สุดท้ายเสวียนจีก็ยังไม่รู้สาเหตุที่อวี่ซือเฟิ่งออกจากตำหนักหลีเจ๋อ เห็นชัดว่าเขาไม่คิดถกปัญหานี้ ทุกคนล้วนมีบาดแผลในใจ แม้คนใกล้ชิดที่สุดก็ไม่อยากเปิดเผย ในเมื่อเขาไม่คิดเอ่ยถึง เสวียนจีก็ไม่อยากถามอีก
ระยะนี้นางเอาแต่นับวันที่มกรจากไปทุกวัน หวังว่าเขาแค่พูดออกมาด้วยความโมโห ผ่านไปสองสามวันก็จะกลับมา
ในสภาวะที่ยังไม่ถอนพันธะสัญญา เขาไปจากตนเองได้เพียงสามวันเท่านั้น จากนั้นก็ต้องกลับมา เสวียนจีไม่รู้ว่าหากเขาไม่กลับมาจะเป็นเช่นไร มกรแต่ไรมาก็ไม่เคยคิดไปจากตน แม้ว่าเขาจะเอาแต่พร่ำบ่น แต่จริงๆ แล้วก็เป็นสัตว์ภูตที่ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์มาก
สามวันแรกผ่านไป เสวียนจีไปรอปากทางหมู่บ้านทั้งวัน มกรไม่กลับมา
สามวันที่สองผ่านไป เสวียนจีไปรอปากทางหมู่บ้านอีก มกรก็ยังไม่กลับมา
ที่สาม ที่สี่…
พอสามวันครั้งที่ยี่สิบ ไร้เงามกร ในที่สุดเสวียนจีก็สิ้นหวังแท้จริง รู้ว่าเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว
จนบัดนี้นางก็ยังไม่เข้าใจ ตนเองไปล่วงเกินอะไรเขา เหตุใดบอกจะไปก็ไป และก่อนไปยังพูดทำร้ายจิตใจเช่นนั้น นางหวนคิดถึงบทสนทนาระหว่างเขากับอวี่ซือเฟิ่งในบ่ายวันนั้นหลายรอบ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าหมายความว่าอะไรกันแน่
แต่ในเมื่อความจริงเป็นเช่นนี้แล้ว คิดไปก็ไร้ความหมาย อวี่ซือเฟิ่งกล่าวได้ถูกต้อง มกรก็มีความคิดของตนเอง น่าจะเพราะเขาอยากมีชีวิตของตนเอง แม้เป็นสัตว์ภูต แต่เขาก็ไม่อาจเป็นเช่นเสี่ยวอิ๋นฮวา
พูดถึงเสี่ยวอิ๋นฮวา ตั้งแต่มกรจากไป มันเอาแต่เศร้าสร้อยทุกวัน ไม่มีความสุข แม้แต่ข้าวพองที่ชอบที่สุดก็ไม่อยากกินแล้ว วันๆ เอาแต่นอนขลุกอยู่ในแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่ง เสวียนจีไปแหย่มันหลายรอบ แม้ว่ามันไว้หน้าออกมาฉกทักทายบ้าง แต่เล่นครู่หนึ่งก็มุดกลับเข้าไปอีก ไม่ว่านางจะแหย่อย่างไรมันก็ไม่ออกมาอีก
อวี่ซือเฟิ่งบอกว่า มันเป็นโรคคิดถึง ผู้ใดเคยได้ยินว่างูตัวหนึ่งจะเป็นโรคคิดถึง? แต่สภาพมันเช่นนี้ ทั้งสองก็ไม่รู้ทำเช่นไร ก็ได้แต่ทำเป็นไม่เห็น
หลังคืนวันนั้น อวี่ซือเฟิ่งก็ย้ายเครื่องนอนกลับห้องนอนเดิม ทั้งสองอยู่ด้วยกันจริงๆ แล้ว ใช้ชีวิตดังสามีภรรยาหนุ่มสาวทั่วไป การมาของเสวียนจีทำให้ดรุณีน้อยซีกู่แต่ละคนจากโมโหกลายเป็นอิจฉา จากอิจฉากลายเป็นเงียบงันไม่พูดไม่จา สุดท้ายทุกคนล้วนยอมรับว่านางกับคุณชายอี้เหมาะสมกัน อย่างไรในพื้นที่ละแวกนี้ก็ไม่มีดรุณีน้อยโดดเด่นเท่าเสวียนจี หน้าตางดงามม ฝีมือสุดยอด นิสัยก็ดี
ต่อมาหลันหลันก็เอาของมาให้อีกทุกวัน แต่ครั้งนี้นางมาเพื่อเรียนการแพทย์จริงๆ เด็กผู้หญิงคนนี้มองการณ์ไกลมาก ไม่อยากจะเฝ้าโรงเตี๊ยมเล็กๆ ไปชั่วชีวิต ดังนั้นจึงมาเรียนวิชาแพทย์กับอวี่ซือเฟิ่ง กะว่าวันหน้าจะเป็นหมอหญิง น่าเสียดายนางรู้จักตัวหนังสือไม่มาก ดังนั้นมักจะต้องมาเรียนจากเสวียนจีในช่วงเช้า พอตกบ่ายก็อ่านตำราแพทย์กับอวี่ซือเฟิ่ง ดีที่นางเป็นคนฉลาดแต่กำเนิด พอเรียนก็เป็นทันที และยังมีความใส่ใจในเรื่องการแพทย์อย่างมาก
อวี่ซือเฟิ่งเคยกล่าวว่า เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ คนฉลาดเพียงใดไม่สู้มีความสนใจ หลันหลันเรียนกับเขาอยู่สามสี่เดือน ถึงกับมีแววเป็นหมอมาก ที่โรงเตี๊ยมมีแขกป่วยเป็นหวัดอะไรมา นางก็ตรวจดูคร่าวๆ แล้วก็จ่ายยาจนหายได้
ชีวิตในหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาแม้ว่าเงียบสงบ แต่ก็เงียบเหงา เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งอย่างไรก็ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว นานวันก็เริ่มเบื่อ เมื่อก่อนที่อวี่ซือเฟิ่งอยู่ในพื้นที่นี้ปีกว่าด้วยใจนิ่งสงบได้นั้น ก็ล้วนเพราะในใจสิ้นหวัง ตอนนี้มีเสวียนจีอยู่ข้างกาย ไหนเลยเขาจะยังรู้สึกเหงา แต่เล็กเขาเติบโตในตำหนักหลีเจ๋อด้วยสถานะพิเศษ ศิษย์อายุน้อยคนอื่นไม่อาจออกไปไหนมาไหนได้ ยกเว้นเขาที่ออกจากตำหนักโดยไม่ต้องรายงานได้ แน่นอนนี่เป็นเพราะคำสัญญาระหว่างหลิ่วอี้ฮวนกับเจ้าตำหนักใหญ่ ทำให้กลายเป็นนิสัยชอบไปไหนมาไหนทั่วทุกหนแห่งของเขา
หนูอัคคีที่เสวียนจีจับได้ตัวนั้น พอเอาหนังไปขายก็ได้เงินมาไม่น้อย กะว่าจะใช้สร้างบ้านหลังคากระเบื้องใหม่ แต่ทั้งสองล้วนคิดไปจากที่นี่ ดังนั้นจึงเก็บเงินนั่นเป็นค่าเดินทางในวันหน้าดีกว่า ไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์โพ้นทะเลสักครา ผู้ใดจะรู้ว่าชีวิตประจำวันมีงานรัดตัวมาก ยืดยาวออกไปอีกเกือบครึ่งปีก็ไม่ได้ขยับตัวออกเดินทาง
เห็นว่าฤดูใบไม้ร่วงจะจากไป ฤดูหนาวกำลังจะมา ซีกู่หน้าร้อนมาเร็ว หน้าหนาวเองก็มาเร็วเช่นกัน เดือนสิบเอ็ดก็มีหิมะตกใหญ่ ทั่วทั้งภูเขาปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ทิวทัศน์งดงาม เมื่อคืนวานหลันหลันฝากคนนำจดหมายมาขอลาสามวัน เพราะมารดานางป่วยกะทันหัน เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งวางแผนว่าจะใช้โอกาสว่างสามวันนี้ไปเมืองชิ่งหยางเยี่ยมหลิ่วอี้ฮวน
“ข้าไปครั้งนี้ เขาไม่หนีแล้วกระมัง” เสวียนจีอยู่ๆ นึกถึงทุกครั้งที่ตนไปเมืองชิ่งหยาง หลิ่วอี้ฮวนก็จะรีบหนีไปก่อน อดกระเง้ากระงอดถามขึ้นไม่ได้
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “น่าจะไม่แล้วนะ…นอกจากเจ้าโมโหเขา จะใช้กระบี่เปิงอวี้ฟันเขา”
ตั้งแต่คืนนั้น ‘ใช้กระบี่เปิงอวี้ฟัน’ ก็กลายเป็นคำพูดติดปากของอวี่ซือเฟิ่ง น่าจะเพราะวาจาเหี้ยมโหดนี้ออกมาจากปากเสวียนจียามเมามายจึงน่าขันยิ่ง เสวียนจียกเท้าจะเหยียบเท้าเขา กลับถูกเขายิ้มยันไหล่ไว้ ได้แต่ผลักประตูวิ่งออกไป
หิมะสะสมบนพื้นหนา เหยียบลงไปก็ส่งเสียงดังสวบสาบ ลมหนาวพัดหอบมาหวีดหวิว มีเกล็ดหิมะปลิวมากระทบใบหน้าเป็นบางจังหวะ คนเดินผ่านไปมาแทบอยากจะหดคอแน่น หนุ่มสาวสองคนนี้สวมชุดบางไม่กลัวความหนาวแม้แต่น้อย เดินคุยกันเฮฮาหัวเราะดังมาปากทางหมู่บ้าน รอบคออวี่ซือเฟิ่งมีผ้าพันคอขนสัตว์ผืนหนึ่งที่เสวียนจีมอบให้เขา กล่าวตามจริง แต่ไรมาไม่มีคนเอาขนเพียงพอนมาทำผ้าพันคอ ขนนั้นดูน่าเกลียดมาก หากผ้าพันคอนี้หากไปอยู่บนตัวคนอื่นที่ไม่ใช่อวี่ซือเฟิ่งผู้มีใบหน้าท่วงท่าสง่างาม เกรงว่าคนคงหัวเราะกันจนฟันร่วง เขากลับไม่ใส่ใจ อย่าว่าแต่หนังเพียงพอน แม้เสวียนจีมอบหมวกกระดองเต่าให้เขาสวม เขาก็จะสวมไว้บนศีรษะอย่างไม่อิดออด
ทั้งสองคนออกจากปากทางหมู่บ้าน กำลังเดินไปตามเส้นทางภูเขา พลันได้ยินบนท้องฟ้ามีเสียงนกร้องไพเราะเสนาะหู เสวียนจีตกใจรีบเงยหน้าค้นหา เห็นเพียงแสงเงาสีแดงวาบผ่านท้องฟ้า ราวกับพบเขาสองคนก็รีบพุ่งลงมา เสวียนจียกแขนกันไว้ มันรีบร่อนลงบนแขน เป็นวิหคเทพหงหล่วน!
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” เสวียนจีทั้งตกใจและดีใจ “ต้องไปมาหลายแห่งไม่น้อยกระมัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ” นางลูบหัววิหคเทพหงหล่วน ดึงกระดาษจดหมายที่เท้ามันออกมาอ่าน วิหคเทพหงหล่วนได้ใจส่งเสียงร้องดังกระพือปีกพั่บๆ หันหน้าบินไปทางอวี่ซือเฟิ่ง ไปหยุดที่ไหล่เขา เอาจะงอยปากชนแขนเสื้อเขา ส่งเสียงจิ๊บๆ จะเล่นกับเสี่ยวอิ๋นฮวา
เสี่ยวอิ๋นฮวาแอบเข้าไปหลบเงียบนานแล้ว อวี่ซือเฟิ่งควักข้าวพองจากในแขนเสื้อออกมาให้วิหคเทพหงหล่วน มันอ้าปากกินสองเม็ด ก่อนจะเอาหัวชนถูไถตัวเขา เห็นชัดว่าสนิทสนมกันมาก
เสวียนจีอยู่ๆ ส่งเสียงร้องดัง อวี่ซือเฟิ่งตกใจ รีบถามว่า “ทำไม สำนักเส้าหยางเกิดเรื่องหรือ” เสวียนจีตื่นเต้นหน้าแดงไปหมด คว้าแขนเสื้อเขาเต็มแรง ยิ้มกล่าวว่า “อีกสองวันหลิงหลงจะแต่งงานแล้ว! ท่านพ่อตามพวกเรากลับไป!” อวี่ซือเฟิ่งจึงได้คลายกังวล ยิ้มกล่าวว่า “เป็นข่าวดีจริง กับหมิ่นเหยียนหรือ”
“ย่อมต้องเป็นศิษย์พี่หกสิ!” นางชี้ไปบนจดหมายมีห้าคำ ‘เจ้าบ่าวจงหมิ่นเหยียน’ จากนั้นก็ยิ้มไม่ยอมหุบ
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปเมืองชิ่งหยางรับพี่หลิ่วก่อน จากนั้นกลับสำนักเส้าหยางด้วยกัน”
อยู่ๆ เสวียนจีก็นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ช้าก่อน ซือเฟิ่ง…เจ้า เจ้าอยากไปไหม เจ้าจะ…” เรื่องเขาเป็นปีศาจ ทุกคนในสำนักเส้าหยางต่างรู้กันแล้ว นางไม่คิดว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเปิดใจยอมให้นางอยู่กับปีศาจ ถึงตอนนั้นเกิดไปถึงสำนักเส้าหยางแล้วกลับทำให้ซือเฟิ่งไม่สบายใจ เช่นนั้นนางยอมไม่กลับดีกว่า
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ ข้าไป” เขายกมุมปากขึ้นแย้มยิ้ม “ไปสู่ขอเจ้ากับท่านพ่อเจ้า”
เสวียนจีหน้าแดงเถือกทันที ก้มหน้าเล่นชายเสื้อวุ่นวายไปหมด อึกอักกล่าวว่า “จริงๆ แล้ว…เช่นนี้…ก็ดีนะ ข้า…ข้าก็ไม่สนใจแล้ว”
เขาลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าสนใจ”
****
เหมือนดังที่อวี่ซือเฟิ่งกล่าว ครั้งนี้ทั้งสองไปเมืองชิ่งหยางอีกครั้ง หลิ่วอี้ฮวนก็นั่งดื่มสุราดอกไม้รออยู่ในหอคณิกาอย่างเรียบร้อย ผมเผ้าไม่ได้ขาดหายไปสักเส้น ตอนหาตัวเขาพบ เขากำลังโอบกอดหญิงคณิกาสองนางมือไม้พัลวัน เหลือบเห็นใบหน้าขาวของเสวียนจี เขาร้อง “โย” ขึ้นเสียงหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นสามีภรรยากันไปเลยสิ สีหน้าไม่เลว! เฟิ่งหวงน้อยดูแลได้ดี!”
เสวียนจีเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาอย่างวู่วาม ฟันลงไปที่ตรงเบื้องหน้าใบหน้าน่ารังเกียจของเขาสองสามที น่าเสียดายไม่ได้ทำให้ตกใจอะไร แต่กลับทำให้หญิงคณิกาสองนางตกใจหวีดร้องวิ่งหนีออกไป
หลิ่วอี้ฮวนจิบสุราไปก็หัวเราะร่วนไป โบกมือให้พวกเขา “นั่งสิ ข้าไม่ได้เจอเฟิ่งหวงน้อยมาปีครึ่งได้แล้ว หากมาหาข้าย่อมถูกเสวียนจีน้อยหาเจอ เจ้าสองคนคิดได้แรกสุดก็คือมาหาข้า ข้าเหมือนเป็นดังบิดาครึ่งหนึ่งก็ไม่ใช่วาจากล่าวเกินเลยไปนะ”
อวี่ซือเฟิ่งดึงเสวียนจีนั่งลงที่โต๊ะตัวเตี้ย รินสุรา ทั้งสามทักทายสักพัก เรื่องที่สนทนาก็ล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป ไม่เอ่ยถึงเรื่องคู่รักสองคนได้พบกัน ในใจหลิ่วอี้ฮวน เขาทั้งสองคนจะต้องได้อยู่ด้วยกัน แต่ขั้นตอนนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องบรรยาย
สุดท้ายกล่าวถึงงานแต่งหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียน ความหมายอวี่ซือเฟิ่งก็คือทุกคนไปสำนักเส้าหยางด้วยกัน หลิ่วอี้ฮวนได้ฟังก็ยิ้มส่ายหน้า กล่าวติดๆ กันว่า “ไม่ไปแล้ว ไม่ไปแล้ว ข้าเห็นงานมงคลไม่ได้ เห็นแล้วก็ต้องดื่ม ดื่มแล้วก็ก่อเรื่อง หากไปก่อเรื่องในวันงานมงคลเข้า หน้าตาทุกคนคงดูไม่ดี เจ้าสองคนไปก็พอแล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธ อดตะลึงไม่ได้ เสวียนจียังคิดว่าเขาไม่พอใจที่ตนแกล้งเมื่อครู่ กล่าวไม่พอใจว่า “ดื่มเมาแล้วก็มีข้ากับซือเฟิ่ง! ทำไมอยู่ๆ พี่หลิ่วคิดทำตัวเหินห่าง”
หลิ่วอี้ฮวนได้แต่ส่ายหน้า ทั้งสองกล่อมเป็นนาน เขาก็ไม่รับปาก สุดท้ายลูบหน้าผาก กล่าวว่า “อย่ากล่อมอีกเลย ข้าไม่ไปแน่ ระยะนี้น่ะใกล้ถึงเวลาแล้ว ข้าเองก็มีงานที่ต้องทำ ต้องดูแลบำรุงสุขภาพให้ดี”
อวี่ซือเฟิ่งรู้ว่าเขามีดวงตาสวรรค์ ดูเรื่องราวมากมายได้ไกลกว่าคนปกติ จึงถามว่า “เรื่องอะไร อย่าบอกว่าเกี่ยวกับการที่ท่านขโมยดวงตาสวรรค์”
หลิ่วอี้ฮวนแค่นหัวเราะ “ดวงตาสวรรค์ก็ขโมยมาหลายสิบปีแล้ว หากแดนสวรรค์จะมาคิดบัญชีข้า ข้าก็คงต้องแหลกสลายไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ได้! ไม่ใช่!”
กล่าวจบ เขากลับมองไปทางเสวียนจี กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าหนุ่มผมสีเงินขี้โมโหนั่นล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน”
พอเขาเอ่ยถึงมกร สีหน้าเสวียนจีก็บึ้งทันที หลิ่วอี้ฮวนไม่ปลอบใจกลับหัวเราะดังลั่น กล่าวว่า “ไปแล้ว? ฮา ฮา! ดูไม่ออกว่าเขาก็ชายชาตรีมีเลือดมีเนื้อนะเนี่ย! ไปได้ดี! ไปได้เยี่ยม!”
เสวียนจีท่าทางไม่พึงใจ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พี่หลิ่วดื่มมากไปแล้วกระมัง”
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะคิก แขนเสื้อกว้างปัดไปบนโต๊ะตัวเตี้ย ทั้งถาดทั้งจอกทั้งกาสุราแก้วผลึกร่วงกระจายเต็มพื้น เสียงดังเพล้งๆ เขาพาดตัวอยู่บนโต๊ะ เมากรึ่มกล่าวคลุมเครือว่า “ฮา…ดื่มไปมากจริงๆ…เมาแล้ว…ชีวิตคนเรายากจะเมาสักสองสามครา…วันหน้าคิดเมาก็ไม่อาจเมาแล้ว”
เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง ในใจรู้สึกสงสัย ไม่รู้วันนี้ทำไมเขามีท่าทีประหลาดเช่นนี้ พลันได้ยินเขาพึมพำร้องว่า “…ฟ้าไม่อาจคาดเดา หลักการไม่อาจวางแผน ชะตาล่วงรู้ เกิดเหตุเมื่อใด ใต้หล้าท่ามกลางเตา เผาหลอมละลาย หยินหยางเถ้าถ่าน สรรพสิ่งหลอมรวมเป็นทองแดง” บทเพลงนี้คุ้นเคยมาก เมื่อก่อนตอนเจอมกรครั้งแรก เขาก็ร้องบทเพลงนี้
หลิ่วอี้ฮวนร้องไปได้สองสามประโยคก็เมาจนผล็อยหลับไป เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งไม่รู้ทำอย่างไร ได้แต่แบกเขากลับบ้านรังสุกรเขา อวี่ซือเฟิ่งกำลังเอาน้ำมาลูบหน้าเขา พลันแขนเสื้อถูกเขากระชากไว้ ก้มหน้าลงมอง เห็นสองตาหลิ่วอี้ฮวนราวทะเลสาบลึกล้ำ เอาแต่จ้องมองตนเอง ไหนเลยเรียกว่าเมา! เขาตกใจ ได้ยินเขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง พี่ใหญ่ชอบเขาหนิวป๋อจื่อที่อยู่ห่างจากเมืองชิ่งหยางออกไปสามลี้ ที่นั่นมีหลุมศพเล็กๆ นิรนาม วันใดพี่ใหญ่ไม่อยู่แล้ว จำไว้ว่าเอาพี่ใหญ่ไปฝังไว้ข้างหลุมนั่น”
อวี่ซือเฟิ่งตกใจอย่างที่สุด รีบถามสาเหตุ ผู้ใดจะรู้ว่าหลิ่วอี้ฮวนหลับตาลง ไม่ว่าเขาจะผลักอย่างไรก็แกล้งตาย ไม่พูดอันใดอีก
ทั้งสองเห็นสภาพแปลกๆ ของหลิ่วอี้ฮวน ให้ตายก็ไม่ยอมไปสำนักเส้าหยาง ไม่รู้ทำอย่างไร เสวียนจีได้แต่ทิ้งวิหคเทพหงหล่วนไว้กับหลิ่วอี้ฮวน หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน วิหคเทพหงหล่วนบินได้เร็ว กลับมาส่งข่าวได้ทัน
ก่อนจากไป เสวียนจีถามว่า “หลุมศพนิรนามเขาหนิวป๋อจื่อคืออะไร”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้านิ่งขรึม เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “บางทีอาจเป็นหลุมศพลูกสาวเขากระมัง ข้าได้ยินว่าตอนนั้นพี่หลิ่วถูกอดีตเจ้าตำหนักจับตัวกลับจากเมืองชิ่งหยาง”
เสวียนจีอดเงียบงันไม่ได้