“เข้าใจแล้ว!” ในสถานที่กักขังของกลุ่มไทชินั้นถือเป็นความลับและเป็นสถานที่ที่ยากจะหาเจอมาที่สุด ที่กลุ่มไทชิมีขนาดใหญ่และไม่ง่ายเลยที่จะเจอคนกลุ่มเล็กๆ ในนั้น
แม้ว่าจะได้รับเบาะแสจากฟางฉีมาแล้วแต่ซูเทียนจิก็ใช้เวลาไม่น้อยเลยกว่าจะค้นหาสถานที่ลึกลับพบ
สายตาหลายคู่ต่างคอยเฝ้ามองผู้ฝึกฝนหลายคนที่ยืนเป็นกองอยู่เบื้องหน้าเขา บนแท่นสูงมีสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่ติดอยู่กับของชิ้นหนึ่งมันดูคล้ายหมวกที่ทำจากเหล็ก
ผู้ฝึกฝนสองคนเร่งเดินหน้าและผลักเหล่าสาวกขึ้นไปบนแท่น “ใส่ไว้!”
“ไม่! ไม่ ..” เขาเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ สิบเจ็ดปีสวมเสื้อสีเทาซีด ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความกลัว ดูเหมือนว่าเขาเองเคยมีประสบการณ์บางอย่างที่น่าเจ็บปวดและไม่ต้องการเจอกับมันซ้ำอีก
ขณะนี้ผู้ฝึกฝนระดับสูงกำลังยืนมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยันและมองหน้ากัน พวกเขาจับแขนของตัวเองเพื่อผนึกสาระสำคัญทางจิตวิญญาณของพวกเขา
เตียนเล้ยซียืนมองเหตุการณ์โดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ชายคนนี้มีพิษจำนวนมากหลงเหลือในร่างกาย นั่นเป็นสาเหตุที่เขาต่อต้านอย่างมากดูเหมือนว่าเขาต้องการเวลามากขึ้นเพื่อรักษาด้วยสายฟ้าเช่นนี้”
เขาแสดงรอยยิ้มออกมา “เจ้าหนูน้อยเจ้าต้องร่วมมือกับกระบวนการบำบัดของเรา หลังจากที่เรากำจัดพิษในร่างกายเจ้าออกแล้วข้าจะบรรเทาการบำบัดรักษาของเจ้าให้เบาลง เข้าใจมั้ย?”
เขาโบกมือ “เริ่ม!”
“ไม่ .. ไม่!” สาวกยังคงดิ้นรนแรงขึ้น ในไม่ช้าเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้น
“น่ารังเกียจ น่ารังเกียจที่สุด!” ดวงตาที่สวยงามของซูเทียนจินั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เธอไม่เคยรู้สึกโกรธแค้นเท่านี้มาก่อน
เธอได้ยินจากฟางฉีว่ากลุ่มไทชิกักขังเหล่าสาวกไว้ เมื่อเธอเห็นภาพตรงหน้าเธอรู้สึกหัวใจของเธอในตอนนี้มันเจ็บจนชา พวกเขากำลังทำอะไร!? แม้แต่อาชญากรก็ยังไม่ถูกทรมานด้วยวิธีที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้เลย!
สาวกส่วนใหญ่อายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้นเป็นช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยผลผลิตที่ดี ยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่สาวกธรรมดา พวกเขามีความสามารถสูงและสามารถเติบโตไปเป็นผู้ฝึกฝนที่ดี แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นสาวกคนหลัก แต่พวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างดีแน่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นสาวกของวังหลิวหยุนโดยตรงก็ตาม
พวกเขาเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ในอนาคต!
“ไม่ .. ไม่!” ขณะเดียวกันเสียงกรีดร้องของผู้หญิงสะอึกสะอื้นดังขึ้น เสียงนั้นดูหวาดกลัว ซูเทียนจิมองไปเห็นเด็กหญิงหน้ากลมอายุราวสิบหกปีแววตาของเธอดูสิ้นหวังและหวาดหวั่น
เตียนเล้ยซีที่อยู่ตรงนั้นยังคงหน้านิ่งและไม่มีความเห็นใจต่อสาวกคนใดเลย
“อ่า!”
“หยุด!”
“มีคนบุกเข้ามา!”
“หยุด!” เตียนเล้ยซีไม่รู้ว่าผู้บุกรุกเข้ามาได้อย่างไร แต่ที่รู้คือเขาต้องจับเธอให้ได้!
…
เวลาเดียวกันลำแสงขนาดใหญ่มหึมาเริ่มก่อตัวมันเป็นการรวมตัวกันของสาระจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ เมื่อดู๋เหยาเห็นแบบนี้แล้วเขาที่เพิ่งหนีจากเทคนิคควบคุมดาบก็รู้สึกโล่งใจ
เขาหันไปเจอห้นานาหลันฮงวูและหัวเราะใส่ “ดูเหมือนว่าเทคนิคที่เจ้าใช้นั้นใช้พลังภายในจำนวนมากท้ายที่สุดมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสินะที่จะจัดการกับผู้ฝึกฝนระดับสูงอย่างพวกเรา .. น่าเสียดาย”
“แท้จริงแล้ว .. มันน่าเสียดายที่เจ้าไม่ตายตั้งหาก!” นาหลันฮงวูตะโกน เห็นได้ชัดว่าเข้าเองก็เพิ่งเข้าใจในเทคนิคดาบระดับยี่สิบสามมากขึ้นก็วันนี้ มันมีพลังที่ที่มากพอกับข้อจำกัด แม้ว่าเขาจะทำลายรัศมีของคนทั้งสี่ได้และสังหารผู้ฝึกฝนไปหลายคน แต่ดู๋เหยาก็หนีไปได้พร้อมกับสมบัติสำคัญที่หายาก
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าหมายถึง” ดู๋เหยาส่ายหัว
“เจ้าเป็นเพียงนักรบจักรพรรดิ แต่เจ้าเกือบจะฆ่าข้าทั้งๆ ที่เจ้าเป็นนักรบและข้าคือผู้ฝึกฝน น่าเสียดายที่มีนักรบที่มีพลังมากเช่นนี้ ข้าละอิจฉาเจ้า!”
“ถ้าเจ้าไม่ตายเจ้าอาจจะเปลี่ยนพลังของเจ้าจากนักรบไปเป็นผู้ฝึกฝนโดยใช้เวลาอีกพันปี ในฐานะนักรบจักรพรรดิเจ้าเองก็มีความสามารถในการต่อสู้พอๆ กับผู้ฝึกฝนในระดับเดียวๆ กัน!” ดู๋เหยาแสยะยิ้ม “แต่วันนี้เจ้าต้องตายที่นี่!”
“ตายที่นี่!?” นาหลันฮงวูยิ้มเยาะ
“เจ้าเองเกือบจะหมดกำลังแล้ว!” ดู๋เหยาจ้องมองที่เขาและพูดด้วยเสียงเย็น “เจ้ายังต้องการจะต่อต้านพวกเราอีกหรอ?”
“หรือ ..” เขาหันไปมองฟางฉีราวกับว่ามองหามด “เจ้าคาดหวังถึงความสูยเสียที่กำลังจะได้รับกันละ?”
เขากำลังจะพูดจบประโยค แต่แล้วสาระสำคัญทางจิตวิญญาณเริ่มก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง มันก่อตัวในรูปแบบแปดเหลี่ยมใหญ่จนครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของกลุ่มไทชิ
เมื่อดู๋เหยาเห็นเช่นนั้นเขายังคงเสริมด้วยน้ำเสียงดุเดือด “พวกเจ้าเห็นมั้ย? นี่คือรูปแบบของพลังแปดเหลี่ยมที่ข้าได้รับสืบทอดมาจากนักบวชเต๋าอมตะในยุคก่อนประวัติศาสตร์! และมันสามารถดักจับปีศาจร้ายได้อีกด้วย”
แน่นอนว่าเขาพูดเกินจริงไปเล็กน้อย เพราะสาระจิตวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นมานานแล้วและผู้สืบทอดสามารถเข้าใจได้ถึงพลังก็จริงแต่เมื่อเทียบแล้วก็เข้าใจในส่วนนึงเท่านั้น ซึ่งหมายความว่ามันยากสำหรับพวกเขาที่จะปลดปล่อยพลังที่แท้จริงทั้งหมดออกมา
แม้ทั้งหมดนี้จะเกินพอที่จะจัดการกับนักรบจักรพรรดิที่คงเหลือพลังภายในน้อยเต็มทีก็ตาม
นาหลันฮงวูจ้องไปที่ฟางฉีและพูดว่า “เจ้าหนุ่มถึงเวลาของเจ้าแล้ว ผู้อาวุโสซูเทียนจิเองก็ต้องทำภารกิจให้เสร็จ”
“ไปตอนนี้?” ฟางฉีส่ายหัว
“อะไร!?” นาหลันฮงวูมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“ข้าจะบอกอะไรให้” ฟางฉียิ้ม “ข้าขอให้ท่านมากับข้าเพื่อที่เราจะทำลายกลุ่มไทชิให้จมลงดิน”
“อะไร!?”
“ยโส!”
ทันใดนั้นคำสาปแช่งของสาวกกลุ่มไทชิดังกึกก้องทันที ขณะเดียวกันฟางฉีมองไปที่หน้าอินเตอร์เฟซของเขาเพื่อทำการเรียกใช้อาวุธ
ชิ้นส่วนของดาบอมะตะ .. ใช้ครั้งเดียวอนุญาให้เชื่อมต่อกับการใช้เทคนิคของตัวละครกระบี่เทพสังหาร
ดาบคุซานากิ .. ใช้เพียงครั้งเดียวอนุญาตให้เข้าถึงตัวละคนเพื่อใช้งานดาบ
ดาบวู่เฉิน ..
ชิ้นส่วนกระจกสวรรค์ ..
ใช่ .. นี่เองสินะความหมายของระบบที่บอกให้ฟางฉีสำรวจดูตัวเอง