[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 553 : วิชาหลิงซี!
เมื่อเห็นสาวงามเริ่มไม่พอใจ หลิงหยุนก็คร้านที่จะทะเลาะด้วย เขายิ้มให้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาราวกับจะบอกว่า – คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่! จากนั้นจึงเดินโอบเอวไป๋เซียนเอ๋อเข้าไปในบ้าน
“นี่.. พ่อคนเจ้าชู้! ระวังจะไม่ตายดีล่ะ!” เสียงหวานๆ ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาตะโกนดังตามหลังหลิงหยุนไป
หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร กว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะฝึกจนถึงขั้นเซียงเทียน ก็อาจจะเป็นปี ถึงตอนนั้นหลิงหยุนก็น่าจะเข้าสู่ระดับกลางของขั้นพลังชี่แล้ว ยังมีเวลาอีกมากพอ!
ดวงตาคู่สวยของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาจ้องมองหลิงหยุนที่เดินเข้าไปในบ้านด้วยความตกตะลึง แต่เมื่อจะเริ่มฝืนฝนต่อ ก็พบว่าความคิดของตนเองนั้นว้าวุ่นไปหมด และไม่สามารถรักษาจิตใจให้สงบนิ่งต่อไปได้อีก
เมื่อหลิงหยุนเดินขึ้นไปที่ชั้นสองผ่านห้องนอนของเสี่ยวเม่ยหนิงนั้น เขาก็ตั้งใจฟังเสียงภายในห้อง และพบว่าลมหายใจของหนิงน้อยนั้นยาวสม่ำเสมอ คงน่าจะกำลังฝันดี เขาเพียงแค่ยิ้มและเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
หลิงหยุนมีความรักให้กับหนิงน้อยเป็นพิเศษ เขาจึงไม่ต้องการจะใช้จิตหยั่งรู้แอบดูเด็กสาวตัวแสบคนนี้..
หลิงหยุนเปิดไฟ และหยิบกระดาษกับปากกาออกมา แล้วเริ่มลงมือทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่บนโต๊ะของตนเอง
ไป๋เซียนเอ๋อยืนนิ่งอยู่ข้างๆหลิงหยุนครู่หนึ่ง เป็นเพราะนางอ่านหนังสือไม่ออกจึงไม่เข้าใจว่าหลิงหยุนกำลังเขียนอะไร เธอจึงร้องถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พี่หลิงหยุน.. ท่านกำลังทำอะไร?”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “ข้ากำลังเขียนวิชาเก้าเข็มปลุกชีพ และวิชาหลิงซีอยู่”
“เหตุใดนายท่านจึงต้องเขียนมันออกมาด้วย?”
“ข้าต้องการสอนวิชาเก้าเข็มปลุกชีพให้กับหนิงน้อย”
หลิงหยุนเป็นมีความสามารถในการทำสองสิ่งได้ในเวลาเดียวกัน ขณะที่เขียนหนังสือไปด้วย ก็สามารถตอบคำถามไปด้วยได้ และความเร็วในการเขียนก็รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งตัวอักษรก็ยังงดงามเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย
“มันเป็นวิชาที่มีทรงอานุภาพมากหรือไม่?”
“มันเป็นวิธีการดูดซับ และกักเก็บพลังชีวิต อาจดูเหมือนไม่ใช่วิชาที่ทรงอานุภาพอะไรนัก แต่หากใช้วิชาเก้าเข็มปลุกชีพ ควบคู่กับวิชาหลิงซีนี้ คนผู้นั้นก็จะสามารถควบคุมพลังชีวิตที่อยู่ในร่างกายได้ และสามารถใช้วิชาเก้าเข็มปลุกชีพได้ประสบผลสำเร็จ”
“ดูเหมือนพี่หลิงหยุนจะดีกับหนิงน้อยเป็นพิเศษ..!” ไป๋เซียนเอ๋อพูดด้วยความอิจฉา
หลิงหยุนจึงรีบวางปากกาลง และหันไปหาเซียนเอ๋อพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “แล้วข้าไม่ดีกับเจ้าอย่างนั้นรึ?”
ไป๋เซียนเอ๋อไม่กล้ามองตาหลิงหยุน แต่ก็ตอบกลับไปว่า “แล้วเหตุใดท่านไม่สอนวิชาพวกนี้ให้ข้าบ้าง?”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “เจ้าอย่าโลภมากนัก.. ไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่าโลภมากลาภหายบ้างรึ? เจ้ามีทั้งตำราปีศาจเก้าดวงดาว ใหนจะยังมีวิชาจิ้งจอกระเริงไฟอีก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวิชาบ่มเพาะของเหล่าปีศาจที่ทรงพลังอย่างที่สุด เพียงแค่ฝึกตามตำรานั่น ก็ยากที่จะฝึกได้สำเร็จแล้ว แต่หากเจ้าฝึกฝนหลากหลายวิชามากจนเกินไป ไม่เพียงจะไม่ได้ทำให้ก้าวหน้าไปถึงใหน แต่อาจจะเกิดธาตุไฟแตกซ่านจนต้องกลายเป็นมารไปก็ได้ และนี่เป็นข้อห้ามที่นักบ่มเพาะอย่างพวกเราควรจะต้องใส่ใจ และระมัดระวังให้มาก เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
ไป๋เซียนเอ๋อพยักหน้าพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่น แต่ก็ยังคงดื้อดึงเอาแต่ใจ “เช่นนั้นท่านก็สอนวิชาอย่างอื่นที่ไม่เป็นอันตรายให้กับข้า..”
หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับตอบไปว่า “ได้.. สอนก็สอน! แต่ข้าจะสอนเพียงแค่วิชาที่ใช้เคลื่อนที่ให้กับเจ้าก็แล้วกัน”
“ขอบคุณพี่หลิงหยุน.. ” ไป๋เซียนเอ๋อร้องออกมาอย่างพอใจ
หลิงหยุนยิ้มอ่อนโยน แล้วจึงก้มหน้าก้มตาเขียนเคล็ดวิชาต่อไป..
ผ่านไปชั่วโมงกว่า.. เสี่ยวเม่ยหนิงก็ตื่นนอน และยังไม่ทันจะได้ล้างหน้าล้างตา เธอก็สวมชุดนอน ปล่อยผมยาวสยาย และวิ่งเท้าเปล่ามาที่ห้องนอนของหลิงหยุนทันที
ประตูห้องนอนของหลิงหยุนไม่ได้ปิดไว้..
“พี่หลิงหยุน.. เมื่อคืนพี่กลับมาถึงบ้านกี่โมง? ฉันรอพี่จนถึงเที่ยงคืน..” เสี่ยวเม่ยหนิงวิ่งตรงเข้าไปหาหลิงหยุนที่โต๊ะทำงานพร้อมกับร้องถาม
“ตื่นแล้วเหรอหนิงน้อย? ผมกลับถึงบ้านตอนตีห้า.. เมื่อคืนผมไปฝึกที่เขามังกรทั้งคืน..”
หลิงหยุนวางปากกาในมือลง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับเสี่ยวเม่ยหนิง
“ฝึก.. แล้วก็ฝึก! เอาแต่ฝึกๆ จนไม่มีเวลาไปใหนมาใหนกับฉันเลย!” เสี่ยวเม่ยหนิงรำพึงรำพันพร้อมกับกอดแขนหลิงหยุนไว้ และแสดงอาการไม่พอใจ
“ดูซะก่อนว่าผมกำลังเขียนอะไร?”
เสี่ยวเม่ยหนิงขยี้ตา แล้วริมฝีปากของสาวน้อยตัวแสบก็อ้ากว้างอยากตกใจ
“นี่มันวิชาเก้าเข็มปลุกชีพนี่?!”
หลิงหยุนหัวเราะหึหึ “ถูกต้อง. นี่คือวิชาเก้าเข็มปลุกชีพ แต่ผมเพิ่งจะเขียนได้ยังไม่ถึงหนึ่งในสามส่วนเลย”
“ว้าว.. มีตั้งหลายแผ่นแน่ะ! อย่าบอกนะว่านี่พี่เขียนให้..” ดูเหมือนเสี่ยวเม่ยหนิงจะพอเดาได้ว่าหลิงหยุนเขียนขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไร
“ก็ใช่น่ะสิ! ผมก็เขียนวิชาเก้าเข็มปลุกชีพนี้ให้กับเด็กสาวหน้าตาสะสวย แล้วก็ฉลาดและใจดีไงล่ะ..” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดเปรยๆ
“สาวน้อยที่ฉลาด สวย แล้วก็จิตใจดีงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นพี่ก็เขียนให้ฉันน่ะสิ!” เสี่ยวเม่ยหนิงพึมพำออกมา
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับเอื้อมแขนซ้ายไปโอบเอวหนิงน้อยไว้ แล้วตอบไปว่า “ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นคุณนะ!”
“คุณเอานี่ไปก่อน นี่เป็นเคล็ดวิชาหลิงซี รีบไปท่องจำเคล็ดวิชานี้ให้ได้เร็วที่สุด หลังจากฝึกวิชานี้แล้ว คุณจะต้องใช้มันควบคู่กับวิชาเก้าเข็มปลุกชีพ จึงจะประสบผลสำเร็จ”
“ว้าว.. พี่หลิงหยุนจะสอนวิชาเก้าเข็มปลุกชีพให้ฉันจริงๆด้วย ขอบคุณพี่หลิงหยุนมาก!”
เสี่ยวเม่ยหนิงกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับกอดคอหลิงหยุน และดึงแก้มซ้ายของเขาเข้ามาหอมฟอดใหญ่
หลิงหยุนยกมือขึ้นลูบลักยิ้มแก้มซ้ายของตนเอง แม้จะรู้สึกจั๊กจี้ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดไม่เลว
หลิงหยุนยิ้มมุมปากพร้อมกับพูดขึ้นว่า “แล้วเมื่อคืนหลับสนิทดีมั๊ย?”
เสี่ยวเม่ยหนิงพยักหน้าแก้มแดง “หลับสนิท แต่กว่าจะหลับก็ยาก.. แต่ถ้าพี่อยู่บ้านด้วยก็คงจะหลับง่ายกว่านี้!”
“ถ้างั้นคืนนี้ผมก็จะนอนที่นี่.. แบบนี้โอเคมั๊ย?”
“ต้องโอเคอยู่แล้ว!”
หลิงหยุนมองเวลา “เอาล่ะ.. วันนี้ห้ามโดดเรียนแล้วนะ ไปแปรงฟันล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่โรงเรียน!”
“พี่หลิงหยุน.. ฉันหิว!” เสี่ยวเม่ยหนิงเหลือบมองมือที่กำลังลูบท้องของตัวเองอย่างน่าสงสาร
หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจ “ได้.. ผมจะไปทำอาหารให้ทาน?”
ดูเหมือนชะตากรรมของหลิงหยุนคงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเป็นพ่อครัวไม่ว่าจะอยู่ที่ใหน!
เสี่ยวเม่ยหนิงขยิบตาพร้อมกับกระโดดหอมแก้มหลิงหยุนอีกครั้งก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป
“จำไว้ว่าวิชาพวกนี้จะให้คนอื่นล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด!” หลิงหยุนไม่ลืมที่จะกำชับ
“ฉันรู้น่า.. ไม่ได้โง่ขนาดนั้น!” เสียงเสี่ยวเม่ยหนิงดังมาจากนอกห้อง
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า ข้าหมายถึงว่าแม้แต่พี่สาวของเจ้าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ห้ามให้รู้ต่างหาก แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การคิดในใจ
-เชอะ.. วิชาอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นอยากจะเรียนเลย!- เสียงไม่พอใจของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาดังขึ้นข้างหูของหลิงหยุน เธอใช้กระแสจิตพูดกับเขา
หลิงหยุนแกล้งเงียบ และทำเหมือนไม่ได้ยินที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพูด เขาลุกขึ้นและเดินลงไปในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารให้กับหญิงสาวทั้งสามคน
หลังจากที่ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ได้ขอให้เขาทำอาหารให้กินนั้น ตอนนี้หลิงหยุนก็มีคุณสมบัติของการเป็นพ่อครัวที่สมบูรณ์ เพียงไม่ถึงสิบนาที บะหมี่ไข่ที่หอมกรุ่นก็พร้อมเสริฟ
และคนในบ้านหลังนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนกันเอง หลิงหยุนจึงไม่เสียดายที่ผสมโสมกับสมุนไพรเหอโชวูหลายพันปีลงไปด้วย อีกทั้งยังหยดน้ำลายมังกรลงไปอีกสองสามหยด บะหมี่ของเขาก็มีกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน
และตอนนี้ทั้งเสี่ยวเม่ยหนิง และเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่างก็พากันกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร
‘คิดไม่ถึงจริงๆว่าผู้ชายเจ้าชู้อย่างนายจะสามารถทำกับข้าวได้หอมหวลแบบนี้?!’ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้แต่คิดในใจขณะที่ยืนดูหลิงหยุนเงียบๆ
“อาหารเช้าแสนอร่อยสำหรับสาวสวยทั้งสามพร้อมเสริฟแล้ว กินให้อร่อยนะครับ!”
หลิงหยุนมองสามสาวที่นั่งพร้อมกันบนโต๊ะอาหาร และกำลังรอคอยอาหารเช้าอย่างใจจดใจจ่อ
“อาจจะแค่กลิ่นหอมแล้วก็หน้าตาน่ากินเท่านั้นล่ะ ส่วนรสชาติอาจจะกินไม่ได้เลยก็ได้?” เหมี่ยวเสี่ยวเหมากระซิบเสียงเบา
ไป๋เซียนเอ๋อยิ้ม และรีบลงมือรับประทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนแรก เสี่ยวเม่ยหนิงเองก็ลงเมือกินเช่นกัน
“อร่อยมากเลย.. นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้กินอาหารอร่อยแบบนี้ วันนี้ประกาศไว้ก่อนเลยนะว่าฉันจะไม่สนใจเรื่องน้ำหนัก..” เสี่ยวเม่ยหนิงพูดเศร้าๆหลังจากที่ได้ลิ้มรสอาหาร
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “หนิงน้อย.. อยากจะกินเท่าไหร่ก็กินไปได้เลย รับรองว่าต่อไปไม่ว่าคุณจะกินมากเท่าไหร่ ก็จะไม่มีทางอ้วนอย่างแน่นอน!”
หากต้องการผอม หลิงหยุนสามารถใช้เก้าเข็มปลุกชีพฝังให้เพียงไม่กี่ครั้ง และรับรองว่าได้ผลดีกว่ายาลดน้ำหนักที่มีผลข้างเคียงมากมายในยุคสมัยนี้อีกด้วย
แต่แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ได้หมายถึงเสี่ยวเม่ยหนิง เพราะหลังจากที่เธอฝึกกำลังภายใน ร่างกายของเธอก็ยากที่จะอ้วนท้วนได้อีก
“จริงๆนะ! ดีมากเลย!”
เสี่ยวเม่ยหนิงร้องออกมาอย่างดีใจ ยิ่งอยู่กับหลิงหยุนเธอก็ยิ่งเจอแต่เรื่องประหลาดใจมากมาย
หลิงหยุนมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมา “แล้ววันนี้คุณจะไปโรงเรียนด้วยมั๊ย?”
ความจริงแล้วที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมามาเรียนที่จิงฉูนั้น ก็เพื่อมาสืบหาผู้ที่ทำการรักษาอาการป่วยให้กับท่านหมอเสี่ยว แต่ตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือหลิงหยุน อีกทั้งเขายังรับปากว่าจะช่วยแก้ปัญหาคาใจระหว่างท่านหมอเสี่ยวกับเหมี่ยวเฟิงหวงให้ จึงนับได้ว่าภารกิจในเมืองจิงฉูของเธอนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว และไม่มีความจำเป็นต้องไปที่โรงเรียนอีก
แต่เพราะเหมี่ยวเสี่ยวเหมาสนิทสนมกับน้องสาวของเธอมาก เธอจึงต้องการตามเสี่ยวเม่ยหนิงไปโรงเรียนตลอดภาคฤดูร้อนนี้
“ก็ต้องไปอยู่แล้ว นายคิดว่าทุกคนจะขี้เกียจเหมือนนายหรือยังไง? ไม่ไปโรงเรียนสักวัน แต่อยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยางจิง! ฝันไปเถอะ!” เหมี่ยวเสี่ยวพูดพร้อมกับมองหลิงหยุนด้วยสายตาเยาะเย้ย
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยความโมโห “ถ้างั้นต่อไปคุณมีหน้าที่ทำอาหาร!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่ยอมแพ้ “ฉันไม่ทำ นายนั่นล่ะที่ต้องทำ.. ไม่งั้นก็ปล่อยให้อดตาย?!”
หลิงหยุนยิ่งโมโห “ถ้างั้นวันนี้คุณก็ไปโรงเรียนกันเอง!”
“ฉันไปเองก็ได้!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมายิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน
ไปเซียนเอ๋อเริ่มอึดอัด แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้โมโห หลิงหยุนก็สั่งให้เธอนั่งลงเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นใคร หากกล้าทำให้หลิงหยุนไม่พอใจ ไป๋เซียนเอ๋อจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด
“พี่ใหญ่คะ..”
คนหนึ่งก็เป็นชายที่รัก อีกคนก็เป็นพี่สาว เสี่ยวเม่ยหนิงทั้งสองคนสลับกันไปมา และรู้สึกว่าเหมี่ยวเหสี่ยวเหมาทำไม่ถูก
เด็กสาวตัวแสบอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เพราะปกติพี่สาวของเธอจะเป็นคนใจเย็น และพูดจาดีกับทุกคน แต่ทุกครั้งที่พูดคุยกับหลิงหยุน กิริยาของเธอก็จะเปลี่ยนเป็นอย่างที่เห็นทุกครั้ง?
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเหลือบมองหลิงหยุน จากนั้นจึงผลุดลุกขึ้นทันที และขับรถเฟอรารี่ของเสี่ยวเม่ยหนิงออกไป
หลิงหยุนถึงกับงง.. ได้แต่พึมพำออกไปว่า “นี่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาขับรถเป็นด้วยเหรอ?”
เสี่ยวเม่ยหนิงได้แต่ยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “เป็นสิ! แล้วก็เก่งมากด้วย”
“คิดไม่ถึงจริงๆ! งั้นเราก็ไปโรงเรียนกันได้แล้ว”