ดังนั้นเธอจึงยกมือขึ้นตบชายหนุ่ม

“นายข่มขืนฉัน!”

ดวงตาของเซียวเถี่ยเฟิงทั้งดำมืดทั้งล้ำลึก เมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ก็มองเห็นไม่ชัดนัก

กู้จิ้งจ้องเขานิ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเขาดูเหมือนคนแปลกหน้า

เธอคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนสัตย์ซื่อและใจกว้าง ไม่ว่าเธอก่อเรื่องมากแค่ไหน เขาก็มักจะให้อภัยเธอเสมอ ทำไมจู่ๆ เธอถึงได้รู้สึกว่าเธอไม่รู้จักคนคนนี้เลยสักนิด

เขาในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก ราวกับสัตว์ป่าที่แอบซุ่มอยู่ในความมืด สัตว์ป่ากินคนซึ่งไม่รู้ว่าคอยจับตามองเธอมานานแค่ไหนแล้ว

กู้จิ้งตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เธอพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วตั้งท่าจะวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจสักนิดว่ายามนี้ตัวเองมีแค่ผ้าขาดวิ่นคลุมกายเท่านั้น

แต่ขาสั่นระริกกลับทำให้เธอเกือบจะล้มหน้าคว่ำอยู่ตรงนั้น

หญิงสาวสภาพกระเซอะกระเซิงซึ่งมีเพียงผ้าขาดวิ่นคลุมกาย ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เมื่ออยู่ในถ้ำมืดมิดเช่นนี้ก็ให้ความรู้สึกเย้ายวนแฝงด้วยความดิบเถื่อนอย่างบอกไม่ถูก

กู้จิ้งยังไม่ทันล้มกระแทกพื้น เซียวเถี่ยเฟิงก็พุ่งเข้ามาหาพร้อมด้วยเชือกในมือเสียก่อน พริบตาต่อมาเขาก็ใช้มันมัดข้อมือเธอเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว

“นาย…นายจะทำอะไร?”

“ข้าจะมัดเจ้าเอาไว้ มัดเอาไว้ข้างกายข้าตลอดกาล ดูซิว่าคราวนี้เจ้าจะกล้าไปข้องแวะกับผู้ชายอื่นอีกไหม!”

เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวเสียงเย็น

“ปล่อยฉันนะ!”

“ไม่ปล่อย ปล่อยเจ้าทำไม ให้ไปหาผู้ชายอื่นหรือ?”

กู้จิ้งโมโหมาก เธอโผเข้าไปหาเขาในสภาพที่ถูกมัดข้อมือเอาไว้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

เพราะทรงตัวได้ไม่ดี เธอจึงเกือบจะล้มหน้าคว่ำอีกรอบ แต่เซียวเถี่ยเฟิงประคองเธอเอาไว้ เธอก็เลยล้มลงในอ้อมอกของเขาแทน

แผงอกของเขาทั้งกว้างทั้งแข็งแรง พอล้มลงไป เธอก็อ้าปากงับคอเขา

เซียวเถี่ยเฟิงยกมือขึ้นตบหลังของเธอเบาๆ เสียงปับๆๆ นั้นดังสะท้อนไปทั่วถ้ำ

เขาย่อมออมแรงเอาไว้ แต่กู้จิ้งก็ยังเจ็บจนแทบน้ำตาร่วง เธอยิ่งกัดเขาแรงขึ้น ทำไปทำมาร่างของทั้งสองก็พัวพันเข้าด้วยกันจนสับสนวุ่นวายไปหมด

สุดท้ายไม่รู้ผ่านไปอีกนานแค่ไหน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองต่างก็เริ่มเหนื่อยแล้ว

“พอหรือยัง?” เขากัดฟันกรอดอยู่ตรงข้างหูเธอ

“ไม่พอ!” เธอยังโมโหไม่หาย “นายเกิดปีหมาป่าหรือไงถึงได้ดุแบบนี้! ถือดีว่าตัวเองตัวใหญ่กว่ามีแรงมากกว่าก็มารังแกฉันงั้นรึ!”

“แล้วเจ้าล่ะ เกิดปีฮัสกี้ใช่ไหมถึงได้กัดข้า?” ตอนนี้ทั้งคอทั้งบ่าเขามีรอยฟันเลือดซิบๆ เต็มไปหมด

“ฮึ! สมน้ำหน้า ฉันกัดแล้วจะทำไม!”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรังแกเจ้า” เขาอยากรังแกนางจนนางร้องไห้นัก หลังจากร้องไห้แล้วค่อยปลอบใจอีกที…

“นายๆๆ เลวเกินไปแล้ว!” กู้จิ้งอาละวาด เธอโผเข้าไปกระชากแขนเขา กัดบ่าเขา ทุบอกเขา สรุปแล้วอะไรที่ผู้หญิงทำได้เธอก็ทำจนหมด

ชีวิตนี้เธอยังไม่เคยใช้ความรุนแรงแบบนี้มาก่อนเลย

“เจ้า…” เซียวเถี่ยเฟิงคว้าร่างของแมวป่าที่กำลังอาละวาดเต็มที่ไว้ด้วยความจนใจ “เจ้ารู้ไหมว่าข้าปวดใจแค่ไหน?”

“เพราะฉันกัดนาย?” กู้จิ้งเย้ยหยัน หนังหนาขนาดนี้ ทนความเจ็บปวดไม่ได้เลยงั้นรึ? ก็แค่กัดไม่กี่ทีไม่ใช่รึไง?

“จะให้ข้าอธิบายไหม?”

“นายก็พูดมาสิ!” เธอไม่ละอายแก่ใจ เธอทำผิดอะไรทำไมเขาต้องทำท่าดุร้ายแบบนี้? ท่านบรรพบุรุษที่เคยรักและเอาอกเอาใจเธอหายไปไหนแล้ว?!

“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเจ้ากับจิ้งเทียน เจ้ากับเขา…” หัวใจของเขากำลังหลั่งเลือด เซียวเถี่ยเฟิงไม่อาจกล่าวคำพูดนี้ให้จบประโยคได้เลย

“หา?” กู้จิ้งตกใจมาก นึกถึงกระโจมเล็กๆ ตอนที่เธอรักษาอาการบาดเจ็บให้จ้าวจิ้งเทียน หรือว่า…หรือว่าเขารู้?

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นกู้จิ้งมีสีหน้าตื่นตระหนกก็ยิ่งปักใจเชื่อ เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ไม่ผิดจริงๆ”

“นาย…” กู้จิ้งไม่ยอมแพ้ เดิมเธอกำลังโมโหเรื่องของซิ่วเฟินอะไรนั่น ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นเรื่องของเธอกับจ้าวจิ้งเทียนไปได้?

“นายยังมีหน้ามาพูดอีก นายทำผิดต่อบรรพบุรุษฝ่ายหญิงของฉัน ในใจนายเฝ้าคิดถึงซิ่วเฟินมาโดยตลอด!”

“ซิ่วเฟินเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน!” เซียวเถี่ยเฟิงโมโหจนต้องหัวเราะออกมา

“นายๆๆ…” กู้จิ้งแทบเต้น เธอเอื้อมมือไปหยิกเนื้อตรงอกเขา “เพื่อหล่อน แม้แต่ชีวิตนายก็ยอมสละได้ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ!”

เซียวเถี่ยเฟิงคว้ามือเธอเอาไว้ “พูดเหลวไหลอะไรกัน ชีวิตข้าเป็นของเจ้าเท่านั้น!”

“ฮึ!” คำพูดน่าฟัง แต่กู้จิ้งไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ แน่ “จ้าวจิ้งเทียนบอกว่า ตอนนั้นซิ่วเฟินเกือบจะพลัดตกลงไปในหน้าผา เพื่อช่วยหล่อน นายเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว เขายังบอกด้วยว่าตอนเด็กๆ นายปกป้องหล่อนมาก นายเห็นหล่อนเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า”

เพื่อให้คำพูดฟังดูมีน้ำหนัก เธอจึงตีไข่ใส่สีลงไปด้วย

มองดูสีหน้าหึงหวงของเธอแล้ว เซียวเถี่ยเฟิงก็ทั้งขันทั้งโมโห เขาก้มลงจูบหน้าผากของเธอ

“เด็กโง่ จ้าวจิ้งเทียนพูดจาเหลวไหล ไม่มีเรื่องแบบนี้สักนิด ระหว่างเขากับซิ่วเฟินมีความเกี่ยวพันกันไม่น้อย แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าเลย ส่วนเรื่องในตอนนั้น ไม่ว่าเป็นใคร ข้าก็ต้องเสี่ยงชีวิตช่วยทั้งนั้น”

“แล้วต่อจากนี้ล่ะ?” กู้จิ้งปรายตามองเขา

“ต่อจากนี้ ชีวิตของข้าจะเป็นของเจ้าเท่านั้น”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้วอย่างได้ใจ “ดี นายเป็นคนพูดเองนะ ต่อไปฉันไม่อนุญาตให้นายมองผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น ถ้านายมอง ฉันจะควักลูกตาของนายออกมาซะ”

“ได้ ตามใจเจ้า”

กู้จิ้งกอดคอเขาไว้อย่างอารมณ์ดี

ชายหนุ่มก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมอก ในใจคิดว่ารอยยิ้มของเธอช่างงดงามน่าหลงใหลเหลือเกิน

“แล้วเจ้าเล่า?”

“ฉันทำไมหรือ?” ฉันก็ต้องดีใจน่ะสิ

“เจ้าคิดว่าจ้าวจิ้งเทียนเป็นอย่างไร?”

“จ้าวจิ้งเทียนงั้นรึ?” กู้จิ้งแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ผู้ชายสารเลวนั่น! แค่เห็นก็อารมณ์เสียแล้ว!”

ไม่สามารถปกป้องภรรยาในยามที่ภรรยาตกอยู่ในอันตราย ทำอะไรเอาแต่อารมณ์ไม่เห็นชีวิตผู้คนมากมายอยู่ในสายตา ภรรยาตายไปไม่กี่วัน หมอช่วยตรวจดูบาดแผลให้ก็ยังมีอารมณ์คิดเรื่องพรรค์นั้น ยังมีผู้ชายที่สารเลวยิ่งกว่านี้อีกไหม?

กับผู้ชายสารเลวแบบนี้ หากไม่ใช่เขานอนแบ็บอยู่บนเตียง กู้จิ้งก็อยากจะเหยียบหน้าเขาสักครั้งนัก

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นปีศาจสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแบบนี้ ย่อมเข้าใจว่าจ้าวจิ้งเทียนมีใจให้นาง แต่นางไม่มีใจด้วย เขาดีใจมาก ใจก็คิดว่าที่แท้เขาก็เข้าใจผิดไปเอง

นางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จะล่วงรู้ถึงความคิดสกปรกของผู้ชายได้อย่างไร?

พอถึงนึกการกระทำรุนแรงของตัวเองเมื่อครู่เขาก็รู้สึกผิดมาก เขารีบกอดเธอเอาไว้พลางกล่าวปลอบเสียงอ่อนโยน “ข้าผิดเองที่ไม่เคยรู้ว่าเขามีความคิดแบบนั้น ทำให้เจ้าเกือบต้องถูกข่มเหง ต่อไปเราอยู่ห่างๆ เขาเอาไว้ก็แล้วกัน”

ได้ยินเช่นนี้ กู้จิ้งก็เข้าใจความหมายของเขา

ก็เรื่องชายสองหญิงหนึ่งอีกน่ะสิ

เพียงแต่คราวนี้ผู้หญิงเปลี่ยนจากซิ่วเฟินมาเป็นเธอ?

ดีมาก…

กู้จิ้งตัดสินใจใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ เธอจะรับบทเป็นปีศาจตัวร้าย ยุแยงให้ผู้ชายสองคนนี้แตกคอกันซะ ว่าแล้วเธอก็รีบปรับสีหน้าใหม่ก่อนจะยกมือขึ้นโอบรอบลำคอเขาพลางกล่าวเสียงออดอ้อน

“พี่ล่ำ เรื่องวันนี้แล้วก็แล้วกันไป ฉันไม่ถือสา นายก็อย่าได้ถือสา แต่นายต้องทำเพื่อฉัน วันหน้าต้องเป็นหัวหน้าพรานให้ได้ ถ้านายลืมตาอ้าปากได้ ฉันก็จะพลอยสบายไปด้วย ไม่อย่างนั้นหากต่อไปมีใครคิดร้ายต่อฉันอีก พวกเขาก็จะรังแกฉันได้ตามใจชอบ!”

เธอวางท่าเป็นสาวน้อยผู้น่าสงสารที่ต้องทนกล้ำกลืนความอัปยศสุดความสามารถ

เซียวเถี่ยเฟิงกอดเธอไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน

เธอแอบเงยหน้าขึ้นมองเขา ท่ามกลางความมืด ลมหายใจของชายหนุ่มฟังดูราบเรียบแต่หนักอึ้ง

“ทำไม มีอะไรลำบากใจหรือ?” เธอหยั่งเชิงเสียงเบา

“จริงๆ จะเป็นหัวหน้าพรานก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าเป็น ข้าย่อมต้องหาทางเป็นให้ได้ แต่เรื่องนี้จะร้อนใจไม่ได้”

“ทำไมล่ะ?”

เขาก้มลงแนบหน้าผากของตัวเองกับหน้าผากของเธอพลางอธิบายเสียงอ่อนโยน “แม้ครั้งนี้จิ้งเทียนจะทำความผิด แต่ก็ทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ซ้ำเขายังบาดเจ็บถึงเพียงนั้น ข้าจะฉวยโอกาสซ้ำเติมได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอโอกาส ข้าจะต่อสู้กับเขาแล้วแย่งชิงตำแหน่งนี้มาอย่างเปิดเผย”

“อืม…” เธอรับคำเสียงเบาก่อนจะถามต่อ “ฉันเห็นนายกับจ้าวจิ้งเทียนต่างก็มีวรยุทธ์ แล้วใครเก่งกว่าหรือ? นายสู้เขาได้ไหม?”

เซียวเถี่ยเฟิงยิ้ม เขาใช้นิ้วโป้งเขี่ยจมูกโด่งรั้นของเธอเบาๆ พลางย้อนถามว่า “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”

“พี่ล่ำของฉันต้องเก่งกว่าอยู่แล้ว!” กู้จิ้งกอดเซียวเถี่ยเฟิงเอาไว้พลางกล่าวสรรเสริญเยินยอ เพื่อที่นาของคุณยาย เธอทำได้ทุกอย่าง แม้แต่พลีกายให้ท่านบรรพบุรุษ

เมื่อครู่นางยังดุร้ายถึงเพียงนั้น แต่ยามนี้กลับเอนซบอยู่กับอกเขาไม่ต่างจากลูกแกะน้อยแสนเชื่อง ซ้ำใบหน้ายังเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มและความเคารพเทิดทูน แม้เซียวเถี่ยเฟิงจะเป็นบุรุษเหล็กที่ไม่เคยกลัวเกรงสิ่งใด ยามนี้ก็ต้องมีสภาพไม่ต่างจากเส้นไหมที่พันอยู่รอบนิ้วของนาง เขาได้แต่ยอมตามใจสตรีในอ้อมอกทุกอย่าง ไม่กล้าขัดใจแม้แต่น้อย

อย่าว่าแต่นางต้องการแค่ตำแหน่งหัวหน้าพรานเล็กๆ ต่อให้เป็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า เขาก็ต้องหาทางสอยลงมาให้นางให้ได้