ตอนที่ 597 เพียงจิบก็เมามายถึงวิญญาณ

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินเดินเคียงไหล่ออกจากป่าไผ่มาเคียงข้างกู้หลี ก็เห็นไป๋จั่นหนิงถือไหสุราเดินโซเซมาทางพวกเขา

ด้านข้างมีวิหคตัวใหญ่สีดำตัวหนึ่ง แยกไม่ออกว่ามาจากสายพันธุ์ใด แค่เรือนกายภายนอกไม่ใช่สิ่งที่นกธรรมดาจะเทียบเทียมได้ ดวงตาวิหคคู่หนึ่งเผยท่าทีไม่เหลียวแลสิ่งใดมองมา เทียบกับนายท่านผู้รักอิสระปล่อยปละละเลยของมันแล้วยังดูสุภาพมากกว่า

มั่วชิงเฉินเหลือบมองอีกาไฟที่ตัวอ้วนกลมยิ่งกว่าเดิมกำลังรินสุรา ใบหน้างดงามก็ถอนใจให้อาเสวียน

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก เอ่ยกับไป๋จั่นหนิง “เหตุใดจั่นหนิงเจินจวินต้องอิจฉาด้วย ขอเพียงท่านพาอาเสวียนมา อาจารย์ของข้าก็ได้กำไรจากท่านแล้ว”

ร่างของอีกาไฟพลันแข็งทื่อ ใช้ปีกลูบดวงตา

ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งเข้ามา “นายท่าน…”

“เขาน้อย ไม่ได้พบกันเสียนาน” มั่วชิงเฉินลูบหัวของเขาน้อยอย่างรักใคร่เอ็นดู

ในที่สุดอีกาไฟก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ชูปีกทั้งสองขึ้นสะบัดไหสุราออกไป ร่างอ้วนกลมกระโจนเข้ามา “นายท่าน คนเขาคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว…”

เสียง เคร้ง ดังขึ้น ทั้งสามคนหันไปมอง ก็เห็นจอกสุราหยกสีขาวกลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้น อาเสวียนที่มีสีหน้าแข็งทื่อขนปุกปุยบนใบหน้าเปียกชุ่ม สุราหยุดติ๋งๆ เมื่อผสานกับท่าทีไม่เหลียวแลสิ่งใดของเขาก็ยิ่งน่าขันนัก

“อู๋เย่ว์เจ้าทำสุราหกใส่หน้าของอาเสวียน” มั่วชิงเฉินที่ไม่ได้พบอสูรวิญญาณเป็นเวลานานถ่ายทอดเสียงไปเตือนอย่างหวังดี

อีกาไฟหน้าไม่เปลี่ยนสี กอดแขนของมั่วชิงเฉินเอาไว้แล้วฟ้องอย่างโศกเศร้า ตอบกลับอย่างราบเรียบว่า “ไม่เป็นไรหรอก ข้าอยากทำอย่างนี้ตั้งนานแล้ว!”

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ “ทำไม เจ้ามีเป้าหมายใหม่แล้วหรือ”

อีกาไฟกรอกตาอย่างไม่ปิดบัง “ข้าเป็นวิหคที่จิตใจไม่มั่นคงหรือ เพียงแต่คนงามนั้นหายาก แล้วก็ไม่อาจตามใจได้ ไม่เช่นนั้นมันจะยิ่งหน้าไหว้หลังหลอก!”

มั่วชิงเฉินอ้าปากพะงาบๆ รู้สึกหมดคำพูดอยู่นาน

อู๋เย่ว์ของนาง ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ

เมื่อพบอู๋เย่ว์ เขาน้อย และดอกเบญจมาศแดง กู้หลีก็พามั่วชิงเฉินไปพบหมาป่าน้อย

หมาป่าน้อยนอนหมอบอยู่บนพื้นด้านหลังเรือนไม้ไผ่ รอบตัวมีค่ายกลป้องกันติดตั้งอยู่

มั่วชิงเฉินเหลือบมองแวบหนึ่งก็วางใจ จากนั้นก็เอ่ยถามกู้หลีอย่างประหลาดใจว่า “อาจารย์ เหตุใดดูจากท่าทางของหมาป่าน้อยแล้ว เหมือนกับกินของบำรุงอะไรสักอย่างไปเข้าไป”

กู้หลีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้อาจารย์ก็ไม่แน่ใจ รอให้หมาป่าน้อยตื่น ชิงเฉินก็ลองถามดูสิ”

นับว่าเป็นเรื่องดี มั่วชิงเฉินพยักหน้าแล้วไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ดื่มสุราพลางคุยเล่นกับกู้หลีและไป๋จั่นหนิงครู่หนึ่ง ก็ถูกกู้หลีรบเร้าให้กลับไป

“อาจารย์ รอให้ศิษย์จัดการธุระเสร็จแล้ว จะมาเยี่ยมท่านใหม่” มั่วชิงเฉินจูงอสูรวิญญาณน้อยสองตัว บุปผาปีศาจหนึ่งดอกจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มองสีหน้าแข็งทื่อของอาเสวียนเลยแม้แต่แวบเดียว

“อาเสวียน ดูแล้วนายท่านอู๋เย่ว์ คงไม่ชื่นชอบเจ้าแล้ว” ไป๋จั่นหนิงยกกาน้ำชาขึ้น แล้วเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มจนตาหยี

“เหตุใดข้าต้องให้นางชื่นชอบ นายท่าน หากท่านว่างมาก ก็ไม่ลองหาภรรยาดูสักคนเล่า!” อาเสวียนหยัดกายลุกขึ้น สะบัดขน แล้วแค่นเสียงอย่างเย็นชาพร้อมจากไป

ไป๋จั่นหนิงถูกทำให้สำลัก ก็เอ่ยอย่างหัวเราะก็ไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ “ช่างตรงกันข้ามจริงๆ ข้าเลี้ยงอสูรวิญญาณตนหนึ่งที่ไหนกัน นี่มันบิดาชัดๆ”

กู้หลีมองเขาแวบหนึ่ง ยกจอกสุราขึ้นจิบ หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “คนหนึ่งยอมตีคนหนึ่งยอมถูกตีก็พอแล้ว”

ไป๋จั่นหนิงเลิกคิ้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คนหนึ่งยอมตีคนหนึ่งยอมถูกตี พี่กู้ ท่านคิดอย่างไรกับนางหนูผู้นั้น หากท่านปล่อยนางไปไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะยอมเป็นคนร้าย ชิงนางกลับมา ถึงยามนั้นท่านก็พานางไปให้ไกล ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเรากระทำการใดๆ ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก ต้องเข้าใจว่าหากคนหนึ่งปล่อยมือ ก็จะเงียบเหงาไปพันปี”

กู้หลีจับแขนเสื้อเอาไว้ รินใส่จอกสุราของทั้งสองจนเต็มอย่างไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้า สีหน้าไม่ตกตะลึง “ข้าไม่ได้รั้งไว้ จะพูดถึงปล่อยมือได้อย่างไร วันหน้าพี่ไป๋อย่าเอ่ยถึงอีกเลย”

ไป๋จั่นหนิงโกรธเกรี้ยวเล็กน้อย “เจ้ามันคนปากแข็ง หากไม่มีอะไร เจ้าจะกระอักเลือดบ่อยๆ ทำไมกัน โมโหมากเลือดก็เลยออกมากอย่างนั้นหรือ แล้วยังมีอสูรวิญญาณเหล่านั้น ยังก่อเรื่องวุ่นวายอีก เจ้าไม่เพียงจะเก็บพวกมันไว้ ยังไปเก็บหลักฐานที่ยอดเขาลั่วเฉินอีก พอถึงเวลาคาดไม่ถึงว่าจะไม่เอ่ยถึงเลยสักนิด เพราะกลัวนางจะกังวลใจ ในโลกนี้ข้าไม่เคยเห็นอาจารย์ผู้ใดทำเช่นนี้กับศิษย์เลย”

กู้หลีพิจารณาจอกสุราในมือ มุมปากกระตุก “ข้าไม่ได้ปากแข็ง ชิงเฉินเป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นหนทางแห่งการเป็นเซียนยังอีกยาวไกล เหอกวงอยากรู้ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แม้แต่ทิวทัศน์ระหว่างทางก็ยังสวยงาม ก้าวขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ มีอะไรให้ต้องเหงากัน”

“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ” ไป๋จั่นหนิงจ้องดวงตาของกู้หลีเขม็ง

กู้หลียิ้มร่า “แน่นอน แดนสวรรค์มี่หลัวตูใกล้จะเปิดแล้ว เหอกวงอยากไปดูอีกครา ไม่ทราบว่าพี่ไป๋จะยอมร่วมทางไปหรือไม่”

เมื่อเห็นสีหน้าไม่เหมือนกับแสร้งทำ ไป๋จั่นหนิงก็ฉีกยิ้ม “แน่นอน การเข้าไปครั้งนี้ จำไว้ว่าต้องขอสุราจากศิษย์ของเจ้าไปด้วย”

ทั้งสองมองสบตากันแล้วประสานเสียงหัวเราะ ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด

มั่วชิงเฉินกลับมายังยอดเขาลั่วเฉิน เยี่ยเทียนหยวนยังไม่กลับมา จึงเดินอยู่ระหว่างเขาอย่างแช่มช้า

อีกาไฟสะกิดเขาน้อย เขาน้อยเอียงศีรษะไม่เข้าใจเจตนาของมัน

อีกาไฟส่งค้อนให้วงใหญ่ ขยับเข้ามา “นายท่าน ท่านเป็นอะไรหรือ ฟื้นขึ้นมาแล้วร่างกายไม่เหมาะกับอากาศในแดนหยางหรือ”

ความโศกเศร้าเต็มท้องของมั่วชิงเฉินกลับถูกวาจานี้ทำให้โกรธเกรี้ยวจนหายไปหมดแล้ว “ยังกล้าจะให้ข้าไม่ชินกับสภาพดินฟ้าอากาศอีกหรือ”

“ไม่เช่นนั้นนายท่านจะมีหน้าราวกับตายไปแล้วเช่นนี้ได้อย่างไร แม้ว่าจะหน้าตางดงาม มองดูแล้วก็ยังประหลาด”

“พอแล้ว!” มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่อีกาไฟแวบหนึ่ง “อู๋เย่ว์ เจ้าอย่าไร้สาระ ข้าจะไปบอกอาเสวียน เจ้าจงใจเทสุราใส่หน้าของมัน”

“เอาล่ะๆ ข้าไม่พูดแล้ว แต่ท่านเองก็คิดให้ดีหน่อยสิ ตู้รั่วไม่อยู่แล้ว วันข้างหน้ารับลูกศิษย์เพิ่มเถิด” อีกาไฟกลับไม่ได้ทำให้นางโกรธเคืองอย่างหาได้ยาก

มั่วชิงเฉินชะงัก แล้วเอ่ยว่า “ฟื้นคืนจากความตายมาได้ ศิษย์พี่และอาจารย์ไม่เกิดเรื่อง ข้าก็ควรจะซาบซึ้งในบุญคุณ ส่วนเรื่องลูกศิษย์นั้น…ข้าคงไม่รับอีกแล้ว”

เอ่ยไปพลางก็มองอีกาไฟแวบหนึ่ง “อู๋เย่ว์ เจ้านับวันยิ่งฉลาดขึ้นเรื่อยๆ นะ”

อีกาไฟสีหน้าได้ใจ “นานๆ ทีนายท่านจะพูดเรื่องจริงเช่นนี้ ช่วยไม่ได้ รากฐานข้าดี แต่เขาน้อยกับเจ้าแดงน้อยนั่นนะสิ นายท่านอย่าโกรธจนตายก็แล้วกัน”

เขาน้อยมองอีกาไฟด้วยสีหน้าเคารพศรัทธา “พี่หญิงอู๋เย่ว์ ท่านร้ายกาจมาก เขาน้อยคิดว่า ที่ท่านรู้ว่าเหตุใดนายท่านถึงไม่สบายใจ เป็นเพราะเคล็ดวิชาอ่านใจสินะ”

อีกาไฟพลันตะลึงงัน จากนั้นก็โกรธจนบินไปที่คอของเขาน้อย “เขาน้อย เจ้าโง่ นี่จงใจใช่ไหม”

“ข้า ข้าเปล่านะ…”

มองอสูรวิญญาณทะเลาะกัน มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าความกลัดกลุ้มใจมลายหายไปมาก เดินเข้าไปในเรือนด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นก็นั่งลง รอให้อารมณ์สงบแล้ว ก็ยื่นมือออกมาหยิบน้ำเต้าใบเล็กที่แขวนเอาไว้ตรงคอ หยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดในมือ

น้ำเต้านี้ มีประโยชน์มากในแดนผี ยามนี้ใช้ได้หรือไม่นะ

ความคิดเคลื่อนไหว ใส่พลังปราณเข้าไป

น้ำเต้าน้อยนิ่งสนิท ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

ผลลัพธ์นี้ อยู่เหนือความคาดหมายไปเล็กน้อย

มั่วชิงเฉินรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง พลังปราณของนางในตอนนี้ กล่าวได้ว่าใกล้เคียงกับพลังเดิมแล้ว หากไม่อาจกระตุ้นน้ำเต้าได้ แล้วกุญแจสำคัญของมันคืออะไรกันแน่

มั่วชิงเฉินหลับตาย้อนนึกถึงสิ่งที่เกิดในแดนผี

หรือว่ามีเพียงดวงวิญญาณเทานั้นที่จะเข้าไปในน้ำเต้าได้

ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมจะทำได้หรือไม่นะ

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด การถอดจิตวิญญาณดั้งเดิมออกจากร่างนั้นเป็นวิธีที่ไม่ปลอดภัย ต่อให้เป็นที่จวนพำนักของตนเอง มั่วชิงเฉินก็ยังวางค่ายกลอย่างระมัดระวัง ทารกปราณตัวน้อยออกมาจากหว่างคิ้ว วนล้อมรอบน้ำเต้า

ลังเลเล็กน้อย ทารกน้อยก็บินไปทางปากน้ำเต้า

พลังมหาศาลส่งมา ทารกน้อยถูกผลักตกพื้น

มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง

หรือว่าน้ำเต้านี้มีประโยชน์แค่ในแดนผี

ไม่ถูก หากเป็นเช่นนั้น ทำไมน้ำเต้านี้ถึงกระตุ้นสมุนไพรวิญญาณในแดนมนุษย์ได้กัน

มั่วชิงเฉินขบคิดซ้ำไปซ้ำมาในใจ ฉับพลันนั้นก็มีลำแสงสว่างวาบ

ยามที่เพิ่งเข้าสู่แดนผี น้ำเต้าก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จนถึงตอนที่ตนพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับแม่ทัพผี ถึงได้ถูกน้ำเต้าดูดเข้าไป

เช่นนั้น เป็นเพราะร่างวิญญาณในจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนไม่แข็งแกร่งตั้งแต่แรกใช่หรือไม่

มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างขมขื่น หากเป็นเช่นนั้น เท่ากับต้องฝึกฝนจิตวิญญาณดั้งเดิมให้ไปถึงขั้นนั้น ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกี่เดือน แม้กระทั่งชีวิตนี้จะทำสำเร็จหรือไม่

มีภูเขาสมบัติแต่ไม่อาจเข้าไปได้ มั่วชิงเฉินเสียใจเล็กน้อยแล้วจึงปล่อยวาง หยิบน้ำเต้าขึ้นมาแขวนไว้ที่คอของตนเอง

เมื่อก้มหน้าลง ถึงนึกได้ว่าตนเป็นทารกปราณที่ออกจากร่าง ตอนนี้ที่ถือน้ำเต้าใบน้อยอยู่นี้ก็คือร่างทารกปราณ

มองน้ำเต้าในมือ มั่วชิงเฉินพลันใจเต้น

นางสัมผัสได้ว่า การถือน้ำเต้าไว้เช่นนี้ ดีกว่าการเชื่อมโยงกับสิ่งที่คล้ายจะมีแต่ไม่มีอยู่เป็นอย่างมาก

เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มั่วชิงเฉินเอียงน้ำเต้ามา สุราสีเงินขาวไหลออกมา

มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกยินดี

ในแดนผี ที่พัฒนาขึ้นไปอยู่ในระดับอาจารย์ผีอย่างรวดเร็วเช่นนั้นได้ ก็เพราะนางฝึกฝนอยู่บนทะเลสาบสีเงินขาวในน้ำเต้า

หยดสุรานี้มี คุณสมบัติในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ!

แล้วเพราะว่าได้ไปเยือนในแดนผีมารอบหนึ่ง สุราชั้นเลิศที่เทออกมาจากน้ำเต้า ก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นเหมือนน้ำในทะเลสาบด้วยหรือไม่

ทารกน้อยบินกลับเข้าไปในร่าง มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น หยิบถ้วยใบเล็กออกมา ยกน้ำเต้าขึ้นมา

มองสุราสีใสที่คุ้นตาในถ้วย มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง

เหตุใดถึงเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้วเล่า

ขบคิดเล็กน้อย ก็หยิบถ้วยออกมาอีกใบ ทารกปราณออกจากร่างอีกครั้ง หยิบน้ำเต้าออกมาเทสุรา

คราวนี้สุราสีเงินขาวกลับไม่ได้ไหลออกมา มือของทารกปราณเริ่มสั่น ท่าทางเหมือนหมดแรงแล้ว น้ำเต้าตกลงสู่พื้น โชคดีที่สุราไม่ได้กระฉอกออกมา

มั่วชิงเฉินจ้องเขม็งไปยังน้ำเต้า คล้ายกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง

น้ำเต้านี้แน่นอนว่ามีประโยชน์ในแดนมนุษย์

แต่เพราะจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางในยามนี้ยังแข็งแกร่งไม่พอ ไม่พอจะเข้าไปในน้ำเต้า และไม่อาจเทสุราสีเงินขาวออกมาตามอำเภอใจได้

เมื่อขบคิดตามนั้น ผู้ที่ใช้น้ำเต้านี้ได้เกรงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตหรือแม้กระทั่งระดับแยกวิญญาณ!

หลิวซางเจินจวินเตือนพวกนางว่าห้ามใช้ดวงวิญญาณมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ยอมหยุดอยู่ที่ระดับก่อกำเนิด ไม่เดินทางลัดเช่นนี้

แล้วสุราสีเงินขาวนี้ จะเป็นทางลัดอีกทางหนึ่งหรือไม่

จิตวิญญาณดั้งเดิมของมั่วชิงเฉินกลับคืนสู่ร่าง ยกถ้วยใบน้อยขึ้นจิบ

ทารกปราณที่อยู่ในจุดตันเถียนนั่งสมาธิอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับตัวสั่นเทาน้อยๆ ความสั่นสะท้านส่งมาที่ส่วนลึกของจิตวิญญาณ

มีผลดังคาด!

บางทีอาจจะดีใจเกินไป มั่วชิงเฉินจึงดื่มสุราในถ้วยจนหมดโดยไม่รู้ตัว

ทารกปราณในจุดตันเถียนนั่งสมาธิพร้อมกับสะอึก ปรือตาทั้งสองข้างลง คาดไม่ถึงว่าจะหงายหลังล้มตึงลง

สีแดงก่ำปรากฏขึ้นที่พวงแก้ม ตาปรืออยู่ในอาการเมามาย เพลงกระบี่ที่เคยจดจำเอาไว้พลันวูบไหวไปมาไม่หยุดอยู่ภายในหัว มั่วชิงเฉินชักกระบี่ชิงมู่ออกมา จากนั้นก็เริงระบำ

ปราณกระบี่แผ่ออกมาภายนอก ค่ายกลเปล่งแสงระยิบระยับ คาดไม่ถึงว่าเปล่งเสียง เปรี๊ยะ แล้วปริแตกออกมาจากด้านใน

ต่อมาพลันรู้สึกว่าค่ายกลป้องกันภายในห้อง ไม่อาจยับยั้งการทำลายประตูเข้ามาของเยี่ยเทียนหยวนได้ เขากอดมั่วชิงเฉินเอาไว้อย่างอึ้งทึ้ง “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นอะไร”

ดวงตาดอกท้อมั่วชิงเฉินกะพริบปรือ ฉีกยิ้มอย่างงดงาม “ศิษย์พี่ ข้าเหมือนจะเมาแล้ว”