ตอนที่ 598 ทางช้างเผือกไหลลงจากสวรรค์

พันธกานต์ปราณอัคคี

เมาแล้วหรือ

เยี่ยเทียนหยวนเหลือบมองตั่งปราดหนึ่ง กวักมือคราหนึ่งถ้วยใบเล็กก็ลอยมา เขายกมันขึ้นสูดกลิ่นเบาๆ

มั่วชิงเฉินตาปรือน้อยๆ ยื่นนิ้วมือขาวผ่องออกไปสัมผัสปรางแก้มของเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่”

“ข้ากำลังดูว่าเป็นสุราอะไร ไยจึงดื่มแล้วเมา” เยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นอย่างสัตย์ซื่อ

มั่วชิงเฉินคว้าตัวเทียนหยวน แล้วหัวเราะแหะๆ “ตาทึ่ม ในถ้วยไม่มีสุราแล้ว สุราอยู่กับข้านี่”

ขณะพูดก็เอานิ้วชี้ริมฝีปากตน

เยี่ยเทียนหยวนหลั่งเหงื่อเย็ฯ “ศิษย์น้อง เจ้าเมาแล้วจริงๆ”

“ชู่…” มั่วชิงเฉินยื่นนิ้วขึ้นส่ายที่ริมฝีปาก ทันใดนั้นก็ผลักเยี่ยเทียนหยวนลงบนเตียง กลิ่นหอมอ่อนจางของสุราปัดผ่านแก้มของเขาดุจขนนก “ศิษย์พี่ ท่านจูบข้าเถิด”

ดวงตาทั้งสี่ดวงประสานกัน ใบหน้าของเยี่ยเทียนหยวนค่อยๆ แดงระเรื่อ

เห็นเยี่ยเทียนหยวนลังเลไม่ขยับตัว มั่วชิงเฉินก็กะพริบตาอย่างสงสัย ยื่นมือลูบแก้มเขา แล้วพูดขึ้นเสียงอู้อี้ “แปลกจัง หรือว่าจะจำคนผิด…”

เยี่ยเทียนหยวนแววตาเคร่งเครียด ประคองศีรษะของมั่วชิงเฉินแล้วกดแนบเข้ามาหาตัวเอง ย้อนถาม “จำคนผิดหรือ”

อายุขนาดนี้แล้ว มั่วชิงเฉินเพิ่งจะดื่มจนเมาเป็นครั้งแรก รู้สึกหัวมึนตื้อ ภาพตรงหน้าซ้อนทับกันไปหมด ได้ยินเยี่ยเทียนหยวนถามกลับก็หัวเราะแหะๆ ไม่หยุด “อย่ากังวลไปเลย ข้าเพียงทดสอบดูก็รู้แล้วว่าจำผิดหรือไม่…”

ศีรษะโน้มต่ำลง แล้วขบจมูกของเยี่ยเทียนหยวน

เยี่ยเทียนหยวนนิ่งอึ้ง

ลมหายใจร้อนผะผ่าวเจือด้วยกลิ่นหอมของสุราปะทะใบหน้า แทบจะทำให้ใจของเขาหลอมละลายไปกว่าครึ่ง

ก็ได้ยินเสียงคนที่อยู่บนตัวเขาพูดขึ้นพึมพำว่า “คงจำผิดคนจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้ตัวแข็งเช่นนี้…” พอพูดเสร็จก็พยายามจะลุกขึ้น

เยี่ยเทียนหยวนพลิกตัวกลับ แล้วกดตัวมั่วชิงเฉินไว้ด้านล่าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อยว่า “อย่าขยับ ยังทดสอบไม่จบเลย…”

โน้มศีรษะลงจุมพิตไปพลาง ยื่นมือไปปลดเสื้อของนางออกไปพลาง

เสียง ตึง พลันดังขึ้น

มั่วชิงเฉินยกเท้าขวาขึ้น แล้วถีบเยี่ยเทียนหยวนกระเด็นลงไปกับพื้น จากนั้นนางก็ลงจากเตียง ไม่ได้ใส่ใจเนินอกที่เผยออกมาครึ่งหนึ่ง นางพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจอย่างมากว่า “เจ้าคนร้าย อย่าคิดว่าข้าเมาแล้วจะล่วงเกินได้ จำคนผิดแท้ๆ ยังคิดจะลองให้จบ ถ้าเช่นนั้นข้าก็เสียหายสิ!”

พูดพลางเดินโซเซออกไปด้านนอก

เยี่ยเทียนหยวนกัดฟันลุกขึ้นยืน รีบเข้าไปคว้าแขนมั่วชิงเฉินเอาไว้ “ศิษย์น้อง เจ้าจะไปไหน”

การกระทำครั้งนี้ ทำให้รู้สึกว่าบริเวณที่ถูกเตะนั้นเจ็บปวดถึงขั้วหัวใจ

“ไปหาอาจารย์…บอกเขาว่ามีคนปลอมตัวเป็นศิษย์พี่คิดจะมาล่วงเกินข้า…” มั่วชิงเฉินพูดน้ำเสียงขาดๆ หายๆ

เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้ง

หากศิษย์น้องแต่งตัวเช่นนี้ไปหาศิษย์พี่เหอกวง ไม่สู้เอาชีวิตเขาไปเสียยังดีกว่า

มั่วชิงเฉินปัดมือเยี่ยเทียนหยวนออกแล้วเดินไปข้างนอก เยี่ยเทียนหยวนไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น รีบออกแรงดึงนางกลับมา

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง แควก แขนเสื้อขาดออกมาข้างหนึ่ง

มั่วชิงเฉินหยุดลง จากนั้นก็หรี่ตา

เยี่ยเทียนหยวนเหลียวมองที่ขาขวาของนางโดยสัญชาตญาณปราดหนึ่ง แล้วคิดว่าหากโดนเตะอีกสักหนึ่งที พรุ่งนี้ยังจะลุกได้ไหม

ในขณะที่กำลังตื่นตัวระวัง มั่วชิงเฉินก็โผเข้ามาทันที เขาตกใจรีบหลบไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว

แล้วก็เห็นนางถลาหัวทิ่มลงกับพื้น

เยี่ยเทียนหยวนเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว แล้วรวบตัวมั่วชิงเฉินเอาไว้ได้ทันในขณะที่ใบหน้านางกำลังจะสัมผัสพื้น

หญิงงามในอ้อมกอดหลับตานิ่ง ขนตาระริก ลมหายใจแผ่วเบา นางหลับไปเสียแล้ว

เยี่ยเทียนหยวนยิ้มขึ้นมาอย่างจนใจ แล้วอุ้มตัวมั่วชิงเฉินตัวไปวางลงบนเตียง

ทันทีที่ตื่นขึ้นมา มั่วชิงเฉินก็รีบดีดตัวดุจมัจฉาพลิกกระโดดออกจากเตียง จากนั้นก็มีเสียงครางดังขึ้นมา

“ศิษย์พี่ ไยเป็นท่าน” มั่วชิงเฉินในเวลานี้กำลังมึนหัวไปด้วยฤทธิ์ของสุราสำแดงท่าวิชากระบี่ออกมา ไม่รู้เลยสักนิดว่าวาจานี้จะทำร้ายจิตใจเพียงใด

เยี่ยเทียนหยวนหน้าบูดบึ้ง “ศิษย์น้อง เมื่อวานเจ้าดื่มไปเท่าไรกันแน่”

ถ้าไม่ใช่เขา แล้วเช่นนั้นจะเป็นใครกัน

มั่วชิงเฉินกะพริบตา แล้วแสงวิญญาณก็กลับคืนสู่สภาพเดิม มองไปยังรอยฟันที่อยู่บนจมูกของเยี่ยเทียนหยวนแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ นี่มัน คงไม่ใช่ข้าเป็นคนกัดกระมัง”

“อืม” เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าอย่างเฉยชา

มั่วชิงเฉินผลักเขาออก นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโกรธหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นใช้พลังวิญญาณปกป้องตัวเองก็ได้นี่ บนจมูกมีรอยฟันเช่นนี้สวยไหมเล่า”

“เจ้าเมาถึงขนาดนั้น ข้าเกรงว่าหากใช้พลังวิญญาณจะทำให้เจ้าฟันร่วงเอานะสิ” เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากพูด จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ข้าไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนี้หรอกนะ”

“ไม่ได้โกรธก็ดี” มั่วชิงเฉินยิ้มจนคิ้วโก่ง ก้มหน้าลงมอง แล้วหยิบชุดกระโปรงตัวหนึ่งออกมาใหม่ “ศิษย์พี่ ข้าจะไปหาอาจารย์สักรอบหนึ่ง”

เยี่ยเทียนหยวนยิ้มเหือด อารมณ์หงุดหงิดนั้นผุดขึ้นมาอย่างรุนแรงโดยพลัน

“ศิษย์พี่ ท่านจะไปกับข้าหรือไม่” มั่วชิงเฉินจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าตา พลางถามขึ้นโดยไม่แม้แต่หันไปมอง

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากข้างหลัง มั่วชิงเฉินก็หันตัวกลับ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยวนก็นิ่งอึ้ง เดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วนั่งลง มองไปยังเขาโดยไม่กะพริบตา แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ศิษย์พี่ ท่านโกรธจริงๆ นั่นแหละ ทำไมหรือ”

หวนคิดถึงฉากเหตุการณ์เมื่อวาน ก็เข้าใจขึ้นมาโดยพลัน แล้วยื่นมือไปคว้าที่กางเกงเยี่ยเทียนหยวน “หรือว่าเตะรุนแรงเกินไป ไหนให้ข้าดู…”

เยี่ยเทียนหยวนกุมกางเกงเอาไว้แน่น ใบหน้าแดงก่ำ แล้วพูดตะกุกตะกักด้วยความเก้อเขินว่า “ศิษย์…ศิษย์น้อง ไม่ต้องดูแล้ว ข้าไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนี้….”

กางเกงถูกดึงขาดเสียงดัง แควก เผยให้เห็นเนินก้นขาวผ่องราวกับหิมะ บนนั้นมีรอยเท้าสีเขียวช้ำดูสะดุดตาอย่างมาก

มั่วชิงเฉินรู้สึกผิดขึ้นมาทันที “ในเมื่อเตะไปแรงขนาดนี้ เดี๋ยวข้าช่วยท่านนวดสักหน่อยแล้วกัน”

ยังไม่ทันได้แตะโดน ก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนคว้าข้อมือเอาไว้ “ศิษย์น้อง นี่ไม่จำเป็นจริงๆ”

เมื่อเห็นนางสีหน้าดูสับสน ก็ยิ้มแหยหนึ่งที แอบคิดในใจว่านางหนูผู้นี้พอเป็นเรื่องนี้ก็ซื่อบื้อขึ้นมาทันที หากไม่ใช่…

พอคิดเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจ ความรู้สึกโมโหพลันหายมลายไป เขาเข้าไปกระซิบเบาๆ ข้างหูมั่วชิงเฉินว่า “ศิษย์น้อง เจ้าตื่นขึ้นมาเห็นข้ารู้สึกประหลาดใจไหม”

มั่วชิงเฉินได้สติกลับ ก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา “ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้เอง ตอนนั้นในหัวข้ามีแต่เคล็ดวิชากระบี่ นึกว่าตัวเองยังอยู่ในค่ายกลป้องกัน ใช่แล้ว ข้าจะไปยอดเขาป่าไผ่หน่อย อาจารย์เชี่ยวชาญวิชากระบี่ มีสองสามเรื่องที่ดูไม่ค่อยถูกต้องอยากจะปรึกษาเขาสักหน่อย ศิษย์พี่ ไม่ต้องโมโหแล้ว ไปกับข้าเถิด”

เห็นท่าทีตรงไปตรงมาของนาง เยี่ยเทียนหยวนก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่ช่ำชองเรื่องวิชากระบี่ ไม่รบกวนพวกเจ้าก็แล้วกัน สิบปีก่อนข้ากำราบวิญญาณไฟที่ดินแดนอัคคีให้เชื่องได้ วิญญาณไฟที่หลับใหลอยู่สิบปีเองก็อ่อนแอลง ช่วงเวลานี้ข้าคิดที่จะบำรุงดูแลมันสักหน่อย”

“วิญญาณไฟหรือ” มั่วชิงเฉินสีหน้ายินดีขึ้นมา “ศิษย์พี่กำราบสิ่งมีชีวิตวิญญาณระดับนี้ได้ นับว่าเป็นวาสนาอย่างแท้จริง ในเมื่อเช่นนี้ ท่านก็อย่าไข้วเขว รีบฝึกมันให้เชื่องแต่เร็ววันเถิด”

ไม้ ไฟ ดิน น้ำ ทอง เมื่อถึงระดับสุดยอดก็จะสามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตวิญญาณได้

สิ่งมีชีวิตวิญญาณนี้ไม่ใช่ร่างพลังงานบริสุทธิ์ แต่เป็นวิญญาณมีชีวิตที่แท้จริง เพียงแต่วิญญาณมีชีวิตชนิดนี้ไม่มีร่างกายจริง

วิญญาณมีชีวิตที่ไม่มีร่างกายแต่อานุภาพยิ่งใหญ่ คือการดำรงอยู่อันสูงสุดอย่างแท้จริง เพราะการเกิดของพวกมันหลุดพ้นจากพันธนาการของร่างกาย

หากเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นมนุษย์ การบำเพ็ญพรตในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรแบ่งออกเป็นเก้าระดับคือ ระดับหลอมลมปราณ ระดับสร้างรากฐาน ระดับก่อแก่นปราณ ระดับก่อกำเนิด ระดับถอดดวงจิต ระดับแยกวิญญาณ ระดับผสานร่าง ระดับพิชิตเคราะห์กรรม และระดับมหายาน

สองสามระดับแรกไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก สำหรับระดับก่อกำเนิดเป็นต้นไป ดวงจิตดั้งเดิมของผู้บำเพ็ญเพียรสามารถหลุดพ้นจากกายเนื้อ เมื่อถึงระดับถอดดวงจิต ถึงจะนับเป็นการถอดดวงจิตดั้งเดิมที่แท้จริง แต่เหล่านี้ก็ยังคงเป็นเพียงขั้นต้นของการฝึกฝนดวงจิตดั้งเดิม

บันทึกในตำราโบราณ เมื่อฝึกฝนดวงจิตดั้งเดิมถึงระดับสูงสุด กายเนื้อก็จะสลายไป แล้วกลายเป็นดวงจิตดั้งเดิมจำนวนมากมายแตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นๆ

ดวงจิตดั้งเดิมแต่ละดวงล้วนแต่มีพลังอันยิ่งใหญ่ สามารถใช้สมบัติวิเศษในการต่อสู้ และนี่ก็คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับแยกวิญญาณ

หากฝึกบำเพ็ญต่อไป เมื่อดวงจิตดั้งเดิมเหล่านี้รวมกันเป็นหนึ่ง ก็จะเลื่อนขึ้นสูงระดับที่สูงขึ้น นั่นก็คือระดับผสานร่าง

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานร่าง การฝึกบำเพ็ญเพียรจะกลายเป็นเรื่องรอง ในระดับนี้สำคัญที่สุดคือการเตรียมเข้าสู่ระดับพิชิตเคราะห์กรรม หากผ่านพ้นเคราะห์สวรรค์เข้าสู่ระดับมหายานได้ ก็รอเพียงเวลาที่จะโบยบินขึ้นสู่ความเป็นเซียน

ลักษณะเด่นของระดับเหล่านี้เป็นความรู้ทั่วไปพื้นฐานที่สุดในยุคโบราณ แต่พอถึงปัจจุบันผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากกลับไม่รู้ มีเพียงผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดอย่างมั่วชิงเฉินถึงจะมีโอกาสได้อ่านตำราโบราณที่เก็บรักษาในสำนัก

นางก็เคยรู้สึกแปลกใจว่า หากถึงระดับแยกวิญญาณกายเนื้อสลาย แบ่งออกเป็นดวงจิตมากมาย นั่นไม่เท่ากับว่ามีตัวตนของตัวเองที่เหมือนกันจำนวนมากหรือ

นิสัยใจคอและความคิดของพวกนางล้วนแต่เหมือนกันหรือเปล่า หรือว่า จิตแต่ละดวงไม่เหมือนกัน

หากแตกต่างกัน เช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าเป็นคนละคนกันหรือ แล้วดวงจิตดวงไหนจะเป็นเจ้ากัน

การบำเพ็ญพรตในระดับสูง ช่างน่าอัศจรรย์และดึงดูดเสียจริง

จะว่าไปแล้ว วิญญาณมีชีวิตอย่างเช่นวิญญาณไฟ พูดถึงความสามารถแล้วก็คงเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับแยกวิญญาณไม่ได้ แต่อยู่ระดับชั้นเดียวกัน

ก็เหมือนกับพญาหงส์ที่เพิ่งเกิด ต่อให้เป็นเพียงระดับหนึ่ง ก็ยังมีเกียรติเหนืออีกาไฟระดับหก

(อู๋เย่ว์ที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่บนต้นท้อจู่ๆ ก็จามออกมา มันพูดพึมพำว่า “ใครคิดถึงข้ากันละนี่”)

มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรหากกำราบวิญญาณทั้งห้าธาตุได้ ไม่ต้องพูดถึงความสามารถที่เพิ่มขึ้นเหลือประมาณ หนำซ้ำยิ่งดวงจิตสามารถเชื่อมต่อกับวิญญาณทั้งห้าธาตุได้มากขึ้น ก็จะมีจิตสัมผัสอันน่ามหัศจรรย์ มีประโยชน์ต่อการเลื่อนระดับ

มั่วชิงเฉินออกจากยอดเขาลั่วเฉิน เพียงไม่นานก็ถึงบนยอดเขาป่าไผ่

คาถาสำหรับเข้าสู่ยอดเขาป่าไผ่นางรู้ดี จะเข้าไปเสียเฉยๆ นั้นดูไร้มารยาท แต่จะเปิดค่ายกลอย่างเป็นทางการก็ดูออกจะเหินห่างไป จึงตะโกนเรียกขึ้นว่า “อาจารย์ ข้าขอเข้าไปนะเจ้าคะ”

ไป๋จั่นหนิงมองไปยังกู้หลีอย่างประหลาดใจ “พี่กู้ ลูกศิษย์ของเจ้ามาเร็วอะไรขนาดนี้!”

กู้หลีไม่ได้ต่อข้อความ เขาตะโกนกลับไปเช่นกันว่า “เข้ามาเลย รบกวนคนจะหลับจะนอนไม่ดีนะ”

มั่วชิงเฉินเพียงชั่วครู่ก็เข้ามา ทักทายไป๋จั่นหนิง จากนั้นก็เดินไปข้างกายกู้หลี “อาจารย์ วันนี้ศิษย์มีเรื่องอยากจะขอปรึกษาท่านเจ้าค่ะ”

กู้หลีชำเลืองขึ้นก็เห็นนางยิ้ม “เรื่องอันใดหรือ”

“ศิษย์อยากพูดคุยกับท่านเกี่ยวกับเรื่องวิชากระบี่ อาจารย์ พวกเราไปที่น้ำตกด้านหลังภูเขากันเถิดเจ้าค่ะ”

“ได้” กู้หลีลุกขึ้นยืน มองไปยังไป๋จั่นหนิงแล้วพูดขึ้นว่า “พี่ไป๋ ในเมื่อเช่นนี้ ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”

“โถๆ ขอดูไม่ได้หรือ…” ไป๋จั่นหนิงพูดไม่ทันจบ ศิษย์อาจารย์ทั้งสองคนก็เดินไปไกลแล้ว

“กู้เหอกวง เจ้ามันไอ้ทึ่มที่ปากไม่ตรงกับใจ นี่มันเห็นผู้หญิงดีกว่าสหายของแท้ เจ้าคนเห็นผู้หญิงดีกว่าสหาย”

“นายท่าน อยากได้ร้อนใจไปเลย” อาเสวียนพูดขึ้นเยาะ

ไป๋จั่นหนิงถลึงตาใส่อาเสวียนหนึ่งที “อาเสวียน หากเจ้าพูดเยาะเย้ยข้าอีก คราวหน้าจะไม่พาเจ้ามาด้วยแล้ว”

อาเสวียนเบะปาก “ถ้าไม่พาข้ามา ท่านจะมีสุราดื่มหรือ”

ไป๋จั่นหนิงพูดไม่ออก…

ข้างน้ำตก มั่วชิงเฉินเอากระบี่ชิงมู่ออกมากวัดแกว่งอยู่หนึ่งรอบ แล้วหายใจหอบพูดขึ้นว่า “อาจารย์ นี่คือวิชากระบี่โบราณที่ข้าค้นพบจากในสมบัติวิเศษโบราณชิ้นหนึ่ง เมื่อวานฉุกคิดขึ้นมาได้จึงสำแดงวิชาไปรอบ ดูเหมือนจะได้เรียนรู้ แต่ก็มีอยู่หลายจุดที่รู้สึกเหมือนกับเส้นผมบังภูเขา ไม่รู้ว่าจำผิดหรือว่ายังเข้าใจไม่ถ่องแท้กันแน่ ท่านว่า มีปัญหาตรงไหนเจ้าค่ะ ”

กู้หลีเงียบอยู่ชั่วครู่ แล้วเอากระบี่ชิงมู่ออกมาตวัดเหวี่ยง

ตอนแรกดูเหมือนกำลังพยายามเรียนรู้ ท่าทีดูยังไม่คล่องแคล่ว จากนั้นก็ค่อยค่อยลื่นไหลมากขึ้น เงากระบี่ชิงมู่พลิ้วไหวดั่งสายน้ำ งดงามจนไม่อาจบรรยาย

บนท้องฟ้ามีเมฆกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ป่าไผ่อันสง่างามราวกับกำลังขับขานบทเพลง

น้ำตกที่ไหลซู่ราวกับถูกแสงจากกระบี่สะกดเอาไว้ ค่อยๆ ไหลย้อนกลับ รวมกับก้อนเมฆบนท้องฟ้ากลายเป็นแถบเดียวกัน

มั่วชิงเฉินเห็นปรากฏการณ์อันน่าประหลาดก็ตะลึง