องค์ท่าน

 

 

เมืองเหวินหวานนั้นเป็นถนนที่ทอดยาวไปจนถึงประตูเหล็กและสิ้นสุดตรงนั้น 

 

 

หลังจากที่ร้านรวงปิดกันหมด แสงที่ส่องสว่างมีเพียงแสงจากป้ายนีออนที่เขียนว่า ‘เมืองเหวินหวาน’ เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อทำตามกฎที่ว่าหากร้านยังเปิดต้องเปิดไฟป้ายร้านตอนกลางคืนไว้ 

 

 

ตอนนี้เขาเริ่มลังเลที่จะเข้าไปแล้วเนื่องจากเขามีศิลาวิญญาณติดตัวไว้เยอะเกินไป ตลาดมืดแบบนี้ คนจะซื้อไปได้เท่าไหร่กันนะ อันที่จริงตอนนี้เขาชักเริ่มอยากเอาไปขายให้เพื่อนในเครือข่ายฟ้าดินแทนแล้ว ถ้าพวกเขาเสนอราคาดีๆ มาให้ 

 

 

หลังจากที่คิดไตร่ตรองดูดีๆ หลี่ว์ซู่ก็โทรหาจงอวี้ถัง 

 

 

“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้…” 

 

 

บ้าอะไรเนี่ย! หลี่ว์ซู่หน้าตึง นี่จงอวี้ถังบล็อกเบอร์เขาเหรอ 

 

 

หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็เปลี่ยนไปโทรหาเนี่ยถิง 

 

 

“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกปิดเครื่องอยู่ในขณะนี้…” 

 

 

“ดี! ทำกันแบบนี้แหละ อย่ามาเสียใจกันทีหลังนะ” หลี่ว์ซู่ส่งเสียงเยาะ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะขายศิลาวิญญาณที่ตลาดมืดมันนี่แหละ! 

 

 

เขาเคยคิดจะขายให้พวกชาวต่างชาติอยู่เหมือนกัน แต่ราคาขายในประเทศจีนสูงกว่า เนื่องจากเครือข่ายฟ้าดินเป็นคนจำกัดการขายเพราะมีศิลาวิญญาณอยู่ในจำนวนไม่มาก เพราะฉะนั้นถ้าขายในต่างประเทศคงไม่ได้ราคาดีเท่าไหร่นัก 

 

 

เขาไม่อยากกดราคาขายลงหรอก… 

 

 

เขาพยายามมากกว่าจะได้ศิลาวิญญาณมาเก้าหมื่นสองพันเม็ดมา นอกจากจะลอบเข้าโกดังไปจิ๊กมาแล้ว เขายังแอบหยิบมาจากพิธีกรรมเลือดอีกด้วย 

 

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง จงอวี้ถังที่กำลังยุ่งอยู่กับเอกสารในเมืองอวี้โจวก็มองโทรศัพท์ที่มีสายโทรเข้ามาอย่างลังเล แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รับสายจนกระทั่งหน้าจอดับไปเอง เขาไม่ได้บล็อกเบอร์หลี่ว์ซู่หรอก แต่เขาเปลี่ยนเสียงโทรเข้าเป็น ‘ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้…’ หลังจากที่หลี่ว์ซู่โทรมากวนเขาบ่อยเกินไป… 

 

 

ในขณะเดียวกัน เนี่ยถิงที่กำลังนั่งอยู่ในห้องควบคุมชั้นล่างที่ตรอกหลิงจิ้งก็พึมพำขึ้นมาขณะมองไปที่จอหลายพันจอในคราวเดียว “เขาเจอตลาดมืดเข้าแล้วสิ ดูเขาจะรีบอยากขายของที่ได้มาจากกลุ่มทวยเทพเร็วๆ นะ” 

 

 

สือเสวจิ้นพลิกหน้ากระดาษจากหนังสือเย็บกี่แล้วถาม “ไม่กลัวเขาไปก่อเรื่องใหญ่อีกเหรอ จะไปขายอะไรไม่รู้ตั้งมากมายภายในครั้งเดียว แน่ใจนะว่าคุณจะไม่เข้าไปยุ่งน่ะ” 

 

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่น่าจะเก็บไว้กับตัวมากขนาดนั้น แม้จะมีอยู่บ้างก็เถอะ” เนี่ยถิงตอบพลางนวดหว่างคิ้ว “ระบบของกลุ่มทวยเทพเข้มงวดพอตัว ตอนนั้นทาคาชิมะเองก็ประจำอยู่ในป้อมปราการด้วย เขาคงไม่มีโอกาสเอาอะไรออกมาได้เยอะขนาดนั้น” 

 

 

สือเสวจิ้นเหลือบมอง “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ…” 

 

 

… 

 

 

หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปข้างในแล้วเคาะประตูเหล็ก เสียงเคาะดังสนั่นทำลายความเงียบในตอนกลางคืนไปหมด 

 

 

หน้าต่างเล็กๆ หลังประตูเปิดออกเสียงดังแกร๊ง หลี่ว์ซู่สบตาเข้ากับผู้ชายร่างผอม ดูเจ้าเล่ห์ ไว้หนวดคนหนึ่ง เขาส่องคบไฟมาที่หน้าต่าง ผู้ชายคนนั้นถามขึ้นมาพร้อมกับลอบสังเกตผู้มาเยือน “ที่นี่เป็นที่พักขององค์ท่าน แกเป็นใคร” 

 

 

หลี่ว์ซู่ชะงักไป ที่พักขององค์ท่านเหรอ ท่านไหนล่ะ 

 

 

แต่ก่อนที่เขาจะตอบ ชายคนนั้นก็หมดความอดทนเสียแล้ว “ฉันถามว่าแกเป็นใคร” 

 

 

หลี่ว์ซู่ครุ่นคิด เขาไม่น่าได้เข้าไปถ้าไม่บอกชื่อศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธ เขาเลยลองหยั่งเชิงไปว่า “ฉันคือกัสสปะ [1]” 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +199] 

 

 

หวังเจ๋อไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “องค์ท่านเป็นคำเรียกที่สูงส่ง เขาไม่จำเป็นต้องมีชื่อศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ไม่เหมือนกัสสปะของแกหรอก” แล้วเขาก็รีบปิดประตูใส่หลี่ว์ซู่ทันใด แต่ว่าประตูไม่ยอมขยับเขยื้อนสักนิดด้วยแรงต้านของหลี่ว์ซู่… 

 

 

“ฉันเป็นคนขายของ” หลี่ว์ซู่พูด 

 

 

“ใครส่งแกมา” หวังเจ๋อมองไปข้างๆ 

 

 

คำถามเขาดึงความสนใจจากหลี่ว์ซู่ได้มาก แทนที่จะถามว่ามาขายอะไร แต่หมอนี่กลับถามว่าใครส่งเขามา นี่ไม่เหมือนกับตอนที่เขาไปตลาดมืดครั้งที่แล้ว ที่นี่ดูจะมีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนากว่า รักษาความลับดีกว่า ในขณะที่ที่อื่นๆ นั้นสนใจอยากได้ของไวๆ 

 

 

เป็นมืออาชีพน่าดูเลยนะ ที่นี่แหละ ตลาดมืดที่เขาตามหา 

 

 

แต่จะเข้าไปยังไงล่ะถ้าบอกชื่อคนแนะนำไม่ได้ 

 

 

หวังเจ๋อเอ่ยอย่างเหนือกว่า “ถ้าไม่มีชื่อคนแนะนำก็จ่ายค่ามัดจำมาสามแสนหยวนเป็นค่าเข้า ตอนออกไปค่อยมาเอาคืน ถ้าขายให้ลูกค้าได้มากกว่าสามคนถึงจะกลายเป็นลูกค้าเก่าของที่นี่” 

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่คาดคิดว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเอาศิลาวิญญาณยื่นผ่านหน้าต่าง ตามราคาตลาดแล้ว นี่น่าจะรวมเป็นราคามากกว่าสามแสนหยวน 

 

 

ว่ากันตามตรงแล้ว ราคานี้ไม่ได้สูงเกินไปเลย ถ้าดูจากความต้องการซื้อรายปีของลูกค้า ซึ่งก็น่าจะน้อยว่าสองหมื่น 

 

 

แต่ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าด้วย ผู้บำเพ็ญสามารถใช้ศิลาหนึ่งเม็ดเพื่อช่วยในการฝึกครบหนึ่งรอบ 

 

 

มีใครหลายคนพยายามจะอัปราคาศิลาวิญญาณแต่กไม่สำเร็จ เนื่องจากเครือข่ายฟ้าดินเป็นคนกำหนดราคา และคนซื้อก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดที่จะไม่รู้ราคา พวกลูกค้าจะซื้อในราคาที่สมเหตุสมผลเท่านั้น 

 

 

ประตูเหล็กเปิดออก หวังเจ๋อมองมาที่หลี่ว์ซู่แล้วพูดขู่ “ทำตัวดีๆ ในที่ขององค์ท่านล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวได้ออกไปแบบร่างไร้วิญญาณ ห้ามใช้ความรุนแรงหรือฉ้อโกงที่นี่ด้วย ไม่งั้นโดนหักแขนหักขาแน่ถ้าองค์ท่านจับแกได้ แกรู้ชื่อท่านไหม” 

 

 

“…ไม่อะ” 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +299!] 

 

 

“บ้านนอกคอกนาจริง” หวังเจ๋อทำตัวเย็นชากว่าเดิม “ชื่อของท่านยังไม่เคยได้ยิน กล้าเรียกตัวเองเป็นคนเมืองลั่วได้ยังไง” 

 

 

หลี่ว์ซู่ก็ไม่สบอารมณ์เหมือนกัน แล้วแกรู้ไหมว่าแกกำลังพูดอยู่กับใคร! หลี่ว์ซู่หยุดคิดพักหนึ่ง ใบหน้าขุ่นตึง 

 

 

“แล้วรู้จักหลี่ว์ซู่ไหม” 

 

 

“รู้สิ! ฮีโร่แห่งชาติหลี่ว์ซู่ ใครๆ ในเมืองลั่วก็รู้จักเขากันทั้งนั้น” หวังเจ๋อหัวเราะเย้ยหยัน เจ้าหมอนี่กล้ามาวัดความรู้เขางั้นเหรอ… 

 

 

“…แล้วรู้จักหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หรือเปล่า” หลี่ว์ซู่สูดหายใจเข้าลึก 

 

 

“…รู้สิ!” 

 

 

หลี่ว์ซู่อยากจะเถียงกลับเพราะหวังเจ๋อไม่น่ารู้จักสี่ยวอวี๋ เขาคาดไม่ถึงกับคำตอบนี้เลย 

 

 

“เดี๋ยวนะ แล้วไปรู้สึกหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้ยังไง” หลี่ว์ซู่งง 

 

 

“โอ๊ย ใครในเมืองเหวินหวานไม่รู้จักหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กัน เดือนก่อนมีไอ้โง่ที่ไหนไม่รู้ไปแกล้งเธอ ตอนนี้ชีวิตพวกนั้นบัดซบป่นปี้กันหมด” หวังเจ๋อแยกเขี้ยว 

 

 

“อย่างนี้นี่เอง” หลี่ว์ซู่เริ่มเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึเน “แล้วใครเก่งกว่าล่ะ องค์ท่านของนายหรือหลี่ว์เสี่ยวอวี๋” 

 

 

“แน่นอนว่าต้องเป็นองค์ท่านอยู่แล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดูแข็งแกร่งก็เพราะมีสัตว์วิเศษและมีสหายร่วมรบของพี่ชายคอยช่วย เธอมีเครือข่ายฟ้าดินหนุนหลังอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกตราบใดที่เราไม่ไปยั่วอารมณ์เธอน่ะ แต่ถ้าเกิดเธอมาสร้างปัญหาละก็ องค์ท่านเองก็มีเส้นสายในเครือข่ายฟ้าดินเหมือนกัน” หวังเจ๋อทำท่าเป็นเชิงบอกให้หลี่ว์ซู่เดินเข้ามา 

 

 

หลี่ว์ซู่บอกไม่ได้เลยว่าเขากำลังพูดความจริงอยู่หรือเปล่า เขายิ้มอย่างเยือกเย็น ใบหน้ามีความอาฆาตอาบอยู่ 

 

 

“พี่ชาย ฉันว่าถ้าเป็นละครละก็ นายคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนที่สามหรอก อยากรู้ไหมว่าทำไม” 

 

 

“ทำไมล่ะ” 

 

 

“เพราะนายรู้มากเกินไปยังไงล่ะ” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] พระกัสสปพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์