ผังครอบครัว

พอเข้ามาข้างมาข้างในแล้ว ก็มีประตูหนึ่งทางด้านซ้ายที่มีคนเฝ้าอยู่สองสามคน พวกเขากำลังดื่มเอ้อร์กัวโถว [1] กับถั่วทอดเป็นขนมกับแกล้มภายใต้แสงสลัวๆ พวกเขาทักทายหลี่ว์ซู่ด้วยสายตาเยือกเย็น 

 

 

ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะเดินเข้าไปถึงปลายถนน หวังเจ๋อก็รีบกลับไปยังประตูหลังจากได้รับข้อความ ทว่าคราวนี้ประตูกลับเปิดออกกว้าง 

 

 

“ท่านคงเป็นคุณเกาสินะครับ ‘ท่าน’ ได้สั่งให้เราพาคุณชมสถานที่ ตามสบายเลยนะครับ ถ้าถูกใจสิ่งไหนก็บอกเราได้เลย” หวังเจ๋อเอ่ยด้วยรอยยิ้มประจบประแจง 

 

 

กลุ่มคนห้าคนเดินผ่านประตูเข้ามาข้างใน เสื้อคลุมตัวใหญ่ของผู้นำกลุ่มนั้นถูกปลดออก เผยให้เห็นชุดสูทสีขาวข้างใน เขามีท่าทีสง่าผ่าเผย ด้านหลังเขาคือนักสู้ระดับ D ส่วนที่ด้านข้างเขาเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่เดินประกบมา ทว่าหลี่ว์ซู่ไม่สามารถจับคลื่นพลังจิตวิญญาณอะไรได้จากตัวเธอเลย 

 

 

ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็ต้องสัมผัสอะไรได้บ้าง จะเป็นคลื่นพลังจิตวิญญาณแม้เพียงน้อยนิดหรืออะไรก็เถอะ เพราถึงอย่างไรทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็ประกอบไปด้วยอนุภาคของพลังจิตวิญญาณ กระนั้นเด็กสาวคนนี้ราวกับมีเกราะบังพลังจิตวิญญาณเอาไว้ 

 

 

หลี่ว์ซู่ลอบสังเกตเธออย่างระมัดระวัง บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบผู้หญิงตัวสูงขนาดนี้ เธอใส่เสื้อกันลมสีแดงที่รูดซิปปิดมาถึงจมูก ยากมากที่จะระบุว่าคนคนนี้เป็นเพศอะไรหากไม่เห็นเค้าโครงหน้าที่ดูเป็นผู้หญิง 

 

 

ส่วนสูงของหลี่ว์ซู่นั้นอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร แต่เด็กสาวตรงหน้ากลับตัวสูงเท่าเขา… 

 

 

หลี่ว์ซู่ก้าวหลบไปด้านข้างเพื่อให้คนกลุ่มนี้เดินเข้าไปก่อน คุณเกาและเด็กสาวไม่สนใจเขาเลยสักนิด ในขณะที่บอดี้การ์ดอีกสามคนจ้องคนอื่นไปทั่วด้วยสายตาเย็นเยือก 

 

 

เด็กสาวที่เดินนำหน้าเอ่ยเสียงหวาน “แล้วองค์ท่านล่ะ ฉันล่ะกลัวว่าพวกเขาจะเป็นแค่พวกทึ่มที่ไม่เคยเห็นโลกรึเปล่า ทุกวันนี้พวกท่านน่ะไม่ค่อยมีค่าอะไรหรอก” 

 

 

หวังเจ๋อและคนอื่นๆ กลั้นหายใจทันที พวกเขารู้ว่าตนไม่ได้อยู่ในจุดที่จะไปพูดจากระทบกระทั่งกลุ่มคนตรงหน้าได้ ทว่าหลี่ว์ซู่กลับเอ่ยถามเสียงขุ่น 

 

 

“หมิ่นองค์ท่านของพวกเรางั้นเหรอ” 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเกาชัง +199] 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากน่าหลานเชวี่ย +269] 

 

 

หลี่ว์ซู่มีความรู้สึกว่าน่าหลานเชวี่ยน่าจะเป็นผู้นำที่แท้จริงของกลุ่มนี้ เพราะงั้นเขาเลยพยายามยั่วโทสะเธอให้ได้แต้มอารมณ์เพื่อจะได้รู้ชื่อ แต่ใครจะรู้ บางทีซีเฟ่ยอาจช่วยสืบหาประวัติของเธอให้หลี่ว์ซู่ได้ก็ได้ 

 

 

กลุ่มคนพวกนั้นเหลือบมองมาที่หลี่ว์ซู่ด้วยความตกใจ แต่น่าหลานเชวี่ยกลับไม่สะทกสะท้าน หวังเจ๋อตกใจสุดขีด องค์ท่านไปเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่! เขารีบอธิบายทันที “ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนของเราครับ เชื่อผมเถอะ” 

 

 

คุณเกาหัวเราะ “ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก ไปกันเถอะครับ” จากนั้นทั้งกลุ่มก็เดินตามหวังเจ๋อไปในกระท่อม หลี่ว์ซู่เดินตามหลังพวกเขาไป 

 

 

ในนั้นมีทางเดินลงไปตรงมุม มีป้ายที่ส่องสว่างจากหลอดไฟใส่ไส้อยู่สองข้างทาง มันอ่านได้ว่า ‘ยอด PLA [2]’ 

 

 

ดูก็รู้ว่าที่นี่เคยเป็นหลุมหลบระเบิดมาก่อน 

 

 

ใครจะรู้ว่ามันจะถูกเปลี่ยนมาเป็นตลาดมืดในสมัยนี้ พอเดินลึกลงไปก็ได้ยินเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในอุโมงค์ และในขณะนั้น หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงใครสักคนกรีดร้อง “กัดมัน! กัดคอมันเลย!” 

 

 

กลิ่นข้างล่างนี่ไม่ค่อยเหม็นอย่างที่หลี่ว์ซู่คิดไว้ สงสัยคงเพราะเพิ่งปรับปรุงระบบระบายอากาศใหม่ หลี่ว์ซู่เริ่มสงสัยว่าองค์ท่านในตำนานนี้คือใครกันแน่ 

 

 

ทำไมเขาถึงดำเนินธุรกิจตลาดมืดขนาดใหญ่แบบนี้ได้ภายใต้จมูกของเครือข่ายฟ้าดิน 

 

 

หลี่ว์ซู่เห็นคนยืนล้อมบริเวณรั้วอยู่ ในรั้วมีสุนัขสองตัวกำลังสู้กันอย่างดุเดือด สุนัขตัวหนึ่งดูแข็งแรงและบอกไม่ได้ว่าคือสายพันธุ์อะไร มันถูกกระชากโยนไปกระแทกกับผนังรั้วเสียงดังปัง แต่ผนังไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย พวกนักพนันเห็นแบบนั้นก็เฮกันใหญ่ 

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่แท้สุนัขสองตัวนั้นก็เป็นสัตว์วิเศษระดับ F นั่นเอง 

 

 

คนพวกนี้รวยกันขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย มาพนันสัตว์วิเศษสองตัวสู้กันเนี่ยนะ 

 

 

ข้างนอกนั่นมีพนักงานที่รับผิดชอบจดบันทึกข้อมูลการพนัน จำนวนเงินที่ถูกลงพนันและชื่อคนพนันถูกเขียนลงในนั้นอย่างชัดเจน 

 

 

มีร้านค้าอยู่ในหลุมหลบระเบิดนี่ราวๆ ร้อยร้านได้ หลี่ว์ซู่สงสัยว่าอาจจะมีทางออกอีกทางในนี้ เอาไว้ให้เจ้าของได้หลบหนีเผื่อว่ามีคนของเครือข่ายฟ้าดินมาทลายที่แห่งนี้ แต่เขาก็ยังไม่เห็นทางออกที่ว่านั่น 

 

 

หลี่ว์ซู่เลยตัดสินใจส่งเจ้ากระรอกไปเพื่อตรวจดู การใช้งานพวกหนูในงานนี้ถือว่าเหมาะเลย เพราะพวกมันจะได้ช่วยกันชุดดูว่ามีทางออกไหนบางในหลุมหลบระเบิดนี้ 

 

 

ขณะนั้น หวังเจ๋อก็ปรี๊ดแตกที่เห็นหลี่ว์ซู่ยังตามพวกเขามา “ไหนบอกว่ามาขายของไง ขึ้นไปขายข้างบนเร็วเข้าสิ!” 

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มตอบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พอเขาเจอที่เหมาะๆ สำหรับตั้งแผงขายของแล้ว เขาก็ตะโกนขึ้นมา ในมือถือกุยช่ายเอาไว้ 

 

 

“กุยช่ายจ้า! กุยช่าย! ผู้ชายกินจะปึ๋งปั๋ง ผู้หญิงกินจะเด็ดสะระตี่ ถ้ากินทั้งผู้ชายผู้หญิงรับรองว่าเตียงพังแน่นอน…” 

 

 

หวังเจ๋อหัวหมุน “พี่ชาย ไม่ต้องมาขายกุยช่ายที่นี่ก็ได้ ขึ้นไปขายข้างนอกเอาก็ได้นี่ เครือข่ายฟ้าดินไม่ได้ห้ามขาย” 

 

 

“นี่นายรังเกียจกุยช่ายฉันเหรอ” 

 

 

“…ไอ้เวรนี่” 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +666!] 

 

 

ที่หวังเจ๋อพูดมาก็มีเหตุผล เพราะถ้าขายอะไรได้ในตลาดมืดก็ต้องแบ่งรายได้ให้องค์ท่านสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนจ่ายค่าภาษี 

 

 

น่าหลานเชวี่ยก็ส่งสายตาดูถูกดูแคลนมาที่หลี่ว์ซู่ ช่างเป็นคนขายกุยช่ายที่น่าสมเพชจริงๆ 

 

 

ในตลาดมืดนั้น ลำดับขั้นถือว่าสำคัญมาก พวกลำดับบนจะขายอาวุธวิญญาณ ลำดับรองลงมาก็จะเป็นขายสัตว์วิเศษ ตามมาด้วยศิลาวิญญาณและของที่กินได้ตามลำดับ 

 

 

จู่ๆ ชายวัยกลางคนที่ขายของแผงข้างๆ ก็ยิ้มแล้วเอ่ยถามหลี่ว์ซู่ด้วยความสนอกสนใจ 

 

 

“กุยช่ายนี่เท่าไหร่น่ะ” 

 

 

แต่หลี่ว์ซู่กำลังจับตาดูเกาชังและน่าหลานเชวี่ยอยู่ด้วยหางตา เขาเลยตอบออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก 

 

 

“ก้านละสามร้อยหยวน แต่สามก้านหนึ่งพันหยวน” 

 

 

“เออดี งั้นเอามาสามก้าน” 

 

 

หลี่ว์ซู่รับเงินมาแล้วยื่นกุยช่ายสามก้านไปให้ แต่ทันใดนั้นผู้ชายคนที่มาซื้อก็เพิ่งนึกออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ 

 

 

“พี่ชาย เคยขายหนูอ้นมาก่อนไหม หนูตัวหนึ่งราคาสามหยวน แต่หนูสามตัวสิบหยวน” [3] 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินป๋อคัง +666!] 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของจีนที่มีดีกรีแอลกอฮอล์ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ทำมาจากข้าวฟ่าง 

 

 

[2] ตัวย่อ PLA มาจากคำว่า People’s Liberation Army หรือกองทัพปลดปล่อยประชาชนซึ่งเป็นกองทัพทหารของจีน 

 

 

[3] เป็นเรื่องตลกที่โด่งดังในโลกอินเทอร์เน็ตของจีน