ตอนที่ 56 บาดเจ็บขนาดนี้อย่าฝืนเลย

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงตาของเขาจึงเลื่อนลอยไร้ประกาย เขาจ้องกู้จิ้งอยู่พักใหญ่ถึงได้จำได้ ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ทำไมถึงเป็นเจ้า?”

กู้จิ้งยกช้อนในมือให้ดูพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแฝงความอ่อนโยน “คุณตื่นก็ดีแล้ว นี่เป็นยา มา อ้าปาก ดื่มลงไปซะ”

จริงๆ แล้วคำพูดของเธอเป็นแค่การปลอบใจคนป่วยเท่านั้น คนป่วยได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ บางครั้งจึงต้องการให้ผู้อื่นกล่าวปลอบใจไม่ต่างจากเด็กๆ

แต่ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“ข้า…ข้ากินเองได้…”

“บาดเจ็บขนาดนี้อย่าฝืนเลย มา กินซะ”

ระหว่างที่พูด กู้จิ้งก็ป้อนยาให้ถึงปาก จ้าวจิ้งเทียนไม่มีทางเลือกจึงจำต้องกินลงไป

กู้จิ้งก้มหน้าลงตักให้เขาอีกช้อน ไม่นานนักเขาก็กินยาหมด

ป้อนยาเสร็จ เธอตรวจดูขาของเขาอีกครั้ง

สำหรับเธอแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องปกติไม่มีอะไรแปลกพิสดารสักนิด แต่สำหรับจ้าวจิ้งเทียน กลับเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลย

เพราะกระดูกที่หักคือบริเวณต้นขาของเขา

เขายังไม่ทันทำใจยอมรับได้ว่ากู้จิ้งเป็นหมอและกำลังรักษาอาการให้เขา เธอก็ป้อนยาให้เขาอย่างอ่อนโยนแถมยังใช้มือสัมผัสต้นขาของเขาอีกด้วย

สำหรับผู้ชายที่เป็นม่ายคนหนึ่ง การกระทำเช่นนี้เรียกได้ว่าเย้ายวนใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนคนนี้คือกู้จิ้ง…ปีศาจสาวตนนั้น…

ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้น

เดิมกู้จิ้งกำลังศึกษาบาดแผลบนขาของเขาว่าแผลแบบนี้ อยู่ตรงตำแหน่งนี้ ควรจะพันแผลอย่างไร แต่ทันใดนั้น เธอก็สังเกตเห็นความผิดปกติ

หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองจ้าวจิ้งเทียนด้วยสายตาเย็นชา

ทันทีที่ประสานสายตากับดวงตาเย็นชาของนาง จ้าวจิ้งเทียนก็รู้สึกชาไปทั้งร่าง เขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป แม้จะเห็นชัดๆ ว่าท่าทางของนางไม่เป็นมิตร แต่เขาชอบ… ชอบอย่างน่าประหลาด ชอบราวกับถูกวางยาอย่างไรอย่างนั้น!

ยามนี้เมื่อได้มองผู้หญิงคนนั้น ไม่ว่ามองอย่างไรเขาก็รู้สึกถูกตาต้องใจไปเสียหมด

จมูกของนางโด่ง แม้จะไม่อ่อนโยนมากพอ แต่ก็เป็นสันแคบตรง ดวงตาของนางเปิดเผย ริมฝีปากบางเม้มน้อยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท่ามกลางแสงตะเกียงเช่นนี้ นางก็ดูสูงส่งราวกับเทพธิดาที่ลงมายังโลกมนุษย์

เขานึกแค้นตัวเองที่เมื่อก่อนมีตาแต่ไร้แวว ทำไมถึงคิดว่านางอัปลักษณ์ได้นะ หญิงชาวบ้านธรรมดาทั่วๆ ไปสามารถเทียบกับนางได้เสียที่ไหน?

แต่…แต่ไม่ว่านางจะดีแค่ไหน เขาก็ไม่ควรหมายปองนาง

เพราะนางเป็นเมียของเซียวเถี่ยเฟิง…

นึกถึงตอนนั้น เซียวเถี่ยเฟิงแบกนางเอาไว้บนหลัง เขายอมถูกขับออกจากหมู่บ้าน แต่ก็จะแบกนางเอาไว้ จ้าวจิ้งเทียนคิดขึ้นมาก็ทั้งอิจฉาทั้งเสียใจ

ชายหนุ่มซึ่งมีใบหน้าแดงก่ำกัดฟันแน่น จากนั้นจึงหลับตาลงพลางกล่าวตะกุกตะกักว่า “ขอ…ขอโทษด้วย ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”

ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้หลงใหลผู้หญิงที่ไม่ควรหมายปองคนนี้ราวกับต้องคำสาปเช่นนี้นะ?

กู้จิ้งเองก็จนปัญญา เธอเลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าวเสียดสี “บาดเจ็บขนาดนี้ก็ยังมีอารมณ์คิดเรื่องนี้อีกนะ!”

เขาบาดเจ็บสาหัสหลายแห่งแถมยังเสียเลือดมาก เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เขายังจะมีปัญญาคิดเรื่องแบบนี้กับหมอผู้หญิงได้อีก?

จ้าวจิ้งเทียนเถียงไม่ออก “ไม่ต้อง… ไม่ต้องแล้ว ให้ท่านหมอเหลิ่งมารักษาเถอะ ข้า…”

“หุบปาก!” กู้จิ้งคำรามเสียงต่ำ “นอนเฉยๆ ซะ”

จ้าวจิ้งเทียนไม่กล้าพูดอะไรอีก

กู้จิ้งก้มลงตรวจดูบาดแผลของเขาต่อ เพียงแต่ครั้งนี้เธอระวังมากขึ้นและพยายามหลีกเลี่ยงตำแหน่งอันตรายสุดความสามารถ

จ้าวจิ้งเทียนสูดหายใจลึก สูดหายใจลึก แล้วก็สูดหายใจลึกติดๆ กันหลายครั้ง เขาไม่อยากให้นางดูแคลน เขาพยายามควบคุมตัวเองสุดความสามารถ แต่เสียดายที่พอคิดขึ้นมาว่านางอยู่ใกล้แค่นี้ คิดถึงว่านางรักษาบาดแผลให้เขาด้วยตัวเอง คิดถึงน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชาของนาง เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกไฟเผาผลาญไม่มีผิด

สุดท้ายเขาก็ได้แต่หลับตาลงด้วยความท้อแท้ ไม่กล้ามอง ไม่กล้าฟัง

ตอนแรกกู้จิ้งยังพูดไม่ออก แต่หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกเฉยๆ หลังจากทำความสะอาดแผลเสร็จ เธอก็ลุกขึ้นยืน

จ้าวจิ้งเทียนแอบลืมตาขึ้นมองเธอ เห็นเธอมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตา เขาก็หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

ในใจนาง เขาเป็นตัวอะไรกันแน่?

“เจ้า…” เขาอยากถามว่านางคิดยังไงกับเขา แต่คำพูดที่กล่าวออกมากลับกลายเป็นว่า “เจ้ารู้จักกับเถี่ยเฟิงได้อย่างไร?”

“ฉันร่อนเร่อยู่ข้างนอก เขาเก็บฉันมา” กู้จิ้งกล่าวตอบสั้นๆ

“เถี่ยเฟิงดีต่อเจ้ามาก” จ้าวจิ้งเทียนทอดถอนใจ

กู้จิ้งปรายตามองเขา ใจอดคิดไม่ได้ว่า คนคนนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?

เขาหมายปองเธอหรือว่าหมายปองเซียวเถี่ยเฟิง? หรือว่าหมายปองทั้งสองคนเลย?

“ดีกว่าคุณก็แล้วกัน…” กู้จิ้งกล่าวเสียดสีเสียงเย็น

“ใช่” จ้าวจิ้งเทียนสลด “ต้องดีกว่าข้าแน่”

กู้จิ้งหันไปมองตะเกียงน้ำมันที่ด้านข้าง ใจแอบคิดว่าทำไมคนที่ไปหาแผ่นไม้ ไปหากระดูกถึงยังไม่กลับมาสักทีนะ?

แสงตะเกียงไหววูบ เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง จ้าวจิ้งเทียนมองใบหน้าด้านข้างที่แสนงดงามของเธอ เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสลัวแห่งนี้ หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรง

“ข้าไม่อาจเทียบเถี่ยเฟิงได้เลยจริงๆ… เทียบไม่ได้สักอย่าง…” จู่ๆ เขาก็พึมพำออกมา “ตั้งแต่เด็กก็เป็นแบบนี้ ซิ่วเฟินชอบเถี่ยเฟิง ไม่ชอบข้า หากไม่ใช่ครอบครัวข้ามีฐานะดี ซิ่วเฟินคงไม่มองข้าเสียด้วยซ้ำ”

หัวใจของกู้จิ้งกระตุกวูบ เอ๊ะ นี่เป็นโอกาสที่จะหลอกถามเรื่องรักสามเส้าสินะ?

เธอตอบกลับไปสั้นๆ “งั้นหรือ แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”

“หลังจากนั้นเถี่ยเฟิงก็จากไป เขาไม่ได้แต่งงานกับซิ่วเฟิน ซิ่วเฟินมาหาข้า… ข้า…” น้ำเสียงของจ้าวจิ้งเทียนแฝงด้วยความเจ็บปวด “ข้ารู้สึกว่าเถี่ยเฟิงจงใจหลีกทางให้ข้า ข้าจึงไม่แต่งงานกับนาง แต่ไปแต่งงานกับลูกสาวคนที่สองของตระกูลหนิงแทน ซิ่วเฟินไม่มีทางเลือก ก็เลยจำต้องแต่งงานกับคนอื่น”

“อ้อ เถี่ยเฟิงก็ชอบซิ่วเฟินอะไรนั่นอย่างนั้นหรือ?”

“น่าจะชอบนะ พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แถมเถี่ยเฟิงเองก็ดีต่อซิ่วเฟินมาก”

“ดีอย่างไรหรือ?”

“หลายเรื่อง เถี่ยเฟิงปกป้องซิ่วเฟินมาก มีครั้งหนึ่งฝนตก ซิ่วเฟินเกือบจะพลัดตกหน้าผา เถี่ยเฟิงเสี่ยงชีวิตช่วยนางเอาไว้”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “ยังมีอีกไหม?”

จ้าวจิ้งเทียนยิ้มขื่น “จริงๆ เถี่ยเฟิงเป็นคนดีมาก ดีมากจริงๆ ตั้งแต่เด็กใครๆ ก็พูดว่า เถี่ยเฟิงทำอะไรหนักแน่นมั่นคงกว่าข้า คิดอะไรรอบคอบกว่าข้า แต่ข้าไม่เคยยอมรับ ขอบอกเจ้าตามตรง ในรัศมีแปดร้อยลี้ของเขาเว่ยอวิ๋น คนที่ทำให้ข้ายอมรับนับถือได้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ข้าคิดว่าสักวันเราจะต้องแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรานกัน แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับจากไป เขาไม่สนใจจะสู้กับข้าเสียด้วยซ้ำ”

“ข้าไม่ยอมรับ ข้าคิดว่าต้องมีสักวันที่จะได้สู้กับเขา ได้ชนะเขาสักครั้ง จริงๆ แล้วครั้งนี้ข้าก็คิดเหมือนกันว่าหากเข้าไปในป่าโบราณนั่นอาจมีอันตราย ข้าเองก็กำลังลังเล แต่พอเถี่ยเฟิงพูดแบบนั้น ข้าก็คิดว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้… ผลสุดท้ายก็เลยก่อให้เกิดความผิดพลาดใหญ่หลวง!”

“ยังมีตอนนั้นที่อยู่ในเมือง ข้ารู้นิสัยของเถี่ยเฟิงดี ข้ารู้ว่าเขาจะต้องวางเด็กลงก่อนค่อยย้อนกลับมาจับม้าเอาไว้ ข้าคิดจะแย่งความดีความชอบก็เลยใช้วิธีเตะเด็กไปข้างๆ เพื่อประหยัดเวลา จะได้ชิงลงมือจัดการกับม้าก่อน คิดไม่ถึงว่า…”

สรุปแล้ว เขาโชคร้ายไปเสียทุกครั้ง ทั้งที่พยายามมากกว่า แต่ก็มักกลายเป็นฝ่ายด้อยกว่าเซียวเถี่ยเฟิงเสมอ

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจ โต้แย้งเพราะอยากโต้แย้ง แย่งชิงเพราะอยากแย่งชิง

เธอนึกถึงเรื่องที่จ้าวจิ้งเทียนหักคันธนูทิ้งเพื่อเซียวเถี่ยเฟิงขึ้นมา

ถึงตอนนั้นเธอจะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของพวกเขา แต่ตอนนี้มาย้อนคิดดู เธอก็พบว่าตัวเองทายไม่ผิด มันเป็นเรื่องระหว่างชายสองหญิงหนึ่งกับคันธนูอีกหนึ่งคันจริงๆ

ซิ่วเฟินคนนั้นไม่ใช่คันธนูหรอกหรือ?

จริงๆ แล้วจ้าวจิ้งเทียนอาจไม่ได้ชอบซิ่วเฟิน แต่พอเห็นซิ่วเฟินชอบเซียวเถี่ยเฟิง เขาก็รู้สึกว่าตัวเองควรแย่งซิ่วเฟินมา รอจนกระทั่งเซียวเถี่ยเฟิงไม่ต้องการซิ่วเฟินแล้ว เขาเองก็ไม่เอาเหมือนกัน

ผู้ชายสารเลวชัดๆ

 

เซียวเถี่ยเฟิงรู้ว่าเรื่องนี้เร่งด่วนมาก อาการของจ้าวจิ้งเทียนจะรอช้าไม่ได้ เขาจึงรีบเอารายชื่อตัวยาที่กู้จิ้งเขียนไปหาจ้าวฝูชางแล้วแยกย้ายกันไปหา คิดไม่ถึงว่าหลังจากหาครบด้วยความยากลำบาก พอกลับเข้ามาในเรือนหลังกลับเจอจ้าวยาจื่อเข้าพอดี

คนอย่างเซียวเถี่ยเฟิง ไม่ว่าเจอใครก็มักจะยิ้มอ่อนโยนเสมอ เขาเอ่ยทักจ้าวยาจื่อว่า “อาสะใภ้ ทำไมยังไม่กลับไปอีกเล่า? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

จ้าวยาจื่อเห็นรอบด้านไม่มีคนอื่นอยู่ก็ปรายตามองเขาพลางกล่าวว่า “เถี่ยเฟิง เจ้านี่มันโง่จริงๆ!”

ระหว่างที่พูดนางก็ลากเซียวเถี่ยเฟิงไปที่ด้านข้าง “ข้าถามหน่อยนะ เจ้ารู้เรื่องของเมียเจ้ากับจ้าวจิ้งเทียนบ้างหรือเปล่า?”

“เมียของข้ากับจ้าวจิ้งเทียน?”

“ใช่!” จ้าวยาจื่อเริ่มยุแยง “เมียปีศาจของเจ้า แอบมีอะไรกับจ้าวจิ้งเทียนมาตั้งนานแล้ว”