการผ้าและเชือกแบบไหน มารดาของจ้าวจิ้งเทียนก็พยักหน้ารับคำแล้วรีบออกไปหาทันที

กู้จิ้งจับขาของจ้าวจิ้งเทียนขึ้นมาตรวจดูอย่างระมัดระวัง พบว่าท่านหมอเหลิ่งช่วยจัดกระดูกให้เขาและทายาให้แล้ว เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก

จากนั้น เธอก็เขียนส่วนผสมของยาปากู่ซ่านให้เซียวเถี่ยเฟิงเอาไปให้จ้าวฝูชาง

ในห้องจึงเหลือแค่เธอคอยเฝ้าจ้าวจิ้งเทียนอยู่คนเดียว

เธอเห็นจ้าวจิ้งเทียนหมดสติไปแล้ว กลัวว่าถ้าให้กินยาเม็ดจะติดคอได้ เธอจึงหยิบยาเพนิซิลลินเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วนำไปละลายน้ำ เตรียมป้อนให้เขา

คิดไม่ถึงว่ากำลังตั้งท่าจะกรอกยาให้ จ้าวจิ้งเทียนก็ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้าเสียก่อน