อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 346 เป็นเขาดังคาด
ยังดี……ขณะที่ฝ่ามือของเจ้าสำนักชิงอยู่ห่างจากกู้ชูหน่วนไปนิ้วหนึ่งก็เก็บไปแล้ว และไม่ได้จะฆ่านางจริงๆ

เขาคิดไม่ถึง ระหว่างความเป็นตายใกล้จะมาถึง กู้ชูหน่วนจะใช้ชีวิตปกป้องเขา

พริบตานั้น แววตาที่เวินเส้าหยีมองดูกู้ชูหน่วนก็ย้อมไม่ด้วยแววความสับสน

พลังฝ่ามือของเจ้าสำนักชิงสลายไป ฝืนเก็บความอัดอั้นไว้ในใจ

เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “เวินเส้าหยี เจ้าจำไว้นะ วันนี้เป็นเพราะอาหน่วนช่วยเจ้าด้วยชีวิต นางไม่ได้ติดหนี้อะไรเจ้าแล้ว เจอกันครั้งหน้า ข้าจะไม่ออมมือด้วยความเมตตาอีกเด็ดขาด”

เวินเส้าหยีกุมหน้าอกตัวเองแน่น ไม่มีแม้แต่แรงจะพูดจา

กู้ชูหน่วนปริใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ้มออกมาเป็นลักยิ้มเล็กๆสองอัน “ก็รู้ว่าเจ้าดีที่สุดแล้ว ขอบคุณ เจ้าวางใจ หากว่าในอนาคตเขากล้าทำเรื่องอะไรที่มีดีต่อสำนักอสุรา ข้าจะเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไป”

“ก็หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้ และจะไม่ลืมสิ่งที่พูดในวันนี้”

“ไม่ลืมไม่ลืม จะลืมได้อย่างไร”

“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สังหารเขา แต่ข้าก็จะไม่ช่วยเขา เขาจะเป็นจะตาย ทั้งหมดก็ต้องพึ่งตัวเอง”

กู้ชูหน่วนเข้าใจแล้ว

แม้ว่าเจ้าสำนักชิงจะไม่ได้ฆ่าเขา แต่ต้องการจะทิ้งเขาก็เป็นตายไปตามยถากรรมอยู่ที่นี่

ตรงนี้ห่างจากยอดหน้าผาสูงเกินไป จากสภาพในตอนนี้ของเวินเส้าหยี ขึ้นไปยอดหน้าผาไม่ได้โดยสิ้นเชิง

และอุณหภูมิที่นี่ก็สูง ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะอยู่ดีไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่มีปัญหาทนได้เป็นเวลานานเกินไป

ฆ่าเขากับไม่ฆ่าเขาเช่นนี้ มีอะไรต่างกัน?

สีหน้าของเจ้าสำนักชิงไม่ดี

สามารถทำได้ถึงจุดนี้ เกรงว่าก็เป็นขีดจำกัดที่สุดของเขาแล้ว หากว่าขอร้องเขาอีก เจ้าสำนักชิงคงไม่รับปากแน่ แต่ร่างกายนางบาดเจ็บสาหัส

ร่างกายของเจ้าสำนักชิงก็บาดเจ็บสาหัส พวกเขาทั้งสองคนจะขึ้นไปได้หรือไม่ ก็ยังไม่รู้

กู้ชูหน่วนกล่าว “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดต่อไปได้”

สายตาของเวินเส้าหยีค่อยๆเลือนราง สุดท้ายก็ทนไม่ได้แล้ว สิ้นไร้สติไปโดยสมบูรณ์

ก่อนที่จะหมดสติ เห็นเพียงแววตาที่กังวลใจคู่นั้นของกู้ชูหน่วน

เจ้าสำนักชิงดึงเชือกหวาย เชือกหวายทั้งหมดมีสามเส้น สามเส้นนั้นมัดไว้บนเอวของกู้ชูหน่วนทั้งหมด กล่าวว่า “เจ้าขึ้นไป ข้าแบกเจ้าขึ้นไป”

“ยอดหน้าผาสูงเกินไป เชือกหวายสามเส้นให้ข้าหมดแล้ว แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”

กู้ชูหน่วนพยายามออกแรงแก้เชือกหวายด้วยมือทั้งสองข้าง คิดจะเอาเชือกหวายคล้องให้เขาด้วย

เจ้าสำนักชิงรีบห้ามทันที เอาเพียงเส้นหนึ่งในนั้นมา “ข้าเส้นเดียวก็พอ อุณหภูมิที่นี่สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน พวกเรารีบออกไปไปกันเถอะ”

กู้ชูหน่วนยังอยากให้เขาผูกเชือกหวายอีกสองเส้น แต่พูดอย่างไรเจ้าสำนักชิงก็ไม่ยอม

ในใจของนางมีความสับสนเล็กน้อย

เอาเชือกหวายสามเส้นให้นาง เพราะกลัวนางเกิดเรื่อง

เชือกหวายอีกสองจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมมัดที่ตัวของตัวเอง เพราะกลัวว่าเชือกหวายจะไม่สามารถรับน้ำหนักของคนสองคนได้หรือ?

เมื่อมองดูเวินเส้าหยีที่หมดสติเป็นตายยากจะคาดเดา จิตใจของกู้ชูหน่วนก็หนักหน่วงขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

นางกลัวว่ากำลังภายในของเจ้าสำนักชิงจะถูกนางดูดไปหมดแล้ว ฝืนสะเทือนให้เจ้าสำนักชิงออกไป กลับทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บด้วย กู้ชูหน่วนรู้สึกว่าทั้งร่างของตัวเองไร้เรี่ยวแรง ไม่มีกำลังที่จะใช้เชือกหวายปีนขึ้นไปด้านบนได้สักนิด ทำได้เพียงซบบนหลังของเจ้าสำนักชิงอย่างว่านอนสอนง่าย

“ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมือนคนผู้หนึ่งมาก”

“อ๋อ…..เหมือนใคร”

“เหมือนพี่ใหญ่คนหนึ่ง”

เจ้าสำนักชิงสิ้นเปลืองแรงในการปีนมาก เหงื่อเม็ดใหญ่พร้อมเลือดไหลย้อยติ้งๆ กู้ชูหน่วนยื่นมือออกไป ช่วยเขาเช็ดเหงื่อบนใบหน้า

ในความเลือนราง นางจึงได้พบว่า บนร่างของเจ้าสำนักชิงเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน ในนั้นมีหลายรอยที่ยังเป็นรอยเล็บมังกรด้วย เลือดสดไหลริน เห็นแล้วน่ากลัว โดยเฉพาะที่ช่วงท้อง ไส้ก็แทบจะออกมาแล้ว

เมื่อมองดูด้านหลังอีกครั้ง ถึงเวลานี้กลิ่นไหม้จึงได้ค่อยๆกระจายออกมาช้าๆ ฉีกเสื้อผ้าออกดู เลือดเนื้อด้านหลังล้วนถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง

ถูกเผาไหม้อย่างสาหัสขนาดนั้น ทำไมตอนนี้เพิ่งจะกระจายกลิ่นออกมา หรือเมื่อครูเขาเก็บทนไว้มาโดยตลอด?

กู้ชูหน่วนสะดุ้งทันที

“เจ้าถูกมังกรไฟทำร้ายหรือ?”

ความเร็วของเจ้าสำนักชิงไม่เปลี่ยน ใช้ทั้งมือและเท้า ปีนไปด้านหน้าอย่างสิ้นเปลืองแรง กล่าวอย่างเหน็ดเหนื่อย “ไม่เป็นไร บาดแผลเล็กน้อย”

บาดแผลเล็กน้อย?

นี่เป็นบาดแผลเล็กน้อย?

“เจ้าวางข้าลงเถอะ ข้าสามารถขึ้นไปเองได้ บาดแผลของเจ้าสาหัสเกินไป พาข้าไปด้วย พวกเราสองคนก็ขึ้นไปไม่ได้แล้ว”

“เด็กโง่ ในเมื่อข้าบอกว่าสามารถพาเจ้าขึ้นไปได้ ก็จะต้องพาเจ้าขึ้นไปได้แน่ เจ้าอย่ากลัว หากว่าเหนื่อย ก็นอนสักตื่น รอตื่นแล้ว พวกเราค่อยขึ้นไป”

เจ้าสำนักกล่าวอย่างสบายๆ แต่กู้ชูหน่วนกลับรู้สึกว่าลมปราณหล่อเลี้ยงร่างกายของเขาไม่เพียงพอขึ้นเรื่อยๆแล้ว เห็นได้ชัดว่าถึงขีดสุดแล้ว

กู้ชูหน่วนเบ้าตาแดง นางเอื้อมมือไปปลดหน้ากากบนหน้าของเขา เผยใบหน้าอันสง่างามที่คุ้นเคยใบหนึ่งออกมา

เป็นอี้เฉินเฟย……

เป็นเขาจริงๆ…….

โฉมหน้าของอี้เฉินเฟยทั้งใต้หล้านี้ก็เป็นชายรูปงามอันดับต้นๆ ตาหูจมูกปากเค้าโครงเห็นได้ชัด อ่อนโยนและสง่างาม คิ้วโก่งงดงาม สวยงามดุจดวงจันทร์กลางฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่าจะมองจากไกลๆแวบเดียว ก็สามารถทำให้คนตกตะลึงได้

“แม่สาวน้อย เจ้าร้ายกาจเกินไปแล้ว ถอดหน้ากากของข้าเวลานี้ ไม่กลัวว่าข้าจะโยนเจ้าทิ้งหรือ?”

“พี่อี้เฉิน ทำไมท่านถึงดีกับข้าขนาดนี้”

“เจ้าเรียกข้าว่าพี่แล้ว พี่จะไม่ดูแลน้องสาวให้ดีได้อย่างไร เด็กดี ฟังคำพูดของพี่ชาย ปิดตาลง นอนหลับให้ดีๆ”

“กึก…….”

เถาวัลย์อันหนึ่งแตกหักในเวลาอันไม่สมควรแล้ว

เส้นที่แตกหักนั้นมัดอยู่บนตัวของกู้ชูหน่วน

อี้เฉินเฟยขมวดคิ้ว ไม่ว่าร่างกายจะเจ็บปวดเพียงใด ก็เพียงแค่รวมแรงให้เพียงพอแล้วปีนต่อไป

กำแพงหน้าผาเรียบลื่น และอุณหภูมิสูงเป็นที่สุด สองมือของเขาถูกเสียดสีจนเป็นตุ่มเลือดหมดแล้ว ยังจะถูกนาบจนมือแดงเป็นสีเลือดทั้งมืออีก แต่อี้เฉินเฟยก็ไม่สนใจใดๆ ในใจมีเพียงความคิดเดียว จะต้องส่งกู้ชูหน่วนออกไปอย่างปลอดภัยให้ได้

“กึก……..”

เถาวัลย์รับน้ำหนักของคนสองคนไม่ได้ เถาวัลย์บนตัวของกู้ชูหน่วนขาดไปอีกเส้นหนึ่ง

ครั้งนี้ ทั้งสองคนล้วนกังวลแล้ว

อี้เฉินเฟยไม่พูดพร่ำ ปลดเชือกหวายบนตัวของตัวเองออกโดยตรง มัดบนตัวของกู้ชูหน่วนไว้แน่น

“ท่านทำอะไร บนตัวของท่านไม่มีมาตรการความปลอดภัยใดๆ หากว่าเกิดเรื่อง เช่นนั้นแม้แต่ศพกระดูกของท่านก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว”

กู้ชูหน่วนเอาปลายเชือกหวายอีกข้างมา บังคับมัดไว้บนเอวของเจ้าสำนักชิงโดยไม่สนใจว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่

“อาหน่วนอย่าดื้อ เพียงแค่เจ้าปลอดภัย ข้าก็จะไม่เป็นอะไร เจ้าซบบนหลังข้าให้ดีอย่าเคลื่อนไหวมั่วซั่ว”

เจ้าสำนักชิงกวาดตามองทะเลโลหิตอันพลุ่งพล่านเบื้องล่างแวบหนึ่ง เขาไม่กล้าจินตนาการจริงๆ หากว่าเชือกป่านเส้นที่สามขาดด้วยแล้ว

เช่นนั้นกู้ชูหน่วนจะทำอย่างไร?

“จะรอดก็ต้องรอดด้วยกัน จะตายก็ต้องตายด้วยกัน”

กู้ชูหน่วนมัดอย่างดีด้วยความเผด็จการ ไม่ยอมให้เขาโต้แย้ง ตัวเองกัดฟัน พยายามรวบรวมพลัง ยืมแรงเชือกหวายปีนขึ้นไปด้านบนต่อไป

หน้าผาสูงชันเกินไป บวกกับเปลวไฟของทะเลโลหิตที่ผุดขึ้นมาบ่อยๆ สถานการณ์ของพวกเขาทั้งสองน่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

บนหน้าผาอันสูงชัน เสียงฟ่อวฟ่อวดังขึ้นอย่างกะทันหัน

กู้ชูหน่วนคิดว่าเป็นเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ บนใบหน้าเป็นความดีใจทันที

แต่พริบตานั้นที่นางเงยหน้าขึ้น ทั้งใบหน้าของนางก็เขียวแล้ว

ไม่ใช่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์

แต่เป็นงูเหลือมตัวใหญ่สีขาวสลับดำตัวหนึ่ง มีความยาวกว่าห้าสิบเมตรเต็มๆ และไม่รู้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับที่เท่าไหร่ แลบลิ้นอยู่ในเวลานี้ ไม่กลัวอุณหภูมิของหินหลอมเหลวโดยสิ้นเชิง จับจ้องพวกเขาอยู่ไกลๆ ทำเหมือนพวกเขาเป็นเหยื่อ พร้อมที่จะโจมตีทุกเวลา