“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ” เขาเรียกเธอเสียงแหบพร่า

“หืม?” เธอตอบรับเสียงเบา

“ข้าอยู่คนเดียวมาจนอายุยี่สิบหกปี ไม่มีภาระใดๆ ข้าจึงไม่เคยเห็นลาภยศสรรเสริญหรือยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ อยู่ในสายตา แต่บัดนี้มีเจ้า ข้าย่อมไม่อาจทนดูเจ้าต้องลำบากแม้แต่น้อย”

“อืมๆ?” แล้วยังไงล่ะ พูดเข้าประเด็นหน่อย?

“หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้ทุกอย่าง” เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวช้าๆ “ขอเพียงเป็นสิ่งที่มีอยู่บนโลกนี้ ไม่มีอะไรที่ข้าเซียวเถี่ยเฟิงหามาให้เจ้าไม่ได้”

กู้จิ้งอึ้ง คิดไม่ถึงว่าเซียวเถี่ยเฟิงจะพูดคุยโวถึงเพียงนี้

“ตอนนี้ฉันยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้อะไร เอาไว้ฉันคิดออกแล้วค่อยบอกพี่ล่ำ ดีหรือไม่?”

“ตกลง”

กู้จิ้งยิ้มพลางซบหน้ากับบ่าของเขา “พี่ล่ำเก่งจัง วันนี้ปีศาจน้อยจะปรนนิบัติท่านให้เต็มที่เลย”

ลมหายใจของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว เซียวเถี่ยเฟิงถามเสียงแหบ “ปรนนิบัติอย่างไรหรือ?”

กู้จิ้งยิ้มก่อนจะก้มลงกระซิบตรงข้างหูเขา

ร่างของเซียวเถี่ยเฟิงแข็งเกร็งไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ก้มลงจ้องปีศาจน้อยแสนเย้ายวนในอ้อมกอดตาเขม็ง

ไม่รู้ผ่านไปอีกนานแค่ไหน พระจันทร์เสี้ยวลับหายไปที่หลังเขา สายน้ำในลำธารไหลเอื่อย ใบไม้แห้งสีเหลืองไหลตามสายน้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลับสายตาไป

กู้จิ้งใช้ชามใบใหญ่ตักน้ำในลำธารขึ้นมาบ้วนปาก

บ้วนปากไปก็แอบเหลือบตามองชายหนุ่มข้างกายไป

ชายหนุ่มซึ่งสวมกางเกงผ้าเนื้อหยาบเพียงตัวเดียวกำลังเอนกายพิงต้นหยางเก่าแก่พลางหลับตาด้วยความเกียจคร้านแกมพึงพอใจ

เขาจ้องริมฝีปากบางสีแดงเรื่อซึ่งกำลังบ้วนน้ำออกมาแล้วก็เอ่ยถามว่า

“อร่อยไหม?”

“ใหญ่เกินไป”

“ชอบใหญ่หรือว่าเล็กเล่า?”

“ใหญ่”

“ถ้าอย่างนั้น…ยังอยากกินอีกไหม?”

กู้จิ้งเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นเธอก็ตักน้ำชามหนึ่งขึ้นมาสาดใส่ชายหนุ่ม

“นายโลภมากเกินไปแล้ว!”

 

ผู้ป่วยหนักซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วเป็นไข้เพราะมีอาการติดเชื้อไข้ลดลงแล้ว แม้บาดแผลยังไม่หายสนิท แต่อย่างน้อยก็รอดชีวิตจากภาวะไข้สูงมาได้ ครอบครัวของเขาย่อมซาบซึ้งในบุญคุณของกู้จิ้งมาก ดังนั้นจึงพากันคุกเข่าลงแล้วเรียกต้าเซียนด้วยความเคารพนับถือ

ท่านหมอเหลิ่งยืนดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ แต่สีหน้าบอกชัดว่ารู้สึกขายหน้าไม่น้อย

ตอนนั้นกู้จิ้งจะให้ยาแต่เขาไม่ยอม ต่อมาผู้ป่วยมีไข้สูง เขาก็เลยจำเป็นต้องใช้ยาของกู้จิ้ง

พอใช้ ไข้ก็ลดจริงๆ

ตระกูลของท่านหมอเหลิ่งเป็นหมอมาหลายชั่วอายุคน เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงเป็นที่นับถือของชาวเขาเว่ยอวิ๋นเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ต้องมาพบกับเรื่องเช่นนี้

แต่ไหนแต่ไรมา หากเป็นอาการป่วยที่เขารักษาไม่ได้ ก็หมายความว่ารักษาไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าภรรยาของผู้ป่วยก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน เพราะนางยังเอาแต่พร่ำพูดไม่หยุดปากว่า “ครั้งนี้โชคดีที่มีต้าเซียน หากไม่ใช่ต้าเซียนมอบโอสถทิพย์ให้ ผัวของข้าคงไม่รอดแน่ๆ นั่นเป็นยาเทวดาจริงๆ!”

คำสรรเสริญเยินยอกู้จิ้งย่อมขัดหูของท่านหมอเหลิ่งมาก ซ้ำร้ายมารดาของจ้าวจิ้งเทียนยังเข้ามาในเวลานี้พอดี นางร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ “ต้าเซียน ขอบคุณต้าเซียนที่ช่วยลูกของข้า! ขาของลูกข้าน่าจะรักษาเอาไว้ได้แล้ว!”

กล่าวจบนางก็คุกเข่าลง “ต้าเซียน ยายแก่อย่างข้ามีตาแต่ไร้แวว วันนั้นล่วงเกินต้าเซียนไป ขอต้าเซียนโปรดอภัยด้วย ต้าเซียนโปรดอภัยด้วย!”

กู้จิ้งยังคงไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อมารดาของจ้าวจิ้งเทียน เธอจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ แค่จำไว้ว่าต้องใช้ตำรับยาที่ฉันให้ เปลี่ยนยาให้จ้าวจิ้งเทียนตรงตามเวลาเท่านั้นก็พอ”

มารดาของจ้าวจิ้งเทียนพยักหน้ารับคำ แต่จากนั้นก็ถามขึ้นอีกว่า “ยังมีโอสถทิพย์นั่น ไม่ใช่ต้องกินวันละสามครั้งหรอกหรือ? ยาที่เหลืออยู่ตอนนี้เกรงว่าจะกินได้ไม่ถึงสองวันแล้ว”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ชะงักไปวูบหนึ่ง ใจคิดว่ายาเพนิซิลลินนั่นเธอหยิบออกมาจากกระเป๋า แต่จะต้องรอให้ใช้แผงนี้หมดก่อนถึงจะหยิบแผงใหม่ออกมาได้ จะเอาออกมาทีเดียวมากๆ ได้อย่างไร?

ดังนั้นจึงได้แต่พูดว่า “ยานั่นล้ำค่ามาก หากจ้าวจิ้งเทียนไม่มีไข้สูง สามารถหยุดยาได้ชั่วคราว ตอนนี้ฉันเองก็มีเหลือไม่มาก ต้องปรุงขึ้นใหม่ก่อน”

ปรุง?

ทุกคนนิ่งอึ้งไป แต่ไม่นานนักก็เข้าใจ ยาของปีศาจก็ไม่ได้ร่วงลงมาจากฟ้า ต้องปรุงขึ้นเช่นกัน

“การปรุงยาต้องใช้อะไรบ้าง?”

“ต้องใช้ไอสุริยันจันทรา แถมยังต้องสิ้นเปลืองพลังของฉันไม่น้อยอีกด้วย” เธอต้องทำให้ทุกคนเชื่อว่าเธอมีพลังลึกลับ และต้องบอกให้พวกเขารู้ด้วยว่าเธอลำบากมากแค่ไหน

มารดาของจ้าวจิ้งเทียนได้ยินเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “คนธรรมดาอย่างเราไม่รู้จะตอบแทนต้าเซียนได้อย่างไร ที่ทำได้ก็มีเพียงนำเครื่องเซ่นไหว้สามอย่าง[1]มากราบไหว้ ขอต้าเซียนโปรดรับไว้ด้วย”

มารดาของผู้ป่วยหนักที่ด้านข้างก็รีบก้าวออกมาข้างหน้าเช่นกัน “นั่นเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว สมควรอยู่แล้ว ครอบครัวของเราเองก็เตรียมเครื่องเซ่นไหว้สามอย่างไว้เหมือนกัน!”

ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดครอบครัวของผู้ป่วยทั้งหลายก็แยกย้ายกันไป กู้จิ้งกับท่านหมอเหลิ่งเดินออกจากเรือน

ท่านหมอเหลิ่งมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย “ข้าไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ”

“ฉันเองก็ไม่เชื่อ แต่จนใจที่ทุกคนเชื่อ”

ไม่ผิด เธอจงใจใช้ฐานะปีศาจฐานะต้าเซียนหลอกลวงทุกคน แต่หากไม่ทำแบบนี้ ใครจะยอมเชื่อผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งง่ายๆ

“ยานั่น ที่แท้เป็นยาอะไรกันแน่?”

“ยาตำรับลับตกทอดจากบรรพบุรุษ บอกคนนอกไม่ได้”

ท่านหมอเหลิ่งฟังแล้วก็ถอนใจออกมา

“บนโลกมียาวิเศษเช่นนี้ ข้าเหลิ่งลิ่งจินช่างหูตาแคบสั้นเหลือเกิน”

“บนโลกนี้มีเรื่องที่ท่านยังไม่รู้อีกเยอะแยะไป”

ท่านหมอเหลิ่งชะงัก จากนั้นก็หันมาจ้องกู้จิ้งด้วยสายตาพินิจพิจารณา

“ที่แท้เจ้าเป็นใคร มาจากไหนกันแน่?”

“ฉันก็เป็นเมียของเซียวเถี่ยเฟิงน่ะสิ ส่วนบ้านอยู่ในสถานที่ที่ไกลมากๆๆ”

“เซียวเถี่ยเฟิงหลอกคนอื่นได้แต่หลอกข้าไม่ได้ เขาไม่ได้แต่งงานกับใครตอนที่อยู่ข้างนอกทั้งนั้น”

“แล้วจะทำไม สรุปแล้วตอนนี้เรานอนอยู่ด้วยกัน ฉันก็เป็นเมียของเขา”

ท่านหมอเหลิ่งขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นอีกว่า “ยาปากู่ซ่านนั่นรักษาอาการกระดูกหักได้ผลดีจริงๆ”

“ส่วนผสมของยาปากู่ซ่าน เซียวเถี่ยเฟิงกับจ้าวฝูชางต่างก็รู้ ท่านเอาไปใช้ได้เลย”

“ตำรับยาแบบนี้เจ้าไม่ควรบอกให้คนอื่นรู้ง่ายๆ”

“ฉันแค่หวังว่าหากมีคนรู้ตำรับยานี้มากขึ้น จะสามารถช่วยผู้คนได้มากขึ้นเท่านั้น”

ส่วนยาเพนิซิลลินยังไม่สามารถผลิตขึ้นได้ในยุคสมัยนี้ ไม่เช่นนั้น เธอก็อยากจะเผยแพร่สูตรยาเพนิซิลลินไปให้ทั่วแผ่นดินเหมือนกัน

ท่านหมอเหลิ่งมองกู้จิ้งด้วยสายตาตกตะลึง สุดท้ายเขาก็ค้อมกายคำนับ “ข้ารู้สึกเลื่อมใสนัก ข้าขอขอบคุณฮูหยินเซียวแทนผู้คนทั่วแผ่นดินด้วย”

กู้จิ้งยักไหล่ จากนั้นจึงหันกายเดินไปหาเซียวเถี่ยเฟิงโดยไม่สนใจอะไรอีก

ระหว่างทาง เธออดสงสัยไม่ได้ เธอรู้ว่าบนเขาเว่ยอวิ๋นหลังจากนี้หนึ่งพันปีมีคนแซ่จ้าว มีคนแซ่หนิว แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนแซ่เหลิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปท่านหมอเหลิ่งอะไรนี่จะสิ้นลูกสิ้นหลาน หรือว่าย้ายไปจากเขาเว่ยอวิ๋นกันแน่

กำลังเดินอยู่ก็เห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากเรือนหลังพลางพูดคุยกันว่า “พวกเจ้าต้องระวังหน่อยนะ นางปีศาจนั่นไม่ใช่คนดี ได้ยินว่าดวงตาของนางสามารถกระชากวิญญาณผู้ชายได้ ถ้าผู้ชายของพวกเจ้ามองนาง นางแค่ยกมือครั้งเดียว พวกเขาก็จะวิ่งตามนางไป พวกเจ้าจะประมาทไม่ได้”

พูดถึงตรงนี้ก็เหลือบมาเห็นกู้จิ้งเข้าพอดี ทันใดนั้น พวกนางก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

กู้จิ้งได้ยินคนนินทาลับหลัง ย่อมพูดไม่ออกเช่นกัน

เธอกำลังคิดว่าควรทำอย่างไรถึงจะทำให้ชาวบ้านยอมเชื่อถือ จะได้ใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คนได้สะดวกยิ่งขึ้น แต่ผลสุดท้าย กลับมีคนไม่รู้ความแอบทำลายชื่อเสียงเธอลับหลังเสียนี่?

กู้จิ้งคิดว่าเธอต้องให้บทเรียนฝ่ายตรงข้ามเสียบ้าง

ต้าเซียนไม่สำแดงอำนาจก็คิดว่าเป็นแมวป่วยงั้นรึ

กู้จิ้งเพ่งตามองอยู่ครู่หนึ่งก็จำได้ว่าคนที่แอบทำลายชื่อเสียงเธอลับหลังคือซิ่วเฟิน

ยามนี้เธอรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ม่ายจริงๆ

คนที่มากับซิ่วเฟินบางคนศรัทธาเธอ พอเห็นเธอก็เข่าอ่อนจนต้องทรุดลงคุกเข่า พวกนางพากันก้มหน้านิ่ง ตกใจจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเธออีก ปากก็ร้องเรียก “ต้าเซียน!” แต่ซิ่วเฟินกลับแค่นเสียงฮึคำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อต้าเซียนอย่างเธอสักนิด

“นี่เป็นนางปีศาจจิ้งจอก ใช่ต้าเซียนอะไรเสียที่ไหน นี่มันนางปีศาจจิ้งจอกที่ดีแต่ยั่วยวนผู้ชายชัดๆ! หลอกผู้ชายดีๆ คนหนึ่งไปไว้ในถ้ำแบบนั้น จะมีเรื่องดีอะไรได้!”

ซิ่วเฟินเคียดแค้นมากราวกับกู้จิ้งไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษของนางขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

“เธอเคยเห็นปีศาจจิ้งจอกอย่างฉันหรือ ยั่วยวนผู้ชายได้ ช่วยคนก็ได้?”

กู้จิ้งยิ้มพลางย้อนถาม

ซิ่วเฟินคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหน้าหนาขนาดนี้ นางถ่มน้ำลายคำหนึ่ง

“เจ้าทำได้ เจ้าเก่ง! หน้าไม่อาย!” ซิ่วเฟินชี้หน้ากู้จิ้งด้วยความเคียดแค้น “เซียวเถี่ยเฟิงถูกปีศาจอย่างเจ้ากระชากวิญญาณไปแล้วจริงๆ!”

 

——————————————————-

[1] โดยทั่วไปหมายถึงไก่, หมู, ปลา