ชีวิตในหมู่บ้านบนเขาเล็กๆ ทั้งเงียบสงบและเชื่องช้า คลื่นโลกภายนอกไม่อาจส่งผลกระทบต่อที่นี่ เรื่องใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นเรื่องอยากให้มีมารปีศาจออกอาละวาด ไม่เช่นนั้นรายได้ปีนี้คงไม่เหมือนปีก่อน
หลังเที่ยงเสวียนจีก็เข้าไปนอนงีบอยู่ในห้อง ตื่นมาก็เย็นแล้ว เหงื่อซึมไปทั้งตัว อากาศเริ่มร้อนขึ้น เพิ่งเข้าสู่เดือนหกเท่านั้น ราวกับถึงช่วงเวลาร้อนที่สุดของหน้าร้อนแล้ว แผลที่โดนลวกนั้นเริ่มคันยิบ เหงื่อหยดโดนเข้ายังแอบแสบ รสชาติความเจ็บคันนี้ยากจะทานทนอย่างที่สุด แต่หลังจากได้บทเรียนมา นางก็ไม่กล้าเกาอีก ได้แต่แอบกดผ่านเสื้อผ้าเบาๆ ค่อยๆ บรรเทาลงจนพอทนได้
นอกหน้าต่างเหมือนมีคนกำลังคุยกัน เสวียนจีคิดว่าหลันหลันมาอีกแล้ว ไม่สนใจจะคลุมเสื้อตัวนอก แง้มหน้าต่างออกเล็กน้อย แอบมองลอดออกไปดูด้านนอก พฤติกรรมนี้เหมือนเด็กมาก ยังมีท่าทีเหมือนหญิงหวาดระแวง นางอยากรู้ว่าหากนางไม่อยู่ข้างกาย อวี่ซือเฟิ่งจะคุยกับหญิงอื่นอย่างไร
ผู้ใดจะรู้ว่าด้านนอกมีเพียงคนสองคนกำลังดื่มไปคุยกันไป ถึงกับเป็นอวี่ซือเฟิ่งกับมกรที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสามวัน ลานบ้านเล็กๆ มีเก้าอี้สองตัวและโต๊ะตัวหนึ่งที่ทำจากไม้พังๆ ดูแล้วเหมือนจะล้มครืนลงได้ตลอดเวลา แต่แม้ว่าบรรยากาศรอบๆ จะซอมซ่อ หากไม่ได้ทำให้อารมณ์ร่ำสุราของเขาสองคนลดลงแม้แต่น้อย บนโต๊ะมีสุราสองไห เป็นสุราดอกกุ้ยที่หลันหลันนำมาวันนั้น อวี่ซือเฟิ่งถึงกับยังไปซื้อกับแกล้มในหมู่บ้านมาเติมอีกหน่อยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน มีพวกเนื้อวัวพะโล้ ไก่นึ่งขิง อะไรพวกนี้
เสวียนจีกำลังคิดผลักหน้าต่างโดดออกไปร่วมดื่มสุรากินอาหารกับพวกเขา พลันได้ยินอวี่ซือเฟิ่งกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “เรื่องราวถึงขั้นหนักหนาเช่นนี้แล้ว?” นางอดตะลึงงันไม่ได้
ปากมกรจิบสุราไม่หยุด จ้องมองไปยังแสงสายัณห์ราวเปลวเพลิงบนขอบฟ้า เส้นผมสีเงินยวงเขาถูกอาบด้วยแสงสีแดงสด สีหน้าเหมือนว่ากำลังตื่นเต้น ที่น่าแปลกที่สุดก็คือเสี่ยวอิ๋นฮวาไปพันอยู่บนตัวเขา เอาแต่แลบลิ้นเลีย เขาถึงกับไม่กระชากมันออก แต่ปล่อยให้มันเลื้อยพันไปมา มือหนึ่งยังลูบหัวมัน ความสัมพันธ์ดีมาก
เป็นนาน อยู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นยกจอกสุราเทลงไปพรวดเดียว ก่อนวางจอกลงบนโต๊ะ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อืม พวกตาแก่โมโหแล้ว เกรงว่าเป็นจริง” กล่าวจบ อยู่ๆ เขาก็เหลือบเห็นเสวียนจีที่แอบฟังอยู่ตรงร่องหน้าต่าง จึงเสียงดังกล่าวว่า “แอบฟังคนอื่นไม่มีสุราดื่ม ไม่มีเนื้อกินนะเออ! ให้เจ้าแอบฟังไปเลย!”
มีคนแฉว่านางแอบฟัง ก็ทำเอารู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง รีบผลักหน้าต่างโดดออกไป ยิ้มกล่าวว่า “เอาน่า ไม่แอบฟังก็ได้ พวกเจ้าดื่มสุรา ถึงกับไม่เรียกข้า” นางรีบออกมา ไม่สวมเสื้อตัวนอก เพียงแต่คลุมด้วยเสื้อสีขาวปิดเข่าไว้ตัวหนึ่ง ดีที่ท้องฟ้ายามเย็น ไม่เช่นนั้นให้คนอื่นได้เห็นนางแต่งตัวไม่เรียบร้อยเช่นนี้ เกรงว่าคงแอบไปนินทากันไม่รู้อย่างไรแล้ว เด็กหญิงอายุน้อยๆ เผยแขนเผยเท้าล้วนไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ อากาศร้อนก็เปิดเผยไม่ได้
ดังคาด อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้ว่ากล่าวนาง นิ้วมือเคาะโต๊ะ ยิ้มกล่าวว่า “มานี่ แต่ไม่มีเก้าอี้แล้ว ไปยกเก้าอี้นอนมานั่ง”
เสวียนจีไปยกเก้าอี้นอนจากในห้องออกมา ล้มลงนอนแผ่ทันที มกรรินสุราให้นางไว้พร้อมแล้ว นางเงยหน้าดื่มไปอึกหนึ่ง สุราดอกกุ้ยเข้าปากก็หอมหวาน ไม่ได้มีรสแสบร้อนแม้แต่น้อย นางสบายจนบิดขี้เกียจ หนุนแขนเลียนแบบท่าทางพวกเขามองไปยังแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ขอบฟ้า ถามว่า “มกร สามวันนี้เจ้าไปไหนมา กินของดีอะไร”
มกร “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง ท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง “ไปที่นี่ที่นั่น กินนี่กินนั่น”
“นี่มันอะไรกัน” เสวียนจีหัวเราะแปลกใจ แต่นางก็ไม่ได้รุกถามต่อ แสงสายัณห์ขอบฟ้าสาดส่องจนตัวนางเป็นชั้นสีแดงบางๆ รอบกายอยู่ๆ มีลมเย็นพัดมา ต้นเฟิ่งหวงหลังบ้านต้องลมส่งเสียงซู่ดัง ดอกเฟิ่งหวงสีแดงสดปลิวลอยหล่นมาตามสายลมราวกับละอองไฟ
นางทอดถอนใจเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “งามจริง ดูสิ ราวกับเพลิงจากฟากฟ้า”
มกรอดหรี่ตาเงยหน้ามองไม่ได้ ต้นเฟิ่งหวงหลังบ้านสีแดงสดราวกับเปลวเพลิง ราวกับกำลังแผดเผาลุกไหม้ แดงจนเหมือนมีสุนทรีย์แห่งความเศร้ากำสรด ราวกับสีแดงเลือดที่เข้มที่สุด ราวกับเปลวเพลิงที่ร้อนแรงที่สุด ปูพรมยาวไปไกลจนสุดขอบฟ้าไกลที่สุด เขา “อืม” ขึ้นอีกเสียงหนึ่ง ยกจอกสุราขึ้นจิบ อยู่ๆ กล่าวว่า “ถอนพันธะสัญญาเถอะ ท่านแม่ทัพ”
เสวียนจีอึ้งไปเล็กน้อย หันขวับกลับไปมองเขา ราวกับฟังไม่ชัด ไม่เข้าใจ
“เจ้าพูดอะไร” นางคิดว่าตัวเองฟังผิด
“ข้า บอก ว่า” เขาพูดออกมาทีละคำช้าๆ ชัดๆ “ถอนพันธะสัญญาข้า ข้าไม่อยากเป็นสัตว์ภูตเจ้าแล้ว”
เสวียนจีอึ้งอยู่เป็นนาน อยู่ๆ ก็โดดเด้งขึ้นจากเก้าอี้ทั้งที่อยู่ในท่าเอนนอนอยู่ อังหน้าผากเขา กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ไม่ได้เป็นไข้นี่ ทำไมอยู่ๆ เริ่มพูดจาเหลวไหล”
มกรกำข้อมือนางแน่น กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าแกล้งโง่ รีบถอนพันธะสัญญาข้า”
เสวียนจีจึงได้สติ ในใจราวกับมีอะไรร่วงหล่นอย่างแรง หลุดเสียงดังออกมาว่า “เหตุใด ข้า ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจตรงไหน หรือว่า…ละแวกนี้ไม่มีของอร่อย ไม่มีคนต่อยตีเป็นเพื่อนเจ้า”
หน้าผากมกรเกร็งเส้นปูดอย่างเห็นได้ชัด กัดฟันกล่าวว่า “ในสายตาเจ้า ข้าเป็นเจ้าสัตว์เลี้ยงชอบต่อยตี อารมณ์ร้าย ละโมบกิน?!”
พอได้แหละนะ…แต่นางไม่กล้ากล่าวออกไป นิ่งเป็นนาน นางจึงได้กล่าวอ่อนโยนว่า “มกร แท้จริงเกิดเรื่องอะไรทำให้เจ้าไม่พอใจกัน แม้ว่าไม่พอใจ เจ้าก็พูดออกมาได้นี่ อย่า…อย่าไม่มีอะไรก็จะถอนพันธะสัญญา เช่นนี้ทำให้คนเขาเสียใจเอาง่ายๆ นะ”
เขา “เชอะ” ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เสียใจ? เจ้ามันคนไร้ใจ มีอะไรต้องเสียใจ”
วาจานี้กล่าวหนักมาก เสวียนจีหน้าบึ้ง กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ พูดออกมาตรงๆ เลย!”
มกรลุกขึ้นยืนหันหน้ามากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เช่นนั้นข้าบอกเจ้า ข้าไม่อยากอยู่ที่รกร้างเช่นนี้เป็นเพื่อนเจ้าอีกต่อไป ใช่ เจ้าคือแม่ทัพเทพสงคราม เป็นสัตว์ภูตเจ้าย่อมเป็นเกียรติของข้า แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว แม้แต่คนเต็มสมบูรณ์ เจ้าก็ยังเป็นไม่ได้ ไม่รู้นับว่าเป็นคนอะไร! สัตว์เทพมกรผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้า จะมาเป็นสัตว์ภูตให้คนประหลาดเช่นเจ้าได้อย่างไร รบกวนเจ้ารีบถอนพันธะสัญญา ให้ข้าจากไปจากความอับอายอดสูนี้ จะได้ถูกผู้คนหัวเราะเยาะน้อยลงหน่อย!”
เสวียนจีหน้าซีด เสียงสั่นกล่าวว่า “อะไร…ไม่ใช่คนเต็มสมบูรณ์! เจ้าอยากกล่าวอันใดกันแน่?! เหตุใดอยู่ๆ เปลี่ยนไปเช่นนี้” นางไม่เข้าใจ อยู่ๆ เขาก็กล่าววาจาทำร้ายจิตใจ มกรไม่ควรเป็นเช่นนี้ บางทีปกติปากเขาพูดพร่ำบ่นไม่หยุดไปบ้าง เหมือนเด็กน้อยอารมณ์เสีย ยามโมโหจงใจพูดแรงๆ ใส่นาง แต่ไม่เคยพูดวาจาแล้งน้ำใจโหดร้ายเช่นนี้
หนึ่งปีกว่ามานี้ เขาขึ้นเหนือล่องใต้ไปกับนาง เป็นเพื่อนนางในทุกวันคืน ในใจเสวียนจี เขาเหมือนกับครอบครัวไปแล้ว ความผูกพันลึกซึ้ง แต่ไรมาไม่เคยกล่าวเรื่องจะแยกจากกัน
มกรกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ความต้องการข้าก็ได้บอกเจ้าแล้ว รีบถอนพันธะสัญญา! ข้าไม่อยากเป็นสัตว์ภูตเจ้า ไม่พอใจจะเป็น เจ้ายังคิดรั้งข้าไว้ เหตุผลอะไรกัน”
เสวียนจีพลันเข้าไปดึงเสื้อเขาไว้ กระชากให้เขาหันหน้ากลับมา ถลึงตาใส่เขา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าว่าอีกทีสิ!”
เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย หันกลับมามองอย่างเย็นชา ค่อยๆ กล่าวว่า “ข้าไม่พอใจเป็นสัตว์ภูตของเจ้า ขอเจ้ารีบถอนพันธะสัญญา!”
เสวียนจีสูดหายใจเข้า รู้สึกเพียงแค่ลำคอเหมือนมีอะไรจุกเอาไว้ เจ็บปวดจนน้ำตาจะไหลออกมา นางน้ำเสียงสั่นเครือกล่าวว่า “เจ้าอย่าลืม เหตุใดพวกเราจึงได้ผูกพันธะสัญญา!”
“เป็นข้าแพ้ให้เจ้าอย่างไร ข้าจำได้ดี” เขาผลักมือนางออก จัดคอเสื้อให้ดีก่อนจะกล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “แต่ใต้หล้าไม่มีผู้ใดบังคับคนอื่นมาเป็นสัตว์ภูตตนเอง หากเจ้าไม่ยอม ก็เอาชนะข้าให้ได้อีกรอบ ใช้อัคคีสวรรค์เก้าชั้นเผาข้าเลยก็ได้ บอกเจ้าคำหนึ่ง ข้าไม่อยากก็คือไม่อยาก! มารดาเจ้าสิ น่ารำคาญไหมนี่?! ถอนพันธะสัญญาเร็ว!”
“ข้าไม่รู้ถอนอย่างไร!” เสวียนจีเองก็โมโหแล้ว ยกเท้าถีบขาเข้าอย่างแรง “เจ้าไสหัวไปตอนนี้เลย! ไป๊! ข้าเองก็ไม่ได้อยากได้เจ้าเป็นสัตว์ภูต!”
มกรมองนางเงียบๆ ก้มหน้าปัดฝุ่นตามกางเกง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ดี ข้าจะรีบไสหัวไป” เขากระดกไหสุราดอกกุ้ยขึ้น เงยหน้าดื่มจนหมด เขวี้ยงไหสุราลงพื้น น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “วันหน้าทางใครทางมัน! ฉู่เสวียนจี หากเจ้านึกเสียใจ ข้าจะไม่แลเจ้าแม้แต่ปลายเท้า!”
เขากระชากเสี่ยวอิ๋นฮวาโยนลงพื้น หันหลังจากไป เหินขึ้นที่หน้าประตูทันที พริบตาก็หายไปกลางท้องฟ้าเวิ้งว้าง มองไม่เห็นแม้เงาอีก
เสวียนจีโมโหจนตัวสั่น ยกเท้าถีบเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ เสียงดังโครม เก้าอี้ถูกนางเตะจนพังพาบลงกับพื้น “ไปเลยไป! เจ้าจะกลับมาอีก ข้าก็ไม่เอาเจ้า!” นางหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้นอน ยกไหสุราดอกกุ้ยกรอกใส่ปากอย่างเสียอารมณ์ ดื่มเอาดื่มเอา
ในใจราวกับมีไฟแผดเผา นางไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย เริ่มแรกทุกอย่างดีมาก เหตุใดต่อมาจึงได้กลายเป็นเช่นนี้ ไม่สนใจเขาแล้ว! จะไปก็ไป! ผู้ใดจากไปหรือว่าจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้กัน?
นางดื่มสุราดอกกุ้ยอีกอึกใหญ่ กวาดตามองไปยังสิ่งต่างๆ เบื้องหน้า แสงยามเย็นสาดส่องขอบฟ้าที่มืดมิด เมฆหมอกเริ่มปกคลุม รอบด้านความมืดโรยตัว เมฆดำนั่นเหมือนมีแสงสีแดงหลงเหลืออยู่ เหมือนปีกเพลิงมกรลุกโชน เขาอยากไปก็ไป มีอะไรนักหนา ต้นเฟิ่งหวงหลังบ้านสีแดงเพลิงราวเผาไหม้ ทั่วภูเขาล้วนเผาไหม้ ราวกับทั่วขุนเขาอยู่ๆ เผาไหม้อย่างเอาแต่ใจ
หยาดน้ำตาพลันไหลร่วงเป็นทางลงตามใบหน้านาง ตกลงบนหลังมือ ตามมาอีกหลายหยด นางยกมือปาดทิ้งอย่างฮึดฮัด พลันมีคนแตะบ่านาง นางหันกลับไปมอง สายตาอวี่ซือเฟิ่งเปล่งประกายจ้องมองนาง เสวียนจีทนไม่ไหวอีกต่อไป แผดเสียงร้องไห้เจ็บปวดดังขึ้น กระชากชายเสื้อเขาไว้ พึมพำกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…เจ้าว่า ทำไมเขาทำเช่นนี้”
อวี่ซือเฟิ่งย่อตัวลงนั่งข้างกายนาง ยกมือปาดน้ำตาให้นาง กล่าวอ่อนโยนว่า “เขาน่าจะมีบางเรื่องคิดไม่ตก อีกไม่นานก็กลับมาแล้ว”
เสวียนจีสะอื้นกล่าวว่า “เขาน่ารังเกียจจริง…น่ารังเกียจที่สุดเลย…” เมื่อครู่นางน้อยใจไม่ยอมแพ้จึงดื่มเร็วไป ยามนี้อารมณ์จึงพลุ่งพล่านแทบจะเมาในทันที ข้อมือเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย ไหสุราเอียงจนสุราดอกกุ้ยอีกครึ่งไหราดรดตัวนางหมด อวี่ซือเฟิ่งรีบดึงมือนาง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “โดนแผลทำอย่างไร”
เสวียนจีเอียงร่างอ่อนยวบเข้าพิงกายเขา ปากพึมพำพูดอะไรออกมาก็ล้วนด่ามกร อวี่ซือเฟิ่งทั้งโมโหทั้งขำ เลิกชุดขาวนางขึ้นอย่างระมัดระวังดูว่าสุราเปียกรดผ้าพันแผลหน้าขานางหรือไม่ เขาได้แต่แก้ออกดูอย่างระวัง เห็นเพียงบาดแผลดีขึ้นมาก เพียงแต่ผิวหนังที่เกิดขึ้นใหม่อ่อนนุ่มอย่างมาก ตัดกับสีเดิมอยู่ไม่น้อย เขาถอนหายใจ ค่อยๆ ใช้ผ้าแห้งเช็ดสุราออก เงยหน้าเห็นนางเมาจนหน้าแดงระเรื่อ จึงกล่าวอ่อนโยนว่า “เสวียนจี นอนที่นี่จะเป็นหวัดนะ เข้าไปข้างในไหม”
นางไม่รู้พึมพำอะไร กะพริบตาปริบ ก่อนน้ำตาจะไหลร่วงเป็นสาย อวี่ซือเฟิ่งอุ้มนางขึ้น ก้มหน้าเรียกนางน้ำเสียงแผ่วเบา “เสวียนจี เสวียนจี?”
อยู่ๆ นางก็ลืมตาผึงจ้องมองเขา พลันยกนิ้วชี้ไปด้านหลังเขา งึมงำ “ไฟ…ไฟกำลังเผา…” เขาหันกลับไป มองเห็นดอกเฟิ่งหวงด้านหลังห้องบานสะพรั่งราวกับเปลวไฟ เขาหันหลังจะเดินกลับเข้าบ้าน ไม่ทันระวังถูกนางเกี่ยวคอเขาไว้ แนบใบหน้าลงกับแก้มเขา ออดอ้อนอ่อนหวานว่า “เจ้าจะจากไป?”
อวี่ซือเฟิ่งประคองท้ายทอยนาง กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ ข้าไม่จากไป ข้าส่งเจ้าเข้าไป”
นาง “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง อยู่ๆ ก็ดิ้นรนค้นหาตามตัว ร้อนใจกล่าวว่า “กระบี่เปิงอวี้ล่ะ กระบี่เปิงอวี้ไปไหนแล้ว รีบเอามาให้ข้า! หากเจ้ากล้าไป ข้าจะฟันเจ้าให้ตายก่อน แล้วค่อยฟันตัวเองตายจบเรื่องจบราว”
อวี่ซือเฟิ่งทั้งตกใจทั้งขำ ได้แต่รับคำติดๆ กัน “ได้ ได้ ได้ ไม่ไป กระบี่เปิงอวี้อยู่ในบ้าน ข้าพาเจ้าไปเอา”
เขาใช้เท้าเขี่ยม่านไม้ไผ่ที่ประตูออก อุ้มเสวียนจีไปวางที่เตียง วางลงอย่างระมัดระวัง หันหลังกำลังจะไปเอาน้ำมาให้นางล้างหน้า ไม่ทันระวังถูกนางกระชากเต็มแรง ตะโกนดัง “เจ้าจะไปจริงหรือ?!” อวี่ซือเฟิ่งได้แต่หันกลับไปตบปลอบนางเบาๆ “ไม่ ข้าไปเอาน้ำมาเท่านั้น เด็กดี เจ้าเมาแล้ว นอนดีๆ”
เสวียนจีไหนเลยจะยอมฟัง ดิ้นรนเต็มแรง จะหากระบี่เปิงอวี้มาฟัน เสื้อผ้าอวี่ซือเฟิ่งแทบจะถูกนางกระชากขาด เขาไม่อาจทำใจใช้แรงกับนาง ได้แต่ยื่นมือไปคว้านางเข้าสู่อ้อมกอด ปลอบน้ำเสียงอ่อนโยน ผู้ใดจะรู้ว่านางเอาแต่ร้องไห้กระชากเขาไว้ เริ่มแรกแผดเสียงร้องไห้ลั่นราวเด็กน้อย สุดท้ายอยู่ๆ เบาลง เหมือนเหนื่อย ในที่สุดก็ปล่อยเขา หันหลังกลับไปที่เตียงหลับสนิทไปในทันที
อวี่ซือเฟิ่งถูกนางเล่นเอาเหงื่อตก กว่าจะได้พักหายใจ ก็ไปยกน้ำมาก่อน บิดผ้าเช็ดหน้าให้นาง ผู้ใดจะรู้ว่าอยู่ๆ นางจะยกมือขึ้นคว้าคอเสื้อเขา กระชากเต็มแรง อวี่ซือเฟิ่งไม่ทันระวัง หัวปักลงบนตัวนาง รู้สึกเพียงแค่สองแขนนางรัดตนไว้แน่น ริมฝีปากแนบใบหูเขา กระซิบกระซาบอะไรสักอย่าง เขาฟังไม่ชัด อดอยากกระซิบถามนางไม่ได้
เสวียนจีพลันงอตัวลงก่อนกระโจนจุมพิตเขาเต็มแรง