ตอนที่ 57 ข้าเองก็ไม่ได้พูดเหลวไหล

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

คำพูดของนางทำให้รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงทันที

เขาหรี่ตาลงกล่าวเสียงหนัก “อาสะใภ้จ้าว ข้าวกินซี้ซั้วได้ แต่คำพูดจะพูดซี้ซั้วไม่ได้นะ”

จ้าวยาจื่อเห็นคนซื่ออย่างเซียวเถี่ยเฟิงเปลี่ยนสีหน้าก็สะดุ้งด้วยความตกใจ นางรีบก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า…ข้าเองก็ไม่ได้พูดเหลวไหล วันนั้น จ้าวจิ้งเทียนนั่งอยู่หน้าหลุมศพเมียของเขา เมียของเจ้าไปหาแล้วพวกเขาก็นั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น สองคนนั้นคุยกันไปส่งยิ้มให้กันไป เมียของเจ้ายังจับมือจ้าวจิ้งเทียนด้วย! ต่อมาเมียของเจ้าไปแล้ว จ้าวจิ้งเทียนก็ยังยืนมองนิ่งอยู่ตรงนั้นตั้งนาน ท่าทางอาลัยอาวรณ์เอามากๆ เลย!”

“คำพูดของอาสะใภ้ร้ายกาจเกินไปแล้ว เมียจิ้งเทียนกระดูกยังไม่ทันเย็น ต่อให้เมียข้าไม่รู้ความแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นไปทำอะไรกับจิ้งเทียนต่อหน้าหลุมศพของนางแน่ ส่วนจิ้งเทียน เมียของเขาเพิ่งตายไปไม่กี่วัน ลูกก็ตายไปพร้อมกัน เขาเสียใจสักแค่ไหนอาสะใภ้ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ท่านคิดว่าในเวลาแบบนั้น เขายังจะมีอารมณ์คิดเรื่องพรรค์นี้อีกหรือ?”

จ้าวยาจื่อคิดไม่ถึงว่าคนซื่ออย่างเซียวเถี่ยเฟิงจะเป่าหูได้ยากเช่นนี้ นางกระทืบเท้าด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าไม่เชื่อก็แล้วไป! เอาเป็นว่าข้ามองออกก็แล้วกันว่าสายตาที่จ้าวจิ้งเทียนมองเมียเจ้ามันผิดปกติ! เจ้าไม่เชื่อ ยินดีถูกสวมเขาก็เป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!”

กล่าวจบก็แค่นเสียงฮึคำหนึ่งแล้วสะบัดหน้าจากไปทันที

เซียวเถี่ยเฟิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่เรือนของจ้าวจิ้งเทียน

จริงๆ ที่จ้าวยาจื่อพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะสายตาที่จ้าวจิ้งเทียนมองภรรยาของเขาในตอนนั้น จะไม่ให้ผู้คนสงสัยก็คงไม่ได้

ไปถึงใต้ชายคาบ้าน พอผลักประตูเข้าไป เขาก็เห็นกู้จิ้งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเตียงของจ้าวจิ้งเทียน ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไรกันอยู่

จากมุมที่เขายืนอยู่มองไม่เห็นสีหน้าของปีศาจสาว แต่เขากลับมองออกว่าจ้าวจิ้งเทียนกำลังมองนางด้วยสายตาหลงใหล เหมือนกำลังมองคู่รักที่ไม่มีวันได้อยู่ด้วยกัน

จ้าวจิ้งเทียนเห็นเซียวเถี่ยเฟิงกลับมาก็สะดุ้งด้วยความตกใจ เขารีบรั้งสายตากลับไปทันที

ท่าทางของเขาทำให้ความสงสัยยิ่งผุดขึ้นในใจของเซียวเถี่ยเฟิง

แต่เขาก็เลือกจะเก็บความในใจเอาไว้แล้วเดินไปถามกู้จิ้งว่า “จิ้งเทียนเป็นยังไงบ้าง?”

เมื่อครู่ตอนที่ได้ยินจ้าวจิ้งเทียนระบายความในใจ เธอยังอดทอดถอนใจไม่ได้ แต่พอได้เห็นเซียวเถี่ยเฟิง ในสมองของเธอกลับเหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น

เขาเคยชอบซิ่วเฟินมาก… เคยเสี่ยงชีวิตเพื่อนางด้วยนะ…

กู้จิ้งปรายตามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “เพิ่งตรวจเสร็จ รอแค่แผ่นไม้กับยาเท่านั้น”

เซียวเถี่ยเฟิงกวาดตามองบาดแผลของจ้าวจิ้งเทียน ถึงตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บตรงต้นขา พอนึกถึงภาพที่กู้จิ้งตรวจดูบาดแผลของจ้าวจิ้งเทียน แววตาของเขาก็เยียบเย็นขึ้นหลายส่วน

เมื่อครู่เขาคิดเพียงแค่ว่าบาดแผลของจ้าวจิ้งเทียนจะมัวชักช้าไม่ได้ ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้…

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรอเป็นเพื่อนเจ้าสักครู่”

ดังนั้นชายสองหญิงหนึ่ง คนหนึ่งนอน อีกสองคนนั่ง ต่างก็นั่งเงียบอยู่ใต้แสงจากตะเกียงน้ำมันพลางจมอยู่กับความในใจของตัวเอง

จนกระทั่งส่วนผสมของยาปากู่ซ่านกับแผ่นไม้, ผ้า, เชือกถูกส่งมา กู้จิ้งค่อยลงมือทำงานอีกครั้ง ก่อนอื่นเธอใช้ผ้ากับเชือกมัดลำตัวของจ้าวจิ้งเทียนเอาไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ใช้แผ่นไม้ตรึงขาที่ได้รับบาดเจ็บของเขาเอาไว้กับที่

เซียวเถี่ยเฟิงคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ

จ้าวจิ้งเทียนซึ่งนอนอยู่บนเตียงแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวด หน้าผากมีเหงื่อชุ่มโชก ชีวิตนี้เขาไม่เคยเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อนเลย

กู้จิ้งพอกยาปากู่ซ่านให้จ้าวจิ้งเทียนเสร็จก็ทิ้งยาเพนิซิลลินเอาไว้ให้จำนวนหนึ่งพลางกำชับให้เขากินตามเวลา จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอก็ตามเซียวเถี่ยเฟิงกลับบ้าน

พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงลอยสูง สาดส่องทางเดินคดเคี้ยวบนภูเขาให้เปลี่ยนเป็นสีเงินยวง พื้นดินถูกปกคลุมด้วยใบไม้ร่วง เมื่อเดินผ่านก็จะมีเสียงดังกรอบแกรบ ยามนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว ตอนกลางวันอาจจะยังไม่รู้สึกสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมาเดินอยู่บนเขาในยามค่ำคืนเช่นนี้ย่อมอดรู้สึกหนาวไม่ได้

เสื้อผ้าที่เซียวเถี่ยเฟิงเลือกให้ก่อนหน้านี้ย่อมดีมาก แต่ยามนี้มันกลับบางเกินไปสักหน่อย กู้จิ้งยกแขนขึ้นกอดตัวเองเอาไว้

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็เอื้อมมือมากอดเธอ

กู้จิ้งขยับแขนเบาๆ เพื่อดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเขา

ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของซิ่วเฟิน เธอก็อยากหาเรื่องเขาอยู่แล้ว

ที่แท้เขาชอบซิ่วเฟินคนนั้นมาตั้งนานแล้ว ก็โตมาด้วยกันนี่นา แถมยังเคยเสี่ยงชีวิตช่วยหล่อนด้วย?

หากต่อไปซิ่วเฟินได้เป็นบรรพบุรุษของยายเธอจริงๆ ก็แล้วไป เธอยอมรับ แต่หากไม่ใช่ ท่านบรรพบุรุษของเธอต้องเสียเปรียบสักแค่ไหน? คนที่ยอมพลีกายนอนเป็นเพื่อนเขามาหลายวันอย่างเธอต้องขาดทุนสักแค่ไหน?

เธออารมณ์ไม่ดี เธออัดอั้นตันใจ เธออยากจะหาเรื่อง!

แต่การกระทำของเธอกลับทำให้เซียวเถี่ยเฟิงเข้าใจผิด

ปีศาจน้อยกับจ้าวจิ้งเทียนอยู่ในห้องด้วยกันตามลำพัง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันบ้าง แววตาของจ้าวจิ้งเทียนเหมือนอยากจะกลืนกินนางลงไป ซ้ำตอนนี้นางก็ทำท่ารังเกียจเขา ไม่ยอมแม้แต่จะให้เขาแตะต้อง

ไฟโทสะลุกโชนขึ้นในใจของเซียวเถี่ยเฟิง มันอัดแน่นอยู่ในอกจนทำให้อกของเขาเจ็บแปลบราวกับกำลังจะระเบิด

“ผู้ชายอื่นดีขนาดนี้เชียวหรือ? ทำให้เจ้าไม่ยอมให้ข้าแตะต้องอีก?” จู่ๆ เซียวเถี่ยเฟิงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหึงหวงเต็มที่

“ฮะๆ หมายความว่ายังไง?” เธอเลิกคิ้วขึ้นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าหมายความว่ายังไง? จิ้งเทียนพูดอะไรกับเจ้ากันแน่?”

“เกี่ยวอะไรกับจิ้งเทียนด้วย ทำไมนายไม่พูดเรื่องของตัวเองล่ะ?”

“ข้าทำไมหรือ?”

“นายบอกมาซิว่า ตอนนั้นระหว่างนายกับจิ้งเทียนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมนายถึงไปจากหมู่บ้าน แล้วทำไมถึงได้กลับมา?”

ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว ต้องแสดงความหึงหวงออกมาแทนบรรพบุรุษฝ่ายหญิงของตัวเอง!

“ทำไมข้าถึงจากไป และทำไมถึงกลับมางั้นรึ?”

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว คำพูดเหล่านี้คุ้นหูอยู่บ้าง ดูเหมือนซิ่วเฟินก็เคยถามแบบนี้มาก่อน?

“ใช่ นายบอกมาสิ!”

พร่ำพลอดกันทุกวัน หลงคิดว่าตาอดีตไก่อ่อนนี่เป็นชายหนุ่มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ที่แท้เขาก็รู้จักจีบผู้หญิงมาตั้งแต่สมัยยังเปลือยก้น! ทำไมคนสมัยโบราณถึงไม่ห้ามมีความรักในวัยเยาว์นะ!

“เจ้า…” เซียวเถี่ยเฟิงกลับคิดว่าเธอไปฟังจ้าวจิ้งเทียนเล่าเรื่องในอดีตมาแล้วก็คิดจะมาออกหน้าเอาเรื่องเขาแทนจ้าวจิ้งเทียน “เจ้าเพิ่งรู้จักจิ้งเทียนได้ไม่กี่วันก็หลงเชื่อเขา นี่คิดจะมาเอาเรื่องข้าแทนเขาอย่างนั้นรึ?”

“นายๆๆ…” กู้จิ้งพูดไม่ออก ถึงเขาจะเป็นบรรพบุรุษแต่ก็ต้องมีเหตุผลไม่ใช่หรือ “อย่าออกนอกเรื่อง บอกมา… บอกมาซิว่าเรื่องของจ้าวจิ้งเทียน เรื่องของซิ่วเฟิน ที่แท้มันเป็นยังไงกันแน่?”

เซียวเถี่ยเฟิงจ้องหญิงสาวที่กำลังโมโหตาเขม็ง เห็นนางโกรธจนตาเปลี่ยนสี สองแก้มแดงก่ำ ทรวงอกเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก็โกรธแค้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ผู้หญิงคนนี้ยังมีจิตสำนึกอยู่หรือเปล่า? เขาแทบจะควักหัวใจออกมามอบให้นาง แต่นางกลับคิดถึงแต่คนอื่น?

“นายพูดสิ ทำไม? ไม่มีเหตุผลจะอ้างแล้วใช่ไหมล่ะ?”

กู้จิ้งไม่ได้สังเกตสักนิดว่าสีหน้าเขียวคล้ำของชายหนุ่มดูราวกับใกล้จะระเบิดเข้าไปทุกที เธอจึงราดน้ำมันลงในกองไฟไม่หยุด

คราวนี้เซียวเถี่ยเฟิงทนไม่ไหวอีก เขาคว้าร่างเธอมาแบกไว้บนบ่าทันที

“อ๊าย… นายจะทำอะไร?” กู้จิ้งตกใจมาก ท่านี้ไม่สบายเลยสักนิด เธอทุบอกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย สองขาดิ้นรนสุดชีวิต

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ฮัสกี้ก็โผล่ออกมาจากป่าเล็กๆ ด้านข้างแล้วกระดิกหางต้อนรับอย่างดีอกดีใจ

กู้จิ้งร้องตะโกนเสียงดัง “ฮัสกี้ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย เขาบ้าไปแล้ว!”

แต่ฮัสกี้ซึ่งฟันหักไปซี่หนึ่งแถมยังมีผ้าพันแผลพันอยู่บนปากกลับเอาแต่กระดิกหางเอาอกเอาใจเซียวเถี่ยเฟิง ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของกู้จิ้งสักนิด

ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณบรรพบุรุษ ในที่สุดความแค้นของมันก็ได้รับการชำระ!

“นายเป็นบ้าอะไร!” กู้จิ้งกรีดร้อง

เสียงกรีดร้องซึ่งดังก้องไปทั่วป่ากลับกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นมา

เซียวเถี่ยเฟิงสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็กลับไปถึงถ้ำ เขาโยนร่างเธอลงบนกองหญ้าแล้วเริ่มลงมือทันที

ในถ้ำโทรมๆ แห่งนั้น ชายหนุ่มรูปร่างกำยำกำลังบ้าระห่ำเต็มที่ กู้จิ้งทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งตื่นเต้น เธอจิกบ่าของเขาเอาไว้แน่นพลางส่งเสียงกรีดร้อง

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ขุนเขาทลาย แผ่นดินสะเทือน สึนามิถล่ม กู้จิ้งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับโยนขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะร่วงลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง

มีอยู่ชั่ววินาทีหนึ่งที่เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นตรงหน้า สมองของเธอพร่าเลือนไปหมด เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และกำลังทำเรื่องบ้าระห่ำนี้กับใคร

พอตั้งสติได้ เธอก็ลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มร่างกำยำซึ่งกำลังมีเหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผากเงียบๆ

เธอพอใจมาก แต่เป็นความพอใจทางกายเท่านั้น ในใจเธอยังไม่พอใจ

พูดสั้นๆ ประโยคเดียว เธอควรจะหาเรื่องต่อ