บทที่ 1459 – ระดับบัญชาสวรรค์พินาจ รองเท้าไล่ล่า 7 จันทรา ความสงบก่อนพายุจะมา

 

รองเท้า 9เทวาของชิงสุ่ยนั้นมีช่องสำหรับฝังอัญมณีอยู่ 9 ช่องแต่ในตอนนี้ชิงสุ่ยฝังได้เพียงอัญมณีระดับ 5 เท่านั้น รองเท้า 9เทวานี้ทำให้ความเร็วของชิงสุ่ยนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากเขายังไม่ฝังอัญมณีระดับ 1 เข้าไปด้วยแม้ว่ามันจะเพิ่มพลังให้เขาได้ไม่มาก สำหรับอัญมณีขั้นที่ 3 นั้นสามารถเพิ่มความเร็วให้กับเขาได้ 10% และหากเป็นขั้นที่ 5 ความเร็วที่เพิ่มขึ้นก็จะมากขึ้นไปอีก 1 เท่า

 

ความเร็วที่เพิ่มขึ้น 1 เท่านี้ถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่งเพราะรองเท้า 9เทวาปกติก็เพิ่มความเร็วให้กับเขา 5 เท่าอยู่แล้วนั่นหมายความว่าตอนนี้มันสามารถเพิ่มความเร็วให้แก่เขาได้ถึง 6 เท่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมความเร็วของชิงสุ่ยจึงมากกว่าผู้ที่ทรงพลังมากกว่าเขา

 

แม้ว่าเขาจะมีอัญมณีมากมายแต่การที่่จะหลอมมันเป็นอัญมณีระดับที่สูงขึ้นนั้นมีโอกาสที่ล้มเหลวสูง โดยเฉพาะการหลอมอัญมณีขั้นที่ 5 ให้เป็นขั้นที่ 6 นั้นเขาไม่เคยทำได้สำเร็จเลย

 

แร่หายากในดินแดนหยกยุพราชอมตะนั้นมีมากมายอย่างยิ่ง สมบัติมากมายของตระกูลกงนั้นถูกเขาเก็บเอาไว้รวมถึงถุงแพรมิติของศัตรูด้วยเช่นกัน มีแร่ล้ำค่ามากมายอยู่ภายในนั้น รวมถึงวัตถุดิบต่างๆที่ดีที่สุดในการสร้าง

 

ผลึกศิลา 7 ดารา!

 

นี่เป็นแร่ที่ชิงสุ่ยใช้สร้างรองเท้าให้แก่หญิงสาวและชิงสุ่ยต้องการสร้างรองเท้าไล่ล่า 7 จันทราขึ้นมา

 

ฝีมือการสร้างของเขานัน้ถือว่าเก่งกาจอย่างยิ่ง ปกติแล้วเขาจะสร้างสิ่งต่างๆเสมอเมื่อเขาไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะแต่ละครั้ง เขายังจะทำการศึกษาสิ่งต่างๆที่เขามีและเขาความคาดหวังอย่างมากสำหรับเคล็ดบรรพการสรรสร้าง

 

ขั้นตอนการสร้างสิ่งต่างๆจากของธรรมดานั้นชิงสุ่ยชำนาญอย่างยิ่ง การสร้างรองเท้าสักคู่ให้กับถานท่าย หลิงเยียนนั้นไม่ใช่ความคิดใหม่สำหรับชิงสุ่ยเขาเคยคิดไว้นานแล้ว แต่ในตอนนี้นางมีชุดเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ชิงสุ่ยจึงอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

เมื่อนึกถึงสิ่งต่างๆก็หยุดมือชิงสุ่ย เขาลืมเรื่องนี้ไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจสร้างมันต่อไป แม้ว่านางจะยอมใช้มันหรือไม่ หากว่านางไม่ยอมใช้มันก็ตามยังมีผู้ที่เหมาะสมกับมันอยู่

 

บางทีด้วยความคิดที่ว่าถานท่าย หลิงเยียนคงไม่ยอมใช้มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นในการสร้างรองเท้านี้ เขาไม่กลัวว่ามันจะล้มเหลวซึ่งทำให้การผลิตนั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่น

 

เวลาผ่านไปเรื่อยๆและเวลาที่เขาใช่ไปในการสร้างรองเท้านี้ก็มากมายยิ่งนัก เขาใช้เวลาไปประมาณ 1 สัปดาห์ซึ่งระหว่างการสร้างนั้นไม่มีสิ่งใดมารบกวนเขาแม้แต่น้อย

 

สภาพจิตใจของชิงสุ่ยค่อยๆกลายเป็นสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การรบกวนทั้งหมดนั้นต่างก็หายไป การสร้างครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินและมีความสุขที่ได้สร้างมันขึ้นมา

 

ติ๊ง!

 

เสียงแหลมดังขึ้นทันทีพร้อมกับแสงที่เปล่งประกายออกมาเมื่อการสร้างเสร็จสิ้น

 

มันเป็นรองเท้าที่งดงามอย่างยิ่ง มีแสงสีขาวเรืองรองดูสะอาดและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง

 

ระดับบัญชาสวรรค์พินาจ!

 

ชิงสุ่ยรู้สึกตกตะลึงทันทีทุกครั้งที่เขาได้รับอาวุธระดับนี้ ตัวอย่างเช่น ง้าวทองทะลวงศัตรูของชิงสุ่ยที่ถือว่าอยู่ในระดับพระเจ้าและกระบี่เก้าหยางขององค์หญิงจางที่อยู่ในระดับตำนาน

 

ปกติแล้วอาวุธระดับตำนานนั้นถือว่าทรงพลังอย่างยิ่งและมีโอกาสน้อยมากที่ชิงสุ่ยจะสร้างอาวุธหรือเครื่องแต่งกายระดับตำนานขึ้นมาได้ แต่มันก็ยังมีอีกระดับหนึ่งอยู่ระหว่างกลางของระดับตำนานกับระดับพระเจ้า.. นั่นก็คือ ระดับบัญชาสวรรค์พินาจ

 

เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งและไม่คาดคิดว่าตนเองจะสามารถสร้างรองเท้าระดับบัญชาสวรรค์พินาจขึ้นมาได้

 

ผล: ความเร็วเพิ่มขึ้น 4 เท่าการใช้พลังงานลดลงไป 4 เท่า ความเร็วโจมตีเพิ่มขึ้น 2 เท่าพร้อมกับได้รับทักษะหลบหลีก

 

ทักษะหลบหลีก: โอกาสที่จะหลบหลีกการโจมตีของศัตรูนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทักษะไม่ใช้พลังงานใดๆ

 

ระดับบัญชาสวรรค์พินาจ: สามารถเข้ากับเครื่องแต่งกายชิ้นอื่นๆเป็นชุดเดียวกันได้

 

ความสามารถทั้งสองอย่างนี้ทรงพลังอย่างยิ่งแม้แต่ชิงสุ่ยก็ต้องอิจฉา อัตราการหลบหลีกเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านี่มันยอดเยี่ยมจริงๆๆ

 

ข้อสุดท้ายนั้นก็ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เครื่องแต่งกายระดับบัญชาสวรรค์พินาจสามารถเข้าชุดกับเครื่องแต่งกายชิ้นอื่นๆได้ ช่างเป็นความสามารถที่ดีอย่างยิ่ง

 

มันคงจะดีถ้านางสวมใส่รองเท้านี้แต่ชิงสุ่ยนั้นยังไม่ทราบถึงความสามารถของรองเท้าในชุดเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของถานท่าย หลิงเยียน เพราะมันเป็นสมบัติระดับพระเจ้า มันคงไม่ด้อยไปกว่ารองเท้าไล่ล่า 7 จันทราอย่างแน่นอนแต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะดีกว่าหรือไม่

 

รองเท้าไล่ล่า 7 จันทรานั้นถือว่าอยู่ในจุดสูงสุดของระดับบัญชาสวรรค์พินาจ เมื่อเทียบกับสมบัติระดับพระเจ้าแล้วมันไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย สมบัติชั้นนต่ำที่อยู่ในระดับพระเจ้าอาจจะด้อยกว่ารองเท้าไล่ล่า 7 จันทรานี้ด้วยซ้ำ

 

ชิงสุ่ยไม่ได้คิดเรื่องนี้มากมายเพราะเขารู้สึกว่าดอกาสที่จะได้พัฒนารองเท้าที่อยู่ในชุดเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นน้อยยิ่งนักและดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่คิดถึงมัน

 

เวลาครึ่งปีได้ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุขและในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ชิงสุ่ยได้พักอยู่ที่พระราชวังจอมอสูรมาโดยตลอด เขาออกไปข้างนอกโดยไม่มีถานท่าย หลิงเยียนกลายครั้ง พวกเขาได้ทำลายกองกำลังที่เข้ามาโจมตีพระราชวังจอมอสูรก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น ในตอนนี้ไม่มีผู้คนของกลุ่มมังกรอหังกาลที่อยู่ในจักรวรรดินี้อีกแล้ว

 

เวลาครึ่งปีไม่ได้ถือว่าสั้นเลยสำหรับชิงสุ่ยมันถือเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับเขา ชิงสุ่ยได้ศึกษารัศมีแห่งเทพสงครามจนเกือบหมดแล้ว เขาสามารถใช้มันได้ชำนาญมากยิ่งขึ้นและในตอนนี้พลังของเขาก็เดพิ่มขึ้นอย่างมาก เขายังได้เพิ่มพลังให้กับมังกรไอยราเกล็ดทองคำแต่น่าเสียดายที่มันเพิ่มขึ้นไม่มากนัก

 

พลังของถานท่าย หลิงเยียนนัน้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน พวกเขาได้พัฒนายาเม็ดสวรรค์หยางเป็นยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 5 ได้แต่ยาที่ดีกว่ายาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 5 นั้นยังไม่สามารถปรุงได้

 

นอกจากนี้พลังของชิงสุ่ยยังเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านสุริยา มันเพิ่มขึ้นตามปกติเพราะเขาใช้เวลาในดินแดนของเขาในการฝึกฝน พลังที่เพิ่มขึ้น 5 ล้านสุริยานั้นถือว่ามากยิ่งนัก พูดได้เลยว่ามันถือว่าน่ากลัวเลยทีเดียว แต่ไม่มีรู้ถึงเหตุผลเบื้องหลังที่เขาสามารถทำมันได้

 

ทักษะ9รากฐานบรรพกาลศึกก็มีการพัฒนาเช่นกันแต่การพัฒนาของมันนั้นถือว่าเชื่องช้าอย่างยิ่ง แต่iมันก็ถือว่าดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้และทักษะ9รากฐานบรรพกาลศึกก็ถือเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาหลักของชิงสุ่ย

 

ตอนนี้เขาสามารถใช้มันได้อย่างชำนาญราวกับเป็นมือของเขาอีกข้างหนึ่ง เมื่อเขาเปิดใช้งานทักษะนี้เขาก็รู้สึกราวกับว่าได้เคลื่อนไหวไปตามก้อนเมฆและสายน้ำ มันช่างลื่นไหลอย่างยิ่ง

 

ในตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาเยียนจงเยว่และคนอื่นๆก็ฝึกฝนอยู่ตลอดเช่นกัน เขามีพลังในระดับเดียวกันกับชิงสุ่ยแต่เคล็ดวิชาต่างๆของเขาไม่ได้ดีเท่าชิงสุ่ย แม้กระนั้นร่างกายของเขาก็ถือว่าทรงพลังอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคนอื่นๆที่อยู่ในระดับเดียวกัน

 

วันนี้เป็นวันที่ชิงสุ่ยจะไปที่พระราชวังเพื่อทานอาหารกับผู้อาวุโสหลู่และคนอื่นๆ พวกเขาได้ทานอาหารร่วมกันมากว่า 1 เดือนแล้วและใช้เวลานี้พูดคุยกันเสมอ

 

ภายในเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้ถานท่าย หลิงเยียนยังคงสงบนิ่งอย่างยิ่ง ชิงสุ่ยไม่เคบเห็นอารมณ์ของนางเปลี่ยนแปลงไปเลย เขายังคงต้องการให้นางยิ้มมากกว่านี้แต่มันก็ไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองก็ดีขึ้นและยังดีกว่าก่อนหน้านี้

 

มื้ออาหารนี้หรูหราอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสหลู่นั้นรู้สึกยินดี เยียนจงเยว่มองไปที่ชิงสุ่ยและจากนัน้ก็มองไปที่เด็กอีก 3 คนเขารู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกมีความสุขหลังจากนั้น

 

เขาติดค้างชิงสุ่ยอยู่แต่เขาไม่มีทางเลือก แต่โชคดีที่ลูกคนนี้ของเขาถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ เยียนจงเยว่มีทุกอย่างที่เขามีตอนนี้เป็นเพราะชิงสุ่ยและหากไม่มีชิงสุ่ย เขาก็ไม่อาจจินตนาการสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย แม้แต่ร่างกายของเขาก็อาจจะต้องเป็นของคนอื่นๆนั่นคือชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

 

แต่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปก็เพราะชิงสุ่ย เขาคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่ทำให้ความทรงจำของเขากลับมาแต่ยังทำให้เขาได้รับรู้ถึงครอบครัวของตนเอง… แม้ว่าเขาจะตายไปเขาก็จะไม่ปล่อยให้ปีศาจเฒ่านั่นได้รับสิ่งที่มันต้องการ

 

“มีคนบอกว่าเขากำลังจะมาที่นี่เร็วๆนี้และมียอดฝีมือมาด้วย 2 คน พวกเขาต้องการจับตัวจงเยว่และสังหารพวกเราพร้อมกับทำให้จักรวรรดิใหญ่ทั้งสามนั้นหายไป”

 

เหยียนจงเยว่นั้นได้เปลี่ยนชื่อกลับมาใช้เดิมของเขา

 

ไม่ใช่แค่ชื่อของเขาที่เปลี่ยนไป สกุลของลูกๆของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกันเมื่อไม่นานมานี้

 

พวกเขากำลังมางั้นหรือ? ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยต้องการให้พวกเขาออกมาเร็วๆตลอดแต่เมื่อพวกเขากำลังจะออกมา เขากลับรู้สึกกังวลแม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

 

“เมื่อพวกเขากำลังจะมาที่นี่ เราก็ควรฝังพวกเขาเอาไว้ที่นี่ตลอดกาล อย่ากังวลไปเลยผู้คนที่มาในครั้งนี้ไม่ได้ถือว่าทรงพลังมาก ตราบใดที่ชิงสุ่ยสามารถลดพลังของพวกเขาและเพิ่มพลังให้แก่พวกเราได้ก็ไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว พลังของข้าเองก็ได้เพิ่มขึ้นมากแล้ว” ผู้อาวุโสหลู่กล่าว

 

ชิงสุ่ยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อมีผู้อาวุโสหลู่อยู่ด้วย เขาคงรู้สึกกังวลมากกว่านี้หากไม่มีผู้อาวุโสหลู่อยู่ด้วยเพราะมีเรื่องมากมายที่เขาต้องจัดการ แต่มันต่างออกไปตราบใดที่เขาเชื่อใจในพลังของผู้อาวุโสหลู่และคอยช่วยเหลือชายชราอยู่ข้างๆพวกเขาสามารถสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดายและหากโชคดีมากพอพวกเขาคงสามารถสังหารศัตรูได้ในครั้งเดียว

 

“ผู้อาวุโสหลู่ พวกเขาจะมาถึงที่นี่เมื่อใดกัน?” ชิงสุ่ยถามขึ้นขณะที่เขามองไปยังผู้อาวุโสหลู่

 

“อีกประมาณ 1 สัปดาห์ คนที่มานั้นไม่น่าจะด้อยไปกว่าข้าและพวกเรายังถือว่าอยู่ในอันตราย” ผู้อาวุโสหลู่กล่าว เขาคิดว่าชิงสุ่ยเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยเหลือเขาในการต่อสู้ครั้งนี้ได้ ผลของการต่อสู้ครั้งนี้นั้นขึ้นอยู่กับชิงสุ่ยแล้ว

 

“พวกเรามีโอกาสชนะมากเพียงใด? ท่านมั่นใจหรือไม่?” ชิงสุ่ยถามผู้อาวุโสหลู่พร้อมกับรอยยิ้ม

 

“หากพลังของเจ้าได้ผลพวกเราก็มีโอกาสที่จะชนะ หากเจ้ายังมีไพ่ตายใบอื่นๆที่ยังซ่อนอยู่อีกเช่นนั้นโอกาสชนะของพวกเราก็คงเพิ่มขึ้นอีก 10% แม้ว่าโอกาสชนะของพวกเราจะต่ำมากเพียงใด พวกเราก็ต้องสู้ ” ผู้อาวุโสหลู่กล่าว

 

ถานท่าย หลิงเยียนและคนอื่นๆไม่ได้พูดอะไรออกมา แม้ว่ามันจะเป็นการพูดคุยที่สบายๆที่ทุกๆคนก็รับรู้ได้ถึงความตึงเครียด ศัตรูอาจมีพลังเหนือกว่าผู้อาวุโสหลู่และบางทีพวกเขาทุกๆคนอาจจะต้องตายในการต่อสู้ครั้งนี้

 

“อย่ากังวลไปเลยเรื่องความสามารถของข้า ข้าจะทำให้ท่านประหลาดใจเอง ดังนั้นพวกเรายังมีความหวังอยู่นะ” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม ผู้อาวุโสหลู่ยังไม่รู้ถึงผลของรัศมีแห่งเทพสงคราม

 

“เทพสรัศมีแห่งเทพสงครามนี้พิเศษอย่างยิ่ง มันเป็นสิ่งที่ข้าได้รับจากเทพสงครามทองคำ แต่ตอนนี้มันยังไม่สมบูรณ์นัก”

 

“เมื่อรัศมีนี้ทรงพลังถึงเพียงนี้ ข้าก็จะตั้งตารอคอยให้พวกเขามาถึงที่นี่” ผู้อาวุโสหลู่กล่าวอย่างตื่นเต้น

 

ชิงสุ่ยพูดไม่ออก ผู้อาวุโสหลู่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้อย่างยิ่งและความมั่นใจของชราในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้น

 

ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขาควรเตรียมอะไรบางอย่างหลังจากที่เขากลับมายังพระราชวังจอมอสูร ภัยคุกคามครั้งนี้ยิ้งใหญ่มากและเขาไม่อาจฝากความหวังไว้ที่ผู้อาวุโสหลู่อย่างเดียวได้