บทที่ 166 การตกระกำลำบากของเทาเท

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

ไวท์กำลังจะลุกเดินหนี แต่ใครบางคนกลับลุกเดินออกไปเสียก่อน และบุคคลคนนั้นก็คือเทาเท่

ก่อนที่ไวท์จะวิ่งตามออกไป เขาหันกลับมากัดฟันพูดกับโซเมน “โซเมน นายรออยู่ที่นี่ ดีที่สุดคืออย่าตกหลุมรักผู้หญิงคนไหนก็ตาม ไม่อย่างนั้นนายจะได้เห็นว่าฉันกับเทาเท่จะทำให้นายเจ็บปวดได้ยังไง!”

ไวท์กับเทาเท่ไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องอะไรแบบนั้น ที่โซเมนเรียกผู้หญิงกลุ่มนี้มา เพียงแค่แกล้งหยอกให้พวกเขาปั่นประสาทเล่น

คนที่คอยรักษาตัวให้พ้นจากปัญหายุ่งยาก คนที่เอาแต่คิดถึงผู้หญิงคนเดียวอยู่ในใจ คงไม่มีเวลามาสนใจสร้างความบันเทิงกับผู้หญิงคนอื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโอบซ้ายทีกอดขวาทีแบบนี้

พูดจบไวท์ก็รีบวิ่งออกไป โซเมนหัวเราะร่าอย่างมีความสุขไล่หลังพวกเขาทั้งสอง

แต่หลังจากเสียงหัวเราะหยุดลง เขาก็โบกมือสั่งให้พวกผู้หญิงกลุ่มนั้นออกไป แล้วลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

เทาเท่และไวท์กำลังสูบบุหรี่อยู่ข้างนอกคลับเฮ้าส์ โซเมนเดินเข้าไปหาพลางบิดขี้เกียจอยู่บนระเบียงข้างๆ ทั้งคู่ จ้องมองไปที่เทาเท่แล้วเอ่ยขึ้น “จะอยู่หรือตายแน่นอนว่ามันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง สู้ปล่อยไปไม่ดีกว่าเหรอ”

เทาเท่กลอกตาใส่เขา

หากบอกปล่อยก็ปล่อยได้ง่ายอย่างว่า เขาคงไม่ต้องทนทุกข์อยู่แบบนี้

ทันใดนั้นเขาจึงเข้าใจว่า เพราะเหตุใดตอนนั้นหลินจือจึงอับอายต่อสายตาเมินเฉยและเย็นชาในบางครั้งบางคราวของเขา แต่ยังคงต้องแต่งงานกับเขา เธอคงมีความทุกข์ทรมานอยู่ในใจมากเสียจนไม่ยอมคืนดี

เธอคงคาดหวังให้เขามองเธอมากขึ้น คาดหวังให้หัวใจเขาเป็นของเธอได้

คาดหวังให้ได้อยู่กับเขาอย่างมีความสุขยาวนานตลอดไป เพียบพร้อมไปด้วยลูกชายและลูกสาว ไม่แยกจากกันตลอดชีวิต

เช่นเดียวกับเขาในเวลานี้ ความรู้สึกเช่นนั้น

ท้ายที่สุดแล้วเธอละทิ้งความหลงใหลพวกนี้ไปได้อย่างไร

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของเทาเท่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดไม่รู้จบสิ้น เธอต้องเจ็บปวดใจเพราะเขา…

โซเมนเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร จึงมีความคิดริเริ่ม “ฉันมีข้อเสนอ”

เทาเท่ลืมตาขึ้นมองเขา ท่าทียังดูสงบนิ่งเช่นเดิม ทว่ากลับร้อนรุ่มไปด้วยเปลวเพลิงที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโซเมนจะให้คำแนะนำที่ดีแก่เขาได้

โซเมนกล่าว “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่นายคิดว่าเธอกำลังหลอกให้นายตายใจอยู่เหรอ เอาอย่างนี้ดีกว่า นายก็หลอกให้เธอตายใจคืนบ้าง แกล้งว่านายปล่อยเธอไปแล้ว จากนั้นก็ไปออกเดตกับผู้หญิงคนอื่น ยั่วอารมณ์เธอ”

“ไม่แน่เมื่อเธอเห็นนายอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เธออาจรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาก็ได้ จากนั้นก็จะรีบกลับมาไล่ตามนายและให้คำมั่นสัญญาว่าจะอยู่กับนายอีกครั้ง”

เทาเท่พูดโดยไม่ต้องคิด “ไม่ ฉันจะไม่ปล่อยเธอไป”

ตลอดชีวิตนี้คงไม่อาจปล่อยวางจากเธอได้

โซเมนรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก “นายไม่ได้ฟังโจทย์ให้ดีเหรอ ฉันบอกว่า ‘แกล้ง’ ว่านายทิ้งเธอไปแล้ว”

เทาเท่ปฏิเสธคำพูดของเขาอย่างเด็ดขาด “แกล้งก็ไม่ได้”

โซเมนชะงักไป ก่อนจะกางมือออกทั้งสองข้างพลางยักไหล่ “งั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”

เทาเท่ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่อัดบุหรี่เข้าปอดไปหนักๆ

ไวท์ยกขึ้นแล้วพูดบ้าง “ฉันก็มีข้อเสนอ”

ทั้งเทาเท่กับโซเมนต่างหันมองเขาพร้อมๆ กัน ไวท์ที่ถูกจ้องแบบนี้พลันรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าชายอเล็กซานเดอร์ผู้สง่างาม

เขากระแอมแล้วพูดกับเทาเท่ว่า “ทำไมนายไม่แกล้งว่าได้รับบาดเจ็บจนสูญเสียความทรงจำล่ะ และความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่เป็นความทรงจำช่วงเวลาที่นายกับเธอยังเป็นสามีภรรยากัน จากนั้นทางโรงพยาบาลของเราจะจัดเตรียมเรื่องต่างๆ ไว้ให้พวกนายได้พัฒนาความสัมพันธ์จนเข้ากันได้ เมื่อถึงเวลานั้นเธอจะได้ตกหลุมนายอีกครั้ง

ไม่รอให้เทาเท่ได้แสดงความเห็น โซเมนก็แย้งว่าไม่ชอบขึ้นมาก่อน “นายดูละครน้ำเน่ามากไปรึเปล่า นายเป็นหมอได้ยังไง พูดข้อเสนอแนะที่ไม่สมเหตุสมผลแบบนี้ออกมาได้?”

ไวท์หาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง “จากผลวิจัยทางการแพทย์ หลังจากสูญเสียความทรงจำความทรงจำเราจะหยุดอยู่ที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง พบเจอได้จริง แต่ก็มีความเป็นไปได้น้อย”

โซเมนกำลังจะเปิดปากพูด แต่เทาเท่ขยี้ก้นบุหรี่แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ “ความคิดนี้เป็นไปได้”

โซเมน “…”

ให้ตายเถอะ! เทาเท่แกบ้าไปแล้วใช่ไหม ทุ่มสุดตัวเพื่อเล่นละครน้ำเน่าแสร้งทำเป็นความจำเสื่อมเนี่ยนะ?

ช่างน่าหดหู่ใจเหลือเกิน!

เทาเท่โยนก้นบุหรี่ที่ถูกขยี้จนดับลงบนฝาถังขยะแล้วเดินจากไป ไวท์รีบคว้าตัวชายหนุ่มไว้ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ใช่ว่านายไปจะที่ถนนตอนนี้ แล้วให้รถยนต์เกิดอุบัติเหตุหรอกนะ”

เทาเท่ชำเลืองมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ กัดฟันพูด “ตอนนี้ฉันยังไม่จนตรอกถึงขั้นนั้นหรอก!”

ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นคือ แม้ว่าต้องแกล้งทำเป็นความจำเสื่อม ก็คงไม่ใช่ตอนนี้

ไวท์ปล่อยเขา “ใจหายใจคว่ำหมด ถ้านายต้องการแสดงละครตอนนี้ ฉันก็ยังเตรียมตัวเตรียมใจไม่พร้อมเหมือนกัน”

ขาเรียวยาวของเทาเท่ก้าวอาดๆ ไปที่รถของตัวเอง โซเมนล้วงกระเป๋ากางเกงพลางถอนหายใจออกมา “ความรักก็เหมือนยาพิษ ทำให้คนเราตายได้จริงๆ ทำให้คนที่อยู่สูงส่งขนาดนั้นมาอยู่ในสภาพแบบนี้ได้

ทั้งแทบเป็นแทบตาย ทั้งแสร้งทำเป็นความจำเสื่อม

ไวท์กลอกตาให้โซเมน “นายมันเสเพลเอาแต่เที่ยวเตร่แบบนี้ ย่อมไม่มีวันเข้าใจหรอก”

“วันหนึ่งถ้านายเข้าใจ เกรงว่าสภาพนายคงแย่กว่าเขาตอนนี้ด้วยซ้ำ” ไวท์พูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น แล้วเดินจากไป เหลือเพียงโซเมนที่ยืนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้อยู่ตรงนั้นคนเดียว

ความรักคืออะไร เขาไม่รู้หรอก เพราะเขาไม่เคยให้ใจกับใคร

เดิมทีหลินจือก็ไม่รู้ว่าเจเทาวน์กลับมาที่เมืองเจสเวิร์ดแล้ว เมื่อช่วงเย็นเธอได้รับโทรศัพท์จากเขา น้ำเสียงของเจเทาวน์ดูอ่อนแรงมาก “หลินจือ ผมกลับมาแล้วนะ ทีแรกตั้งใจว่าจะไปหาคุณที่นั่น แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยสบาย”

หลินจือถามอย่างกระวนกระวายใจ “คุณเป็นยังไงบ้าง”

เจเทาวน์ไอออกมาสองสามครั้ง “ตอนนี้ผมมีไข้ แล้วก็รู้สึกเหนื่อยๆ ไม่ค่อยมีแรง…”

หลินจือเมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มเป็นไข้ ก็นึกเป็นกังวลขึ้นมา “ฉันจะไปหาคุณ”

ขณะพูดหลินจือก็มองหาเสื้อผ้าไปพลาง เป็นไข้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ต้องมีใครสักคนคอยดูแลอยู่ข้างๆ

“ขอบคุณ…” เจเทาวน์ไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป เมื่อหลินจือบอกว่าจะมาหา ชายหนุ่มก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลมในวินาทีต่อมา

เขาพูดขึ้นอีกครั้งด้วยความยากลำบาก “คุณพาเจ้าหนูมาด้วยก็ได้ ถ้าคุณไม่อยู่บ้าน ผมกลัวว่ามันจะไปรังแกเจ้าเล็ก”

หลินจือไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เจเทาวน์เป็นไข้ขนาดนี้ ยังคิดถึงแมวของเธอว่าจะถูกรังแก

แต่อันที่จริงไม่กี่วันนี้เจ้าหนูก็ไม่ได้รังแกเจ้าเล็กเลยสักนิด มันก็เหมือนกับเจ้าของของมัน เป็นกันเองและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย

แต่เธอคิดว่าเจเทาวน์ก็คงคิดถึงเจ้าเหมียวของเขาแน่ๆ จึงตอบตกลงแล้ววางสายไป เมื่อแต่งตัวเสร็จก็พาเจ้าเหมียวออกเดินทางมาด้วยกัน ก่อนออกเดินทาง เธอพกยาจำนวนหนึ่งที่มีอยู่ในบ้านและคิดว่าจำเป็นติดตัวมาด้วย เช่น ยาลดไข้และยาแก้อักเสบ

หลินจือไม่คิดว่าจะถูกแอบถ่ายรูป แต่โชคดีที่เธอพกอาวุธมาอย่างแน่นหนา ภาพที่ถ่ายออกมาจึงเห็นเพียงแผ่นหลังของเธอเท่านั้น ไม่ได้ถ่ายติดใบหน้าแต่อย่างใด

เมื่อเข้าไปในบ้านของเจเทาวน์หลินจือก็วุ่นอยู่กับการดูแลเขา อันดับแรกเธอเอายาลดไข้ให้เขากิน เมื่อถามเขาก็บอกว่ายังไม่ได้กินข้าว จึงรีบไปต้มโจ๊กไว้ให้ เผื่อหลังจากที่ไข้ลดลงและชายหนุ่มมีความอยากอาหารขึ้นมา จะได้มีอาหารไว้ให้รับประทานได้ทุกเมื่อ

วิ่งวุ่นกลับไปกลับมาอยู่แบบนี้ เวลาก็ล่วงเลยไปค่อนคืน

หลินจือมองดูเวลา พบว่าตอนนี้เป็นเวลายี่สิบสามนาฬิกาเข้าให้แล้ว เธอตั้งใจจะออกไป แต่ไข้ของเจเทาวน์ยังไม่ลดลงเลยสักนิด ชายหนุ่มยังคงหลับใหล เธอจึงต้องอยู่ต่ออีกสักพัก