“ฮ่าๆ นั่นคือนายน้อยเจ็ดของตระกูลโปว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่ามีนิสัยโหดเหี้ยม”
“ไม่ได้เห็นหน้าแม่นางชวงชวงมาสามติดกัน อารมณ์ของโปวย่งเฟิงคงจะไม่ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว และเจ้าหนูนั่นก็เป็นคนจุดฉนวนระเบิดขึ้นมา”
“ตระกูลโปวคือหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ของเมืองจักรพรรดิโดยมีตัวตนระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคอยคุ้มกันอยู่ แม้แต่ตระกูลจักรพรรดิก็ต้องยอมไว้หน้า… ถ้าเกิดตระกูลโปวฆ่าคนไปสักคนหนึ่งจะเป็นอะไรไป?”
“จบแล้ว เจ้าหนูนั่นจบสิ้นแล้ว”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรส และมีความสุขในความทุกข์ของหลิงฮัน พวกเขาอารมณ์เสียตั้งแต่เห็นหลิงฮันมีสิทธิในการเข้าพบแม่นางชวงชวงแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะลงมือโจมตีผู้อย่างโจ่งแจ้งเหมือนกับโปวย่งเฟิง
‘ฟุบ’ ใบดาบที่พุ่งเข้ามาปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือก
หลิงฮันส่ายหัว ก่อนหน้านี้เขาแค่คิดจะมอบบทเรียนเล็กๆน้อยๆให้ชายหนุ่มตรงหน้าเท่านั้น แต่ในเมืองชายคนหนุ่มผู้นี้มุ่งหวังที่จะเอาชีวิตเขา เขาก็จะไม่ปรานีอีกต่อไป
เพียงแค่การสะบัดนิ้วลวกๆของหลิงฮัน คลื่นลมอันรุนแรงก็ถูกปลดปล่อยออกไป ‘ฉัวะ’ ใบดาบถูกคลื่นลมตีกลับและแทงทะลุเข้าใส่หน้าผากของโปวย่งเฟิง
เมื่อหัวถูกแทงทะลุ แน่นอนว่าคนคนนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน
โปวย่งเฟิงจ้องมองอย่างว่างเปล่ามายังหลิงฮันราวกับทำใจเชื่อไม่ลงว่าชีวิตของมันจะจบลงแบบนี้ สายโลหิตสองสายไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของมันพร้อมกับร่างกายที่ล้มลงไปด้านหน้าจนฝุ่นที่พื้นฟุ้งกระจาย
ทันใดนั้นเสียงเอะอะรอบด้านก็เงียบสนิททันที หลงเหลือแต่เพียงเสียงสูดลมหายใจ
โปวย่งเฟิงไม่ใช่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองจักรพรรดิ แค่พลังบ่มเพาะระดับก่อเกิดธาตุขั้นเจ็ดก็ไม่นับว่าต่ำเช่นกัน หลิงฮันนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ดูมีอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น เขาจะแข็งแกร่งได้ขนาดไหนกัน?
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเขาสามารถสังหารโปวย่งเฟิงได้ด้วยหนึ่งนิ้ว!
โปวย่งเฟิงคือรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของตระกูลโปว แม้เขาจะมีนิสัยเสเพลแต่ตระกูลโปวก็ตั้งความหวังกับเขาเอาไว้สูงมากว่าสักวันจะกลายเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ
แต่ความหวังนั้นคงจะสูญเปล่าเสียแล้ว
ช่างใจเด็ดยิ่งนัก กล้าสังหารแม้แต่นายน้อยของตระกูลโปว เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก ความเกี้ยวกราดของตระกูลโปวอาจทำให้ทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิสั่นคลอนได้เลย
ภายในคฤหาสน์ด้านบนระเบียงหยุนชวงชวงและพี่น้องลิ่วจ้องมองหลิงฮันเดินจากไป แต่หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกนางก็ตกตะลึงอย่างมากพร้อมกับปากเล็กๆของพวกนางที่เปิดกว้าง… หมอนี่ช่างเหี้ยฒโหดยิ่งนัก เขาสังหารคนได้อย่างไม่แยแส
“หมอนี่สามารถสร้างปัญญาได้เก่งกว่าข้าอีก” ลิ่วลู่เอ๋อพึมพำ
หลิงฮันยิ้มและพูด “มีใครต้องการหยุดข้าอีกรึไม่?”
ทุกคนรีบส่ายหัวพร้อมกัน ภายหมู่รุ่นเยาว์นี้ไม่มีจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณแม้แต่คนเดียว ดังนั้นทุกคนจึงไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับหลิงฮัน
สังหารโปวย่งเฟิงด้วยหนึ่งนิ้ว ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าหลิงฮันคือจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ หากดูจากอายุแล้ว ทุกคนยังคิดด้วยซ้ำว่าพวกเขาประเมินหลิงฮันสูงเกินไป
“ไปกันเถอะ” หลิงฮันพูดกับฮูหนิว
“อืม!” ฮูหนิวตอบรับด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดูและเดินตามหลังหลิงฮัน
เมื่อหลิงฮันจากไปแล้ว ทุกคนก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าหลังของพวกเขาเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทุกคนรีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว นายน้อยของตระกูลโปวถูกสังหารแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบแพร่กระจายข่าวให้รู้กันทั่ว ไม่เช่นนั้นหากคนร้ายหลบหนีไปได้ ตระกูลโปวจะนำความโกรธมาลงที่พวกเขา
“ท่านพี่ ข้าเพิ่งจะรู้สึกตัว ข้าไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของหมอนั่นได้!” ลิ่วลู่เอ๋อพูดขึ้นมา
ลิ่วเฟิงเอ๋อพยักหน้าและพูด “ข้าบรรลุระดับห้วงจิตวิญญาณแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของนายน้อยฮันได้ หรือว่า…”
สองพี่น้องมองหน้าและพูดขึ้นมาพร้อมกัน “ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ!”
“เป็นไปไม่ได้ เมื่อสองปีก่อน นายน้อยฮันยังมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับรวมธาตุเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะบรรลุระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแล้ว?” หยุนชวงชวงพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“ก็จริง” พี่น้องลิ่วส่ายหัว เรื่องที่พวกนางคิดมันเกินจริงเกินไป
“จริงสิ พวกเราเองก็ต้องรีบไปแล้ว โปวย่งเฟิงถูกสังหารที่นี่และถ้าพวกมันสืบสวนมาถึงเรา พวกเราจบแน่” พี่น้องลิ่วรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
…
หลิงฮันและฮูหนิวกำลังเดินเตร็ดเตร่ เป้าหมายของพวกเขาอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองจักรพรรดิหนึ่งพันห้าร้อยเมตร เหมืองแห่งนั้นมีอายุยาวนานกว่าหนึ่งพันปีแล้ว ภายในเหมืองมีแร่ประหลาดอยู่ไม่น้อย แต่เพราะภัยร้ายที่เล่ากันมาจากอดีตโบราณเหมืองแห่งนั้นจึงถูกปิดผนึกเอาไว้และเพิ่งจะถูกเปิดออกอีกครั้งเมื่องครึ่งปีก่อน
เวลาผ่านไปไม่นานหลิงฮันก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังไล่ตามเขามา แต่เขาก็ไม่สนใจอะไรกับแค่แมลงตัวเล็กๆ ภายในแคว้นเพลิงแห่งนี้ไม่มีใครสามารถคุกคามเขาได้
หลังจากออกจากประตูเมือง เขากับฮูหนิวก็เดินตรงไปยังทิศตะวันออก ทันใดนั้นพวกเขาก็พบกับหมอกสีแดงฉานที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า แม้แต่สายตาของหลิงฮันก็ไม่สามารถมองผ่านมันไปได้
“หืม?” หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย
“ที่นั่นไม่ดี! ไม่ดีมากๆ!”ฮูหนิวส่ายหัวและแสดงท่าทีระมัดระวังตัว
แม้แต่ฮูหนิวก็ยังพูดเช่นนั้น!
หลิงฮันประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ฮูหนิวนั้นไม่หวาดกลัวใดๆภายใต้สวรรค์และปฐพี เมื่อก่อนหน้านี้นางยังสามารถเดินเล่นภายในหมอกปราณอสูรได้อย่างสบายใจ แต่ตอนนี้นางกลับแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา ดูเหมือนว่าเหมืองแห่งนี้จะมีอะไรมากกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่าเสียแล้ว
ดูท่าเขาจะประเมินน่าจือเหยียนต่ำไปหน่อย
แม้จะรู้ว่าผู้คนที่เข้าไปต้องตกตายทุกวัน แต่ก็ยังสั่งให้คนเหล่านั้นขุดเหมืองต่อไป หรือว่าภายในเหมืองจะมีสมบัติถูกฝังเอาไว้? แต่ว่าถ้าดูจากหมอกสีแดงที่แพร่กระจายออกมาแล้ว สิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้คงไม่ใช่สมบัติแต่เป็นสิ่งที่เลวร้าย
บางสิ่งบางอย่างที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย!
“ยิ่งต้องเข้าไปดูมากกว่าเดิมอีก” หลิงฮันพยักหน้า ครอบครัวและตระกูลของเขาอาศัยอยู่ที่แคว้นนี้ เขากลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับนิกายพันศพเกิดขึ้นที่นี่และเปลี่ยนดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย
“หนิวหนิวอยากจะเข้าไปในหอคอยทมิฬรึไม่?” หลิงฮันถาม
ฮูหนิวกัดนิ้วและครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะพูดออกมา “ตอนนี้ยังไม่จำเป็น!”
หรือก็คือเมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในเหมืองหรืออยู่ภายในนั้นเป็นเวลานาน แม้แต่ฮูหนิวก็อาจจะไม่สามารถต่อต้านได้ไหว
หลิงฮันระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม โชคดีที่คนที่เข้าไปในเหมืองจะต้องตกตายในวันถัดไปเมื่อพวกเขาออกมา ตราบใดที่ไม่ใช่การตายในทันที เขายังสามารถเข้าไปยังหอคอยทมิฬและใช้อำนาจขจัดทุกสิ่งที่เป็นภัยต่อเขาได้
เขาและฮูหนิวเดินตรงไปยังเหมือง ส่วนคนที่คอยสะกดรอยไล่ตามพวกเขามาก็ยิ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น
เมื่อหลิงฮันเกือบจะเดินถึงเหมือง คนสิบคนก็ปรากฏตัวออกมา
“หยุด!” ชายวัยกลางคนตะโกนและเดินเข้ามาอย่างองอาจ ใบหน้าของมันมืดมนและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
มันคือโปวเหวินหลิง บิดาของโปวย่งเฟิง มันมีพลังบ่มเพาะระดับห้วงจิตวิญญาณขั้นเจ็ด หลังจากได้รับแจ้งว่าบุตรของมันถูกสังหาร มันก็รีบออกตามล่าคนร้ายทันที
“สังหารบุตรข้าและยังคิดจะเดินหนี?” มันพูดพร้อมกับกัดฟัน
“แล้วเจ้าต้องการอะไร?” หลิงฮันพูดอย่างไม่แยแส
โปวเหวินหลิงพูดอย่างโหดเหี้ยม “ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต!”
หลิงฮันส่ายหัวและพูด “ถ้าเจ้าโจมตี คนที่ตายก็จะเป็นทั้งพ่อและลูก ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าหนีไป แต่ถ้าเจ้าลงมือโจมตี ข้าจะถือว่าเจ้าแส่หาความตายเอง”
หลิงฮันหันหน้าและเดินไปยังเหมืองต่อ
เมื่อถูกจ้องมองโดยหลิงฮัน จิตใจของโปวเหวินหลิงก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวและไม่กล้าลงมือ มันกำหมัดมองดูหลิงฮันเดินจากไปและเผลอแสยะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ใครๆต่างก็รู้ว่าหากเข้าไปในเหมืองนั่นจะต้องตกตายอย่างแน่นอน เอาเถอะ ถึงแม่มันจะไม่สามารถล้างแค้นด้วยมือตัวเอง แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือผลลัพธ์ต่างหาก
มันจ้องมองหลิงฮันเพื่อยินยันว่าหลิงฮันเข้าไปในเหมืองจริงๆ ไม่ได้แสร้งทำเป็นจะเดินเข้าไปเฉยๆและหาโอกาสหลบหนีไป