วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียน ทุกหนแห่งในสำนักเส้าหยางล้วนตกแต่งด้วยแพรแดง แม้แต่ลานฝึกยุทธ์ก็ไม่เว้น อย่างไรก็เป็นงานแต่งบุตรสาวที่รักของเจ้าสำนัก นับประสาอันใดกับหลิงหลงแต่เล็กก็เป็นดังไข่มุกในมือทุกคนที่ทะนุถนอมดูแลอย่างดีจนโตเป็นสาว นางจะแต่งงาน ย่อมต้องจัดให้ครึกครื้นหน่อย
ก่อนหน้าจงหมิ่นเหยียนทำผิดจนถูกขับออกจากสำนัก แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนที่ฉู่เหล่ยสองสามีภรรยาเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ หลังผ่านเรื่องราวมามากมาย เขาก็นิ่งสุขุมขึ้นไม่น้อย ถึงกับช่วยฉู่เหล่ยจัดการงานการในสำนักได้บ้าง ความคิดหนุ่มสาวเปิดกว้างคล่องแคล่วกว่าสักหน่อย จัดการหลายเรื่องจนแม้แต่เหอหยางกับฉู่อิ่งหงก็อดชื่นชมเขาไม่ได้ ในที่สุดก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นฉู่เหล่ยจึงตัดสินใจรับเขากลับเข้าสำนักใหม่ ยังคงนับเป็นศิษย์สำนักเส้าหยาง
เช้าตรู่มาหลิงหลงก็ถูกกลุ่มญาติผู้หญิงลากขึ้นจากเตียงมาแต่งตัว ชุดแต่งงานให้ช่างฝีมือดีที่สุดที่เชิงเขามาตัดให้ แขวนอยู่บนชั้นไม้ดำ มองไกลๆ แล้วเหมือนเพลิงสีแดง ฉู่อิ่งหงฝีมือดี เกล้ามวยผมให้หลิงหลงรูปแบบซับซ้อน เจ็บจนนางร้องเสียงดังน้ำตาไหลเลยทีเดียว
ฉู่อิ่งหงหัวเราะนาง “เป็นเจ้าสาวแล้วไม่อนุญาตให้ร้องไห้ ได้แต่ยิ้ม วันหน้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าได้ทะเลาะโต้เถียงกันอีก” กล่าวจบก็ลงแรงดึงอีก หลิงหลงไหนเลยทนได้ ส่งเสียงร้องราวกับสุกรถูกเชือด นางรู้สึกว่าหากดึงดันต่อไป ผมตนคงถูกดึงล้านหมดแน่ ได้เป็นเจ้าสาวหัวล้านกันพอดี
เห็นเหอตันผิงในกระจกกระสับกระส่ายเอาแต่มองไปนอกหน้าต่าง หลิงหลงรีบกล่าวว่า “ท่านแม่ เสวียนจียังไม่กลับมา? นางจะมาทันไหม”
ในใจเหอตันผิงก็ไม่แน่ใจ จริงๆ แล้วเสวียนจีเป็นตายนางก็ไม่รู้ แต่วันมงคลใหญ่นี้ นางไม่อยากให้หลิงหลงเป็นห่วง จึงฝืนยิ้มกล่าวว่า “ต้องมาแน่ ท่านพ่อเจ้าส่งวิหคเทพหงหล่วนไปส่งจดหมายแล้ว อย่ากังวล รอสักครู่ก็คงมาแล้ว” นางเดินไปด้านหน้ามองฉู่อิ่งหงเกล้ามวยผมใกล้เสร็จแล้ว ก็เลือกปิ่นมุกสีแดงสดปักลงมวยด้านข้างของบุตรสาว ผมดำขลับ ยิ่งขับให้ความงามเด่นจนน่าตะลึง
“แต่งงานก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว วันหน้าไม่อนุญาตให้ทำตัวไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่กับหมิ่นเหยียนอีกนะ เขาเป็นสามีเจ้า วาจาเขา เจ้าก็ต้องฟัง เข้าใจไหม”
แม้ว่าในใจหลิงหลงหวานล้ำเปี่ยมสุข แต่ยังคงอดยู่ปากไม่ได้ กล่าวว่า “เขาว่ามาใช่ว่าจะถูกต้องหมด เขาควรจะฟังข้าถึงจะถูกต้อง”
เหอตันผิงยิ้มเก็บจอนผมให้นาง กล่าวอ่อนโยนว่า “อย่าทำตัวเป็นเด็ก หมิ่นเหยียนยามนี้สุขุมกว่าเจ้ามาก เป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว สำคัญที่สุดก็คืออ่อนโยนเข้าอกเข้าใจ ผู้หญิงเราหากไปขี่อยู่บนคอผู้ชายชี้มือชี้ไม้ ไม่เพียงทำให้เขาไม่สบายใจ คนอื่นก็หัวเราะเยาะเขาด้วย”
หลิงหลงพยักหน้า นางได้สมดังหวังแล้ว ได้เป็นสามีภรรยากับจงหมิ่นเหยียน ยามนี้จะให้นางยอมตามเขาทุกเรื่องก็ไม่ใช่ปัญหา
ฉู่อิ่งหงวาดดอกเหมยตรงหว่างคิ้วให้นาง กำลังไปเอาชุดแต่งงานมา ก็พลันได้ยินมีคนมาเคาะประตู มองลอดช่องประตูออกไปเห็นศิษย์หญิงรุ่นเยาว์หลายคนมาแอบชะโงกหน้ามองอย่างอยากรู้อยากเห็น ถามอย่างไม่แน่ใจว่า “อาจารย์อา ฮูหยินเจ้าสำนัก พวกเราเข้าไปดูเจ้าสาวได้ไหม”
ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “ผีน้อยเช่นพวกเจ้านี่ เข้ามาก็มีแต่ก่อกวน กว่าจะแต่งเสร็จก็ตั้งนาน อย่าทำให้เจ้าสาวต้องแต่งตัวใหม่นะ!”
เด็กหญิงสองสามคนนั้นเฮโลกันเข้ามา รุมล้อมชื่นชมหลิงหลง มองนางอย่างนึกอิจฉาที่ได้สวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิงนี้ ชุดแต่งงานสีสันสดใสถึงกับไม่อาจทำให้ความงามของนางลดลง ยิ่งขับกับริมฝีปากแดงฟันขาว แทบจะทำเอาลืมหายใจ ทุกคนพูดจาหัวเราะกันในห้องครู่หนึ่ง พลันได้ยินมีเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก เป็นศิษย์หญิงที่สนิทกับหลิงหลงมาดูนาง
บรรดาเด็กสาวอยู่รวมกัน ย่อมเสียงดังจอแจไม่หยุด สงสารก็แต่หลิงหลง ปกตินางชอบพูดคุยมาก แต่วันนี้คอนางถูกสวมด้วยมงกุฎทองคำที่น้ำหนักหนักมาก และยังไม่กล้าทำเครื่องแต่งหน้าเลือน ไม่อยากทำชุดแต่งงานเสียรูป นางได้แต่นั่งนิ่งไม่ขยับ
เห็นว่าใกล้ฤกษ์มงคลแล้ว ฉู่อิ่งหงไล่บรรดาเด็กสาวออกไปจากห้อง เหลือแค่เหอตันผิงคุยความในใจกับบุตรสาวต่อ ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงกลองดังแว่วมา แพรแดงม้วนขึ้นรอ เกี้ยวมงคลมาถึงแล้ว บรรยากาศพลันครึกครื้นขึ้นมา กลิ่นอายมงคลตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ เสียงอึกทึกจ้อกแจ้กของบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ ยังมีเกี้ยวมงคลใหญ่ที่แบกมาโดยกลุ่มคนหนึ่ง
หลิงหลงถูกประคองขึ้นเกี้ยวมงคล ขบวนส่งเสียงเป่าแตรตีกลอง ครึกครื้นยิ่งกว่าฉลองปีใหม่เสียอีก
ห้องโถงกลางกำลังครึกครื้นยิ่ง หุบเขาเตี่ยนจิง เกาะฝูอวี้ และบรรดาสำนักบำเพ็ญเซียนที่สนิทกันก็ล้วนส่งคนมาแสดงความยินดี แค่โต๊ะเลี้ยงก็จัดถึงสามสิบกว่าโต๊ะ ฉู่เหล่ยหน้าอิ่มไปด้วยความสุข กำลังทักทายบรรดาแขกที่มา บรรดาอาวุโสเช่นเหอหยางก็ยุ่งกับการต้อนรับแขก ตรงหน้าอกจงหมิ่นเหยียนมีดอกไม้แดงดอกโตประดับอยู่ เอาแต่ยิ้มจนเหมือนคนโง่ เขารอเกี้ยวมงคลอยู่ด้านนอก ก็แค่ไม่นาน แต่เขาถึงกับรอจนร้อนใจอย่างที่สุด
แน่นอน พอเกี้ยวมงคลมาถึง ฉู่อิ่งหงก็ส่งผ้าแพรแดงใส่มือเขา เขาไม่เพียงยิ้มเหมือนคนเซ่อ แต่ยังเป็นคนเซ่อจริงๆ กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องโถงกับหลิงหลง พลันได้ยินเสียงลมจากเหนือศีรษะ ตามมาด้วยเหอตันผิงส่งเสียงร้องตกใจ ทุกคนพากันตกใจตาม คิดว่ามีคนมาก่อกวน ออกไปมองดูดีๆ เห็นเหอตันผิงกอดสตรีนางหนึ่งไว้แน่น หลังดรุณีน้อยยังมีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่ เป็นอวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจี
เพราะเขาสองคนเป็นห่วงหลิ่วอี้ฮวนเกิดเรื่อง จึงได้แต่อยู่เป็นเพื่อนเขา เมื่อครู่เพิ่งเหินกระบี่มาถึงสำนักเส้าหยางอย่างเร่งรีบ พอดีมาทันก่อนกราบไหว้ฟ้าดิน เสวียนจีประคองมารดาปลอบใจสองสามคำ จึงได้เผยรอยยิ้มบางกล่าวเสียงดังว่า “หลิงหลง! ศิษย์พี่หก! พวกเรามาแล้ว!”
หลิงหลงตื้นตันจนทนไม่ไหวเปิดผ้าคลุมหน้าออก พุ่งปรี่เข้าไปราวเมฆสีแดง กอดนางไว้แน่น น้ำตาคลอตะโกนดังขึ้นว่า “เด็กบ้า มาได้เสียที! ข้ายังคิดว่าวันของข้า เจ้าจะใจดำไม่กลับมาแล้ว!” เสวียนจีรีบใช้แขนเสื้อระวังเช็ดน้ำตาให้นาง ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าสาวไม่ควรร้องไห้ ดูๆ หน้าแต่งไว้เลอะแล้วนะ”
จงหมิ่นเหยียนเองก็ยากระงับความตื่นเต้น เข้าไปจับมือกับอวี่ซือเฟิ่งเต็มแรง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ในที่สุดเจ้าก็มา! ซือเฟิ่ง”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “เร่งเดินทางมา ไม่ได้เตรียมของอวยพร ขอโทษจริงๆ มีแต่คำอวยพรขอให้พวกเจ้ารวมใจเป็นหนึ่ง มีบุตรเร็ววัน”
จงหมิ่นเหยียนหัวเราะดังลั่น ยกมือตบไหล่เขาเต็มแรง ยักคิ้วว่า “พี่น้องข้า เจ้าก็เช่นกัน! เร่งมือหน่อย”
หลิงหลงตื่นเต้นดึงผ้าคลุมหน้าออกร้องไห้เสียงดัง แม้ว่าเสียมารยาทผิดธรรมเนียมสักหน่อย แต่บรรดาแขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นพวกผู้บำเพ็ญเซียน ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นทุกคนได้แต่ยิ้มแล้วก็ผ่านเลยไป ถึงกับรู้สึกสนุกมากกว่า ฉู่เหล่ยเห็นเสวียนจีกลับมาก็ตื่นเต้นไม่น้อย แต่ยามนี้พิธีแต่งงานหลิงหลงสำคัญยิ่งกว่า พยักหน้าให้เสวียนจีบอกนางว่าไว้ค่อยคุยกันอีก
เสวียนจีจูงมืออวี่ซือเฟิ่งไปยืนในกลุ่มคน ตั้งใจรอฟังคำประกาศฤกษ์มงคลด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เสียงดังขึ้นว่า “ได้ฤกษ์มงคลแล้ว! หนึ่ง ไหว้ฟ้าดิน”
คู่บ่าวสาวลงคุกเข่าไหว้ จากนี้ก็จะกลายเป็นคู่ครองกันแล้ว อวี่ซือเฟิ่งเห็นเสวียนจีทั้งอิจฉาและชื่นชม ก็กล่าวอ่อนโยนว่า “พวกเราก็จะมีวันนี้เหมือนกัน” เสวียนจีหน้าแดงเล็กน้อย ในใจกลับไม่รู้ว่าทำไมจึงได้หวาดกลัว กุมมือเขาแน่นกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “จริงหรือ” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ต้องมีแน่นอน ไม่ว่าให้ข้าอ้อนวอนขอร้องนานเท่าไร ก็จะต้องขอจนท่านพ่อท่านแม่เจ้าเห็นด้วยที่จะมอบเจ้าให้ข้า”
เสวียนจีสูดหายใจเข้า เห็นท่าทางมีความสุขของหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียน ในวินาทีนั้นนางถึงกับแอบรู้สึกปวดลึกในใจพลางน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา
“ซือเฟิ่ง” นางน้ำเสียงสั่นเทา “เจ้าอย่าไปสู่ขอเลย พวกเราเช่นนี้…ไม่ใช่ว่าดีอยู่แล้วหรอกหรือ ข้าไม่สนใจพิธีแต่งงาน ขอเพียงได้อยู่ด้วยกันก็พอ เจ้าอย่าไปสู่ขอ ข้ากลัว…”
ในใจอวี่ซือเฟิ่งแอบถอนหายใจยาว กุมมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่ว่าเป็นอย่างไร พวกเราก็จะไม่แยกจากกัน”
เสวียนจีพยักหน้าเล็กน้อย ใช่ ไม่ว่าพวกท่านพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไรนางกับซือเฟิ่งก็จะไม่แยกจากกันอีก แม้ไม่อาจได้คำอวยจากผู้ใหญ่เหมือนหลิงหลงก็ตาม นางไม่อยากจากกัน จริงๆ แล้วนางรู้สึกได้ถึงสายตาทุกคนในงานที่มองอวี่ซือเฟิ่งราวกับไม่เห็นเขาในสายตา วางตัวออกห่างจากเขา ถึงกับออกห่างจากนางไปด้วย แม้ว่าไม่มีคนพูดออกมา รับรู้ความรู้สึกได้เบาบางยิ่ง แต่ในใจนางก็ยังคงเสียใจ
พวกเขาทั้งสองกลายเป็นพวกแปลกแยกในสายตาทุกคนไปแล้ว
หลังกราบไหว้ฟ้าดิน หลิงหลงก็ถูกพาเข้าห้องหอไป ก่อนไปนางกวักมือเรียกเสวียนจี เสวียนจีรีบรับคำ กำลังจะเดินไปห้องหอกับนาง เหมือนมีวาจาอยากกล่าวกับนาง นางมองไปทางอวี่ซือเฟิ่ง เขายิ้มกล่าวว่า “ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า ยังต้องดื่มกับหมิ่นเหยียนอีก”
ยามนี้เสวียนจีจึงได้เดินตามบรรดากลุ่มญาติผู้หญิงไปยังห้องหอ เดินไปได้สองก้าว ไม่ทันรู้ตัวก็มีคนมากุมแขนตนเองจากทางด้านหลัง นางหันกลับไปมองเห็นเหอตันผิงสีหน้ายินดีมองตนอยู่ นางร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง “ท่านแม่” โผเข้าหานางด้วยความคิดถึง
เหอตันผิงประคองนางเดินมาก็ถามสองปีนี้นางไปอยู่ที่ไหน ผ่านอะไรมา กินดีไหม เหนื่อยไหม มาถึงห้องหอ อยู่ๆ นางก็กล่าวว่า “เจ้ากับซือเฟิ่ง…พวกเจ้าตัดสินอยู่ด้วยกันด้วยตนเองแล้วหรือ” เสวียนจีไม่ลังเล นางรู้แล้วว่าจะมีคำถามนี้ พยักหน้าทันที
เหอตันผิงสีหน้าเงียบขรึม กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อท่านแม่รู้ว่าเจ้าชอบเขา แต่เขาเป็นปีศาจ วันนั้นหลายคนก็ได้เห็นกับตา เจ้ายังเป็นถึงบุตรสาวเจ้าสำนักเส้าหยาง หากอยู่ร่วมกับปีศาจ ใช่ว่าเป็นที่หัวเราะเยาะของคนใต้หล้าหรือ และยังจะหัวเราะเยาะสำนักเส้าหยางเราด้วยไหม”
เสวียนจีสูดลมหายใจเข้าลึก เป็นนานจึงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หรือว่าท่านแม่คิดว่าข้าเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่สัตว์ประหลาดหรือ”
เหอตันผิงพลันเหมือนพูดไม่ออกอีก เสวียนจีผลักประตูห้องหอออก กล่าวอีกว่า “ไม่ว่าเขาเป็นปีศาจหรือเป็นมนุษย์ ข้ารู้เพียงว่าเขาคืออวี่ซือเฟิ่ง จะไม่หัวเราะเยาะที่เขาไม่ใช่มนุษย์ จะไม่ทำตัวเหมือนเมื่อก่อนอีก”
ประตูปิดเบาๆ ลง เหอตันผิงอึ้งอยู่หน้าห้องเป็นนานก่อนจะค่อยๆ ส่ายหน้าถอนหายใจยาวจากไป
เสวียนจีเดินเข้าไปในห้องหอ รู้สึกเพียงแค่สีแดงเปล่งประกายกลิ่นอายมงคลทั่วไปหมด เมื่อครู่กลุ่มญาติผู้หญิงที่ส่งหลิงหลงเข้ามาน่าจะกลับไปกันหมดแล้ว วันนี้นางเป็นเจ้าสาว แต่กลับเอาแต่นั่งนิ่งเหม่อลอยอยู่หัวเตียง ผ้าคลุมหน้าอยู่ในมือ ใบหน้าถึงกับมีคราบน้ำตา
เสวียนจีตกใจเล็กน้อย รีบเข้าไปกุมมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “ร้องไห้ทำไม ผู้ใดรังแกเจ้า”
หลิงหลงส่ายหน้า พลิกฝ่ามือมากุมมือนางเบาๆ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เสวียนจี ข้า…ข้ามีเรื่องอยากพูดกับเจ้ามากมาย ไม่ได้เจอกันสองปีแล้ว…มีเรื่องมากมายที่นอกจากเจ้า ข้าก็ไม่รู้จะพูดกับผู้ใด…แต่ ตอนนี้พอได้พบเจ้า ข้ากลับไม่รู้จะพูดอย่างไร…”
เสวียนจีมองนางอย่างตกใจ เป็นนานหลิงหลงจึงได้ก้มหน้าน้ำตาร่วงกล่าวว่า “ข้า…ข้า สองปีนี้เหมือนว่าฝันแทบทุกวัน…อูถงนั่น…น่ากลัวมาก ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไรดี ในฝันข้ารู้สึกว่าเขาน่าสงสารมาก ในใจก็นึกเสียใจภายหลังอย่างมาก พอตื่นมาก็รู้สึกทุกสิ่งมันน่ากลัวและเหลวไหลสิ้นดี…”
“เจ้า…ฝันว่าเขาทำอะไรอยู่” เสวียนจีถามเบาๆ
หลิงหลงกล่าวเบาๆ ว่า “ทุกครั้งล้วนเป็นภาพเช่นเดิม ข้าล้างมือในทะเลสาบ เขาโผล่พรวดขึ้นจากน้ำมาดึงข้าลงไป…ไม่ว่าข้าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เจ้าว่า…เจ้าว่าถึงเขาเป็นผีก็จะตามตอแยข้าไม่เลิกไหม”
เสวียนจีตบไหล่นางปลอบใจ กล่าวอ่อนโยนว่า “วางใจ ไม่หรอก ครั้งก่อนข้าไปแดนปรภพ เขาถูกผู้พิพากษาแดนนรกตัดสินโทษแล้ว เจ้าเพียงแค่ใจไม่นิ่งสงบเอาแต่คิดถึงเขาเท่านั้น นานแล้วเจ้าก็คงลืมได้เอง เด็กดี อย่าร้องไห้แล้ว เจ้าสาวร้องไห้ขึ้นมาไม่สวยนะ”
นางปาดน้ำตาให้หลิงหลง พลันได้ยินนางกล่าวเบาๆ ว่า “เอาละ ไม่ว่าเขาตามตอแยข้าก็ดี ข้าผิดต่อเขาก็ดี ล้วนเป็นเวรกรรม ตอนนั้นข้าไม่ควร…หากปลิดชีพตัวเองก่อน ก็คงไม่ต้องวุ่นวายใจมากมายเช่นตอนนี้”
เสวียนจีไร้วาจาจะกล่าวเป็นนาน ก่อนหลิงหลงจะกล่าวอีกว่า “กลางวันในสมองข้าคิดถึงแต่เจ้าหก แต่พอกลางคืนก็ฝันถึงแต่อูถง ข้าเป็นหญิงชั่วร้ายจริง”
“อย่าได้กล่าวเช่นนี้…” เสวียนจียังคิดปลอบ พลันได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก ดูท่าแล้วเจ้าบ่าวกับบรรดาแขกกำลังคิดเข้ามาก่อกวนห้องหอแล้ว นางคลึงมือหลิงหลงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าต้องหาความกระจ่างในเรื่องนี้ให้ได้ หากเป็นอูถงตามตอแยเจ้า ข้าจะจัดการให้เจ้า! เด็กดี เป็นเจ้าสาวแล้วนะ อย่าคิดมาก!”
หลิงหลงพยักหน้า คลุมหน้าลง เสวียนจีรีบผลักประตูออกไป แต่ก็ยังช้าไป เพราะชนเข้ากับจงหมิ่นเหยียนที่อยู่หน้าสุด สีหน้าอาบกลิ่นอายมงคลเต็มปี่ยม นางเกือบล้ม จงหมิ่นเหยียนรีบดึงนางไว้ กลิ่นสุราหึ่งทั่วตัว ยังมีหน้าหันมายิ้มถามว่า “เป็นอย่างไร คุยความในใจกันจบหรือยัง พวกเราเข้าไปได้แล้ว?”
เสวียนจีรีบพยักหน้า จงหมิ่นเหยียนตบไหล่นาง ยิ้มกล่าวว่า “ไม่รู้จะได้ดื่มสุรามงคลเจ้ากับซือเฟิ่งเมื่อไร รีบหน่อยนะ!” เขายิ้มหน้าบานราววสันตฤดู เผยรอยยิ้มบางก่อนเดินเข้าห้องไป แขกด้านหลังก็เข้าไปวุ่นวายกันพอสมควรเสริมบรรยากาศ เสวียนจีเห็นอวี่ซือเฟิ่งยืนมองตนเองอยู่นอกห้อง ก็ยิ้มเล็กน้อยเดินเข้าไปใกล้ถามว่า “ซือเฟิ่ง แหวนที่ครั้งก่อนพวกเจ้าไปแดนปรภพยังอยู่ใช่ไหม ไว้ขากลับเป็นเพื่อนข้าไปแดนปรภพหน่อยได้ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งไม่ถามสาเหตุ หากพยักหน้าทันที
นางอยากดูให้ชัดสักหน่อยว่าเรื่องอูถงแท้จริงเป็นมาเป็นไปอย่างไร