ยามนี้เสวียนจีรู้สึกผ่อนคลายลงได้อย่างแท้จริงแล้ว นางถอนหายใจยาว บาดแผลหลายแห่งตามตัวเริ่มปวดยิ่งขึ้น นางอดส่งเสียงสูดปากไม่ได้ “ซี้ด” อวี่ซือเฟิ่งรีบปล่อยนาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าเอาแต่ใจเกินไปแล้ว รีบให้ข้าดูบาดแผลเร็ว”
เสวียนจีเลิกแขนเสื้อขึ้นเผยเรียวแขนขาวราวหิมะ มีรอยสีแดงยาวสายหนึ่ง ยังมีรอยเลือดซึมอยู่ อวี่ซือเฟิ่งรีบห้ามเลือดพันแผลให้นาง เสวียนจีเห็นท่าทางเขาว่องไว สีหน้าแม้ว่าซีดเซียว แต่ไม่ได้หมองคล้ำเหมือนก่อนหน้า อดถามไม่ได้ว่า “เจ้า…ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม เมื่อครู่เจ้ากระอักเลือดออกมาตั้งมากมาย…ตอนนี้ยังเจ็บหน้าอกอีกไหม”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร คำสาปคู่รักเพียงแค่ปะทุฉับพลัน ตอนนี้…วันหน้าก็ไม่เป็นไรแล้ว” เขายิ้ม พอเห็นสีหน้าซีดขาวของเสวียนจีราวกับกำลังกัดฟันทนเจ็บ ก็อดกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ได้ว่า “ทำไม เจ็บบาดแผลมากหรือ ข้าเพิ่มสมุนไพรระงับปวดลงไปในตัวยา อีกครู่หนึ่งก็หายปวดแล้ว วันหน้าไม่อนุญาตให้เอาแต่ใจเช่นนี้อีก เข้าใจไหม”
เสวียนจีหน้ามู่พยักหน้า จริงๆ แล้วนางไม่ได้เจ็บที่แขน แต่เจ็บบาดแผลโดนลวกต้นขาต่างหาก เมื่อครู่ตอนคำสาปคู่รักเขากำเริบ ทำเอานางขาดสติ ประคองเขาขึ้นบนเตียง ต้นขากระแทกเข้ากับโต๊ะอย่างแรง เจ็บจนนางเกือบหลุดร้องออกมา เดิมบาดแผลก็ใกล้หายแล้ว เดาว่ากระแทกครั้งนี้ทำเอาแผลปริอีกแล้ว ไม่รู้แผลปริไปถึงไหนแล้ว
นางนั่งตัวตรงยุกยิก อยากให้อวี่ซือเฟิ่งรีบออกไป นางจะได้ตรวจดู แต่ก็ไม่อยากให้เขาออกไปอีก แม้เจ็บแผล แต่การได้อยู่กับเขานานอีกหน่อยก็ย่อมดีกว่า
อวี่ซือเฟิ่งเห็นหน้าผากนางหลั่งเหงื่อเย็น สองมือกำแน่นวางอยู่บนหน้าขาสั่นเทา อยู่ๆ พลันเข้าใจแล้วว่านางไม่ได้เจ็บแขน เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ็บแผลโดนลวกหรือ” เสวียนจีได้แต่พยักหน้า อึกอักกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…เจ้า เจ้าออกไปก่อนสิ ข้าปวดมาก ต้องดูก่อนว่าบาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง…”
เขารีบลุกขึ้นไปค้นหามุมตู้ตรงกำแพงอยู่เป็นนาน คว้าเอาขวดกระเบื้องสีดำใบเล็กออกมา เปิดออกดมดูละเอียด ก่อนจะหันมากล่าวว่า “ถอดกางเกงออก ข้าดูอาการหน่อย”
เสวียนจีรีบส่ายหน้า “ไม่ อย่า! เจ้าออกไปน้า!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่สนใจ มือหนึ่งกดแขนนางไว้ ไม่สนใจเสียงแผดร้องดังของนาง มือหนึ่งกระชากกางเกงนางถลกขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงผ้าพันแผลมีรอยเลือดซึมออกมา เห็นชัดว่าแผลฉีกสาหัส แผลโดนลวกนี้ยากประสานที่สุด โดยเฉพาะบนหน้าขาด้านในที่เป็นส่วนที่ผิวหนังบางเช่นนี้ ผิวหนังภายนอกไม่อาจเกาได้ ยิ่งไม่อาจโดนกระแทก ไม่เช่นนั้นที่รักษามาก็สูญสิ้น ยังจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้อีก
เขาเห็นเสวียนจีตัวสั่น คิดเพียงว่านางคงเจ็บมาก จึงกล่าวอ่อนโยนว่า “เอาละ ไม่ต้องกลัว ข้าเปลี่ยนยาให้เจ้า อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บละนะ จากนี้ต้องระวัง อย่าแตะโดนแผลอีก”
เขาเปลี่ยนผ้าพันแผลอย่างระมัดระวัง ใช้ไม้ที่เหลาขัดจนขึ้นเงาควักเอายาในขวดกระเบื้องใบเล็กนั่นออกมา ค่อยๆ บรรจงทาลงบนบาดแผลนาง จากนั้นก็พันแผลให้ใหม่อีกครั้ง
อยู่ๆ อวี่ซือเฟิ่งก็เริ่มวุ่นวายใจราวกับมีม้าวิ่งตะบึงวานรกระโดดไปมา การเคลื่อนไหวพันแผลให้นางค่อยๆ หยุดลง เงยหน้ามองนาง รู้สึกเพียงแค่ใบหน้านางแดงจนแทบจะไหม้ เต็มไปด้วยแววเขินอาย เขาอยากจะยกมือขึ้นประคองไว้ หากก็ได้แต่ฝืนตัวเองทำใจให้นิ่ง ตอนนี้เขาเป็นหมอ นางเป็นคนป่วย จะมีความคิดอยากเอาแต่ใจได้อย่างไร ล้วนเป็นพฤติกรรมดูหมิ่นอาชีพ
เสวียนจีใจเต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก ในใจแอบหวังให้เขาทำอะไรบ้าง สนิทสนมชิดใกล้สักหน่อย แต่เขากลับผละออกไปไกล วางท่าทางเป็นการเป็นงานเหมือนหมอ นางได้แต่ผิดหวังอยู่บ้าง แต่แม้นางใจกล้ามากเท่าไร ก็ไม่กล้ารุกก่อน ทั้งสองได้แต่เก็บงำความคิดตน บรรยากาศตกสู่ภาวะเงียบงัน
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดก็พันแผลเสร็จ อวี่ซือเฟิ่งรีบหดมือกลับ ลุกขึ้นวางท่าทางเป็นการเป็นงาน สั่งว่า “สองสามวันนี้ห้ามให้แผลโดนน้ำ ห้ามกินของเผ็ด เปลี่ยนยาทุกวัน เดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยารักษาภายใน ดื่มทุกวัน จนกระทั่งแผลหายดีจึงหยุดได้”
เขาพูดจาจริงจังเคร่งขรึมเช่นนี้ ตนเองยังรู้สึกขำ กัดริมฝีปากปลดม่านลงพลางกล่าวว่า “ใส่เสื้อผ้าให้ดี ข้าไปจัดยา”
เสวียนจีรีบสวมกางเกงให้เรียบร้อย ยาที่เขาใช้นั้นมหัศจรรย์มาก พอทาลงไป ความเจ็บก็บรรเทาลงไม่น้อย ตำแหน่งบาดแผลเริ่มชาเล็กน้อย นางจัดบนเตียงให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นลงจากเตียง หนาวจนใต้ฝ่าเท้าชาไปหมด อยู่ๆ นางก็ยืนไม่มั่น โงนเงนไปมาก่อนจะล้มลงทันที
อวี่ซือเฟิ่งรีบเข้าประคองนาง กล่าวว่า “ทำไม ยังเจ็บหรือ”
เสวียนจีหน้าแดง เงยหน้าจะอธิบาย “ไม่ใช่นะ…เหมือนว่า…เมื่อครู่ผิดท่า สองขายังชา…”
อวี่ซือเฟิ่งอดยกมือลูบใบหน้าแดงระเรื่อของนางไม่ได้ กำลังจะกล่าววาจาอ่อนหวานสักหน่อย พลันได้ยิน ตึง ดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง ทั้งสองตกใจรีบผลักประตูออกไป เห็นเพียงร่างหลันหลันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พอผลักประตูรั้วออกก็วิ่งหายตัวไปทันที ที่นอกหน้าต่างมีตะกร้ายาใบหนึ่ง ก็คือใบที่พวกเขาแบกขึ้นเขาไปในวันนี้ เพราะคำสาปคู่รักอวี่ซือเฟิ่งกำเริบ เขาสองคนลืมหลันหลันไปเสียสนิท คิดว่านางรออยู่เป็นนาน ไม่เห็นเขาสองคน จึงกลับมาหา เมื่อครู่นางต้องเห็นเขาสองคนใกล้ชิดกัน ดังนั้นจึงได้สะเทือนใจวิ่งหนีไป
เสวียนจีถอนหายใจ ดรุณีน้อยที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นดื้อรั้นเช่นนี้ คิดว่าคงต้องเสียใจสิ้นหวังอย่างที่สุด คนต้นเหตุก็คือชายหนุ่มข้างๆ นี่ นางเงยหน้ามองอวี่ซือเฟิ่ง เขามองกลับมาอย่างไม่รู้ว่าทำอะไรผิด ทั้งสองล้วนไร้วาจา นิ่งไปนานก่อนอวี่ซือเฟิ่งจะกล่าวว่า “เจ้าเข้าไปเถอะ พักผ่อนดีๆ อย่าวิ่งไปนั่นมานี่ ทำให้คนเขาเป็นห่วงเจ้า”
เสวียนจีพยักหน้าเชื่อฟัง หันหลังจะเดินเข้าห้องนอน แต่ก็หันกลับไปมองอย่างตัดใจจากเขาไม่ได้ กลับเห็นเขามองนางนิ่งอยู่หน้าประตู นางอดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ โบกมือให้เขา กล่าวว่า “ปีศาจบ้ากาม รีบไปทำงานสิ!”
อวี่ซือเฟิ่งได้ยินนางเรียกฉายาเก่าเขาออกมาก็อดขำไม่ได้ หัวเราะเสร็จก็รู้สึกอบอุ่นอย่างที่สุด รู้สึกเพียงแค่ในใจมีความสุขอย่างหาที่สุดไม่ได้ สิ่งที่อัดแน่นในใจมาหลายปีราวกับเปิดกว้างออก ไม่มีสิ่งใดให้ต้องอึดอัดอีก ทั้งสองสบตากันเป็นนาน ในใจไม่อาจตัดใจจากไปได้ อวี่ซือเฟิ่งตัดสินใจทิ้งเรื่องร้านยาเรื่องสมุนไพรไปก่อน หันหลังเดินกลับไปกุมมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “เล่าให้ข้าฟัง หนึ่งปีกว่ามานี้เจ้าไปไหนมาบ้าง”
เสวียนจีอยากเล่าจะแย่ ทั้งสองนั่งเคียงกันอยู่บนเก้าอี้ พูดจากระซิบกระซาบ เสวียนจีคิดถึงอะไรก็เล่า เล่าจนเละเทะไปหมด แต่ผู้ใดก็ไม่คิดสนใจ คนสำคัญที่สุดนั่งอยู่ข้างกาย เช่นนั้นผู้ใดจะยังสนใจรายละเอียดพวกนี้ นางเอนศีรษะพิงไหล่อวี่ซือเฟิ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไปมาไม่น้อยจริงๆ มีชื่อ ไม่มีชื่อ ล้วนไปหามาหมด วันหน้าจะไปไหนอีกก็ไม่ต้องวางแผนแล้ว ข้าก็คือแผนที่มีชีวิต”
ในใจอวี่ซือเฟิ่งซาบซึ้งยิ่ง ก้มหน้าจุมพิตใบหน้านางเบาๆ เสวียนจีหัวเราะคิก “แค่เมืองชิ่งหยาง ข้าก็ไปไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ปรากฎว่าแม้แต่พี่หลิ่วก็หาไม่พบ ชาปี้เจินที่มีชื่อเสียงของที่นั่นก็ดื่มไปเป็นกอง ตอนข้าจากมายังกลัวว่าเงินไม่พอใช้ มกรกินเก่งเช่นนั้น แต่โชคดีที่มีปีศาจอาละวาดทุกหนทุกแห่ง ข้าออกกำจัดปีศาจขจัดมารร้ายได้เงินมาไม่น้อยเลยนะ ล้วนมีแต่คนยกย่องว่าเป็นนักพรต! หากไม่ใช่ว่าคิดถึงเจ้าทุกวันจนทุกข์ใจมาก จริงๆ แล้วหนึ่งปีกว่ามานี้ก็สนุกมาก”
นางเห็นอวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด อดไม่ได้เงยหน้าประคองใบหน้าเขา น้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าจะสมน้ำหน้าข้าไหม ทำตัวเองแท้ๆ”
เขาส่ายหน้า ยื่นนิ้วมือออกไปเกี่ยวเอวบางของนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ข้าคิดไม่ถึง ดีใจเกินไป…”
เสวียนจีกอดคอเขาไว้ เผยรอยยิ้มบางกล่าวว่า “ข้าเล่าจบแล้ว ตาเจ้าบ้าง เล่ามาว่าทำไมจึงต้องไปจากตำหนักหลีเจ๋อ อยู่ซีกู่นี่มาปีกว่า มีเรื่องสนุกอะไร ประเด็นสำคัญก็คือ…คือ…อืม…” นางอายจนถามไม่ออก อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คิดทุกวัน คิดว่าเจ้ากำลังทำอะไร ร้องไห้หรือยิ้ม ได้พบคนที่ดีกว่าข้าไหม”
เสวียนจีแนบหน้าผากตนเข้ากับหน้าผากเขา หลับตาเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คนที่ดีที่สุด ข้าหาพบแล้ว…”
เขาหลับตาลง เงียบงันครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “ข้า…เรื่องของข้า วันหน้าค่อยหาเวลาเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดแล้วกัน ใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้ว หากไม่ทำอาหารอีก มกรคงกระทืบเท้าแน่”
เสวียนจีหัวเราะคิก หรี่ตากล่าวว่า “ให้เขากระทืบเท้าไปละกัน! ให้หิวตายไปเลย!”
วาจาแม้ว่ากล่าวเช่นนี้ แต่นางก็ยังลุกขึ้น จูงมือกันไปทำอาหารที่ห้องครัว
*******
จากนั้นหลายวัน หลันหลันก็ไม่ได้มาอีก นางไม่มา คนอื่นก็ยังดี มีแต่มกรปฏิกิริยาแรงสุด เพราะทุกครั้งที่นางมาจะนำของอร่อยมาด้วย ช่วงเวลาที่เบิกบานใจที่สุดในวันหนึ่งของมกรก็คือรอคอยการมาของนางพร้อมกับการหอบเอาของอร่อยผลักรั้วเข้ามา จากนั้นในค่ำคืนนั้นเขาก็จะได้กินอาหารเย็นมื้อใหญ่ นางไม่เอาของมาให้ คืนนี้ก็คงเป็นอาหารที่ธรรมดาอย่างที่สุด ผัดไข่ก็นับว่าดีมากแล้ว
ในที่สุด วันหนึ่งเขาก็ทนไม่ไหว ลากเสวียนจีมาถามท่าทางเป็นการเป็นงาน “เจ้าไม่คิดไปไหนแล้วหรือ จะอยู่ที่นี่?”
เสวียนจีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง คิดไปคิดมา กล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ อย่างไรก็ไม่ไปชั่วคราว ทำไม เจ้าไม่ชอบที่นี่?”
สีหน้ามกรดำราวถ่านหิน ตะโกนขึ้นว่า “แน่นอนว่าไม่ชอบ! ของอร่อยก็ไม่มี อวี่ซือเฟิ่งก็ขี้เหนียวมาก ไม่มีสุราไม่มีเนื้อ วันๆ มีแต่น้ำชาขมๆ ให้ข้า หรือคิดทำให้ข้าหิวตาย?!”
เสวียนจีคิดไม่ถึงมกรจะบ่นเช่นนี้ คิดไปคิดมาก็ใช่ มกร หนึ่งชอบต่อสู้ สอง ชอบอาหารอร่อย อาหารอร่อยที่สุดก็คือสุราและเนื้อ ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกล แม้มีเนื้อแต่ก็เป็นเนื้อป่าที่ยากจะได้กินสักมื้อ สำหรับเขาแล้วก็ย่อมเป็นเรื่องทุกข์ใจมาก ดังนั้นนางจึงคว้าถุงเงินตนเองออกมาส่งให้เขาอย่างใจกว้าง “เอ้า เจ้าชอบกินอะไร ไปซื้อเองในหมู่บ้านแล้วกัน ระวังอย่าใช้เงินหมด”
มกรตาลุกวาวรีบรับเงินมา อยู่ๆ นึกอะไรได้ก็รู้สึกเสียหน้า “ไม่ได้ เจ้าและข้ามีพันธะสัญญา ไม่อาจไปไกลจากเจ้าได้ ข้าไม่ไปหมู่บ้านคนเดียว นอกจากเจ้าจะไปกับข้า”
เสวียนจีถอนใจกล่าวว่า “ที่นี่จะไปมีอันตรายอะไร เจ้าสนใจพันธะสัญญาอะไร บาดแผลข้ายังไม่หายดี ไม่อาจเดินทางไกล เจ้าไปเองก็แล้วกัน”
มกรกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้าพูดมาคำเดียว อนุญาตให้ข้าไปได้ ในสามวันต้องกลับมา เช่นนี้ข้าจึงจะออกไปซื้ออะไรข้างนอกกินเองได้”
เสวียนจีได้แต่กล่าวตาม กล่าวจบถามเขา “หมายความว่าอย่างไร”
มกรสองตาลุกวาวหย่อนถุงเงินลงอกเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “หมายความว่า วันหน้าข้าจะห่างจากเจ้าไปได้สามวันอย่างไร! สบายละ ข้าว่าเจ้ากับอวี่ซือเฟิ่งก็ไม่ง่าย สะกดกลั้นใจลำบากจริงๆ ข้า ข้าใจดีจากไปให้สองสามวัน ให้พวกเจ้ามีเวลา! ไปละ!”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรน่ะ!” เสวียนจีทั้งอับอายทั้งโมโห กำลังจะไล่ตามไปทุบเขาสักสองกำปั้น มกรกลับบินหนีไปก่อนแล้ว พริบตาก็หายไปไร้เงา
แน่นอน หากเขารู้ว่าคืนนั้นหลันหลันสร้างกำลังใจให้ตนเองจนกล้าถือตะกร้าของกินมาสองตะกร้าใหญ่อีกครั้ง ไม่รู้จะนึกเสียใจหรือไม่ที่ไปเร็วไป กล่าวตามจริง เสวียนจีเองก็รู้สึกเลื่อมใสหลันหลันจนแทบจะหมอบให้นาง เผชิญกำแพงทองแดงเย็นชาของอวี่ซือเฟิ่งแล้วยังมุ่งมั่นพยายามปักหัวลงไปได้ นั่นมันพลังพิสดารอันใดกัน!
ดังนั้นตอนหลันหลันยกตะกร้าสองใบมายืนตะโกนเรียกอยู่หน้ารั้ว เสวียนจีก็มองนางด้วยสายตา ส่องประกายเบิกบาน น่าเสียดายที่แม่นางตรงหน้าไม่เบิกบาน นางกัดริมฝีปากมองเสวียนจีไม่พอใจ กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าขอคุยกับคุณชายอี้ส่วนตัวสักคำสองคำได้ไหม”
เสวียนจีคิดไปคิดมา ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ได้ แล้วไปเถอะนะ หลันหลัน หากเจ้าอยากศึกษาการแพทย์จริง พวกเรายินดีต้อนรับเจ้ามาได้ทุกวัน แต่หากคิดเป็นอื่นกับเขา ข้าคิดว่าเจ้าอย่ามาอีกดีกว่า”
หลันหลันเงียบอยู่เป็นนาน มองนางอย่างไม่พอใจมาก กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นเพราะเจ้าไม่ดี พอเจ้ามา แม่นางทั้งหมู่บ้านล้วนเสียใจกันอย่างมาก! เหตุใดเจ้าต้องมาที่นี่?! ทำความหวังพวกเราพังทลาย!”
เสวียนจีเป็นใบ้ไปทันที นิ่งไปเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เจ้ารู้ไหม เพื่อตามหาคนผู้หนึ่ง ข้าตามหามาเกือบสองปี ข้ารู้จักกับเขาแต่เด็ก แต่ตอนนั้นข้าไม่รู้ความ ทำเขาโมโหจากไป ต่อมาข้านึกเสียใจภายหลัง แต่โลกนี้ไม่มียานึกเสียใจภายหลังขาย ข้าจึงได้ออกตามหาเขา ในที่สุดก็หาเจอที่นี่ ข้าโชคดีมาก เพราะหลายคนชั่วชีวิตก็ไม่อาจตามหาความเสียใจในอดีตกลับคืนมาได้ เจ้าว่า พอข้าตามหากลับมาได้ จะยอมปล่อยมือไปอีกไหม”
หลันหลันนิ่งอึ้งเป็นนาน อยู่ๆ ก็กระทืบเท้า กล่าวไม่พอใจว่า “ข้าเกลียดเจ้าแล้ว!” กล่าวจบก็สะบัดหน้าร้องไห้วิ่งหนีไป แต่นางนับว่าเป็นคนดี ของกินสองตะกร้าไม่ได้เอาคืน เสวียนจียกเข้าไปเปิดดู มีเนื้อรมควัน มีไข่ไก่ ยังมีสุราดอกกุ้ยสองไห ล้วนเป็นของดี แต่เดาว่าหลันหลันคงไม่มาอีกแล้ว ของดีพวกนี้วันหน้าคงไม่มีอีกแล้ว
นางถือตะกร้าเดินโขยกเขยกเข้าไปในครัว วางลงบนพื้นยิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง! เย็นนี้ข้าจะกินผัดไข่!”