ตอนที่ 599 กระบี่ประสานใจ

พันธกานต์ปราณอัคคี

เคล็ดวิชากระบี่ที่วิญญาณกระบี่ซึ่งอยู่ในค่ายกลกระบี่โบราณที่ไม่สมบูรณ์แสดงออกมาชุดนี้ มั่วชิงเฉินคาดคะเน อย่างน้อยต้องเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถระดับถอดดวงจิตฝึกฝน

เป็นเพราะว่าระดับต่างกัน ถึงแม้ว่านางจะพยายามเต็มที่เพื่อจดจำ แต่ก็จำได้เพียงส่วนน้อย อีกทั้งส่วนน้อยนี้ก็ไม่ได้เชื่อมต่อกัน โดยเฉพาะต่อมา ท่วงท่าเหล่านั้นต่างเป็นเศษเสี้ยว หนำซ้ำบางท่วงท่ายังมีเพียงครึ่งๆ กลางๆ อีก

แต่ท่วงท่าที่มีเพียงเศษเสี้ยวเหล่านี้ เมื่อกู้หลีเป็นผู้แสดงออกมา กลับดูพลิ้วไหว สำเร็จได้ในรวดเดียว ราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของเคล็ดวิชากระบี่ชุดนี้ ได้ฝึกฝนมานับพันนับร้อยครั้ง

ปราณกระบี่พุ่งขึ้นสู่ฟ้า ปรากฏการอัศจรรย์ที่ยอดเขาป่าไผ่ถูกรับรู้โดยผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงแห่งเหยากวง มีคนบินทะยานลัดฟ้าเพื่อมาดูยังที่นี่

มั่วชิงเฉินได้สติกลับจากความตื่นตะลึงในตอนแรก เมื่อเห็นกู้หลีที่ตวัดกระบี่ร่ายรำ ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา สีหน้าดูยากจะเชื่อ

ในที่สุดนางก็มองออก ว่าทำไมท่ากระบี่ที่ไม่ปะติดปะต่อนั้นเหล่านั้นจึงเชื่อมต่อเป็นอันเดียวกัน ลื่นไหลไม่ขาดตอน ในนั้นเห็นได้ชัดว่ามีเงาเคล็ดกระบี่รุ่งโรจน์โรยราของอาจารย์อยู่!

ส่วนที่ขาดหายไปของเคล็ดกระบี่โบราณ ถูกเขาใช้เคล็ดกระบี่รุ่งโรจน์โรยรามาเติมส่วนที่ขาดหายไป วิชากระบี่ที่มีเพียงครึ่งเดียว ก็ถูกเขาใช้เคล็ดวิชากระบี่ส่วนหนึ่ง มาเติมต่อจนสมบูรณ์แบบ

มั่วชิงเฉินจิตใจโหมกระเพื่อม อาจารย์เขา นี่มันสร้างเคล็ดวิชาขึ้นเองนี่!

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ตระหนักรู้มรรคาแห่งเต๋า ในใจมีสรรพสัตว์ กว้างขวางดุจมหาสมุทรร้อยสาย การจะสร้างวิชาขึ้นมาให้เหมาะสมกับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลก แต่กระบวนการนี่ไม่ได้เป็นไปงายดาย

มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงว่า กู้หลีเพียงแค่ดูการฝึกกระบี่โบราณของนางเพียงครั้งเดียว ก็สามารถใช้มันเป็นพื้นฐาน สร้างเคล็ดวิชากระบี่ขึ้นมาใหม่ได้

การรำกระบี่ยังดำเนินต่อเนื่อง สุดท้ายก็ไม่เห็นเคล็ดวิชากระบี่โบราณ เหลือเพียงแต่เงาของรุ่งโรจน์โรยรา กู้หลีกวัดแกว่งกระบี่รอบแล้วรอบเล่า ดูราวกับว่ากำลังมองหาจุด ที่จะทำให้รุ่งโรจน์โรยราได้พัฒนาไปอีกขั้น

เจตจำนงกระบี่อันต่อเนื่องคลุมครอบมั่วชิงเฉิน

มั่วชิงเฉินมองอย่างลุ่มหลง ใจคล้อยไปตามจังหวะกระบี่ที่ขึ้นลง รู้สึกเหมือนกับเจตจำนงกระบี่อันต่อเนื่องนั้นกำลังเรียกหา

นิ้วขยับหนึ่งที กระบี่ชิงมู่ก็ขยับเคลื่อนตามราวกับว่ามันมีจิตรับรู้ของตัวเอง

เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้เผยออกมา

คนในชุดสีครามและในชุดสีเทารำกระบี่ประสานกัน กระบี่ชิงมู่คู่หนึ่งกระทบกันแล้วแยกออก คนทั้งสองค่อยๆ ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ สลับกันไปมา แสงวิญญาณส่องสว่างไปครึ่งท้องฟ้า

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่ตามมาถึงพลันหยุดนิ่งกลางอากาศ คนสองสามคนรวมตัวกัน เฝ้ามองอย่างไม่กะพริบตา

ขึ้นแล้วลง แผ่ออกแล้วคลาย

ในวินาทีนี้ นางรวม เขาแยก นางถือกำเนิด เขาดับสลาย นางแผ่กระจาย เขารวมเป็นหนึ่ง นางคือตะวันอรุโณทัย เขาคือสายัณห์อัสดง นางคือฤดูใบไม้ผลิชีวิตชีวากลับคืนสู่โลก เขาคือฤดูใบไม้ร่วงแห้งเหี่ยวโรยรา

เจตจำนงกระบี่ทั้งสองประจัญกัน ตวัดพันรัด เกิดขึ้นแล้วดับไป มืดครึ้มส่องสว่าง บรรจบแล้วแยกจาก ราวกับครึ่งวงกลมที่มาบรรจบกัน ประกบเข้าด้วยกัน ในที่สุดก็สมบูรณ์

ทุกอย่างค่อยๆ สงบลง เงาร่างสองคนในชุดสีครามและเทาหยุดลงพร้อมกัน กระบี่ชิงมู่ตวัดรัดกันก็แยกออก เหลือเพียงคนทั้งสองและสายตาสี่ดวงที่มองกัน ยังคงจมดิ่งอยู่ในความรู้สึกอันน่าอัศจรรย์

ผู้ที่มุงดูอยู่ทั้งหมด ในเวลานี้ต่างเงียบไม่มีเสียง กลัวว่าหากพูดอะไรออกมา ก็จะทำลายบรรยากาศอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ไป

ผู้ที่ได้เก็บเกี่ยว ไม่ได้มีเพียงแต่ผู้ที่รำกระบี่

ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นเรียงราย

มั่วชิงเฉินในที่สุดก็สะดุ้งตื่น มองไปยังกู้หลีอยู่ในระยะประชิดแล้วร้องขึ้นด้วยความลนลานว่า “อาจารย์”

นางรู้มาโดยตลอดว่า เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้และเคล็ดกระบี่รุ่งโรจน์โรยราคือเคล็ดควิชากระบี่สองชุดที่แยกออกมาจากชุดเดียวกัน เมื่อประสานกันแล้วก็จะเผยอนุภาพอันยิ่งใหญ่ออกมา

ในอดีตทั้งสองคนต่างเคยศึกษามานับครั้งไม่ถ้วน แต่อาจเป็นเพราะระดับนั้นแต่งต่างกันมาก จึงไม่ได้มีความสอดประสานกันลงตัวเช่นนี้มาก่อน

ในเวลานั้น ในใจของนางไม่มีความคิดสิ่งใด ราวกับกลายเป็นคนเดียวกันกับอีกฝ่าย แสดงเคล็ดวิชากระบี่ทั้งสองออกมาพร้อมกัน

สติสัมปชัญญะกลับคืน แต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย จนกระทั่งรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นคนที่อยู่ต่อหน้า

กู้หลีเพียงแต่ยิ้ม “ลงไปกันเถอะ”

พูดจบก็หันกาย แล้วบินลงไปด้านล่าง

“เหอกวง ยินดีกับเจ้าด้วย วิชากระบี่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง” หลิวซางเจินจวินพูดด้วยรอยยิ้มยินดี

กู้หลียิ้มบางหนึ่งที “อาจารย์ชมเกินไปแล้ว เหอกวงได้รับความสำเร็จ เป็นเพราะได้ลูกศิษย์คอยช่วยเหลือ”

เมื่อครู่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยฝึกเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ แต่เป็นเพราะว่าจิตเชื่อมต่อกับมั่วชิงเฉิน จึงรับรู้ได้ถึงความยอดเยี่ยมของเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ ผสานกับวิชากระบี่โบราณ จึงสามารถสร้างเคล็ดวิชากระบี่ออกมาได้ด้วยตนเองหนึ่งชุด

เคล็ดวิชากระบี่ชุดนี้ เกิดจากการหลอมรวมกันของเคล็ดวิชากระบี่โบราณ เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ และเคล็ดวิชากระบี่รุ่งโรจน์โรยรา ระดับจึงขึ้นไปสู่ขั้นสูง

ในเวลานี้ระดับการบำเพ็ญเพียรของกู้หลีถึงแม้ว่าจะไม่เพิ่มขึ้น แต่จิตใจและความสามารถกลับก้าวขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น นี่ต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ

ที่สำคัญก็คือเขาสามารถสร้างเคล็ดวิชากระบี่ที่เหนือกว่าระดับของตนได้ ในภายหลังการก้าวหน้าย่อมง่ายกว่าคนอื่นมาก

หลิวซางเจินจวินรู้สึกชื่นชมเป็นการใหญ่ มองไปยังเจินจวินระดับก่อกำเนิดสองสามคนที่ตามมาปราดหนึ่ง “มาๆ วันนี้พวกเรามาดื่มที่ยอดเขาป่าไผ่กันสักจอก”

พูดเสร็จก็มองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่กำลังมุงดูกันอยู่ แล้วส่ายมือ “ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว”

เสวียนหั่วเจินจวินเข้ามาร่วม พูดอู้อี้ว่า “ศิษย์พี่ประมุขพรรค ทำไมข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าจะยินดีเป็นพิเศษนะ”

หลิวซางเจินจวินพยักหน้า “นั่นย่อมใช่อยู่แล้ว นับแต่ดินแดนวิญญาณสวรรค์ปรากฏ อีกทั้งเรื่องราวในวันนั้นของชิงเฉินและลั่วหยาง ไหนจะการบรรลุของกู้หลีในวันนี้ ข้าย่อมรู้สึกว่าสวรรค์ลิขิต ดูเหมือนว่าสภาพการณ์ของโลกผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่คืบหน้านั้นถูกทลายลงแล้ว พวกเราสหายเก่าแก่ทั้งหลาย ไม่แน่ว่าจะพลอยโชคดีกับพวกเขาด้วย”

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองสามคนได้ยินเช่นนั้นก็หัวใจกระเพื่อม ยกแก้วขึ้นมาร่ำสุรากัน

มั่วชิงเฉินแอบออกไปจากยอดเขาป่าไผ่เงียบๆ กลับไปยังยอดเขาลั่วเฉิน พบว่าเยี่ยเทียนหยวนได้กักตัวเองแล้ว จึงได้เดินเข้าไปที่ห้องฝึกบำเพ็ญอีกห้องหนึ่ง แล้วจัดวางค่ายกลถอดทารกปราณออกจากร่าง รวบรวมสุราชั้นดีครึ่งจอก

กรอกสุราสำหรับหล่อเลี้ยงดวงจิตดั้งเดิมเข้าไปในน้ำเต้า จิตวิญญาณดูอ่อนล้าเล็กน้อย จึงล่องลอยออกไป ในที่สุดก็ลอยไปถึงยังหุบเขาลึกลับแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

มองไปยังปากทางหุบเขา มั่วชิงเฉินแย้มรอยยิ้มออกมาหนึ่งทีโดยไม่รู้ตัว วาสนาของนางและศิษย์พี่ เดินขึ้น ณ ที่แห่งนี้สินะ

เอ๊ะ ข้างในมีคนหรือ

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วหนึ่งที แล้วเดินเข้าไปเงียบๆ

ในบ่อน้ำพุร้อน มีหญิงสาวผู้หนึ่งหันหลังให้กับนาง กำลังร้องไห้จนตัวสั่น

สถานที่ลับในใจถูกคนบุกรุก มั่วชิงเฉินถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ นางกระแอมขึ้นมาหนึ่งที

หญิงสาวนางนั้นร้องขึ้นด้วยความตกใจ เอามือทั้งคู่ปิดหน้าอกแล้วหันหน้ามา “ใครกันน่ะ!”

“ที่แท้ก็คือเจ้าเอง” มั่วชิงเฉินเห็นหญิงสาวผู้นั้นชัด มุมปากก็ยกยิ้ม

“ชิง…ชิงเฉินเจินจวินหรือ” หญิงสาวชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตั้งสติกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ลนลานเหมือนลูกศิษย์ระดับล่างทั่วไป นางสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วด้วยความสุขุมแล้วเดินมาด้านหน้ามั่วชิงเฉิน กราบลงเงียบๆ

“ลุกขึ้นเถอะ” มั่วชิงเฉินพิจารณาหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า รู้สึกชื่นชมในความสุขุมของนางอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ “ข้าจำได้ว่า ตอนที่เห็นเจ้าเมื่อสิบปีก่อน เป็นระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด”

ผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณสวรรค์คนหนึ่ง เวลาผ่านไปสิบปีกลับฝึกฝนได้เพียงระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์เท่านั้น เป็นเรื่องที่น่าแปลก

“อนุชนโง่เขลา” หญิงสาวก้มหน้าเอ่ย

การร่ายรำกระบี่ประสานใจเป็นหนึ่งกับกู้หลี ทำให้มั่วชิงเฉินเกิดความรู้สึกโหวงเหวงอย่างยากจะอธิบาย กับหญิงสาวผู้ซึ่งเคยพบหน้าเพียงสองครั้ง ก็รู้สึกสนใจที่จะพูดคุยขึ้นมา “เกรงว่าไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เขา แต่เพราะว่ามีปมในใจต่างหาก”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นขวับ “เจินจวิน…”

มั่วชิงเฉินยิ้มบางหนึ่งที “ข้าไม่ปรารถนาที่จะสอบถามเรื่องของเจ้า แต่ในฐานะผู้อาวุโส อยากจะเตือนเจ้าสักคำว่า กาลเวลาผ่านไปอย่างง่ายดาย อย่าได้ทำให้ฟ้าต้องผิดหวังที่มอบรักให้กับเจ้า มัวแต่สงสารตัวเอง เช่นนั้นไร้ประโยชน์ที่สุด”

หญิงสาวชะงัก สักครู่หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “เจินจวิน ท่านรู้หรือว่าอนุชนเป็นรากวิญญาณสวรรค์”

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “เช่นนั้นแล้วอย่างไร นางหนูน้อย ลูกศิษย์พรรคเหยากวงนับพันนับหมื่น ผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณสวรรค์ไม่ได้มีแค่เจ้าคนเดียว”

หญิงสาวเม้มปากแน่น นิ่งเงียบไม่พูดอยู่นาน

มั่วชิงเฉินยิ้มขึ้นมา หันกายกำลังจะเดินจากไป ก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากด้านหลัง “ผู้อาวุโส ท่านจะยอมฟังเรื่องของอนุชนสักเรื่องหนึ่งหรือไม่”

นางสัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง จึงพูดขึ้นเสียงเรียบว่า “หากเจ้าอยากพูดก็พูดมาเถอะ”

หญิงสาวจึงเริ่มพูดขึ้นมา

เดิมที่นางมีชื่อว่าเซียวฉวิน บิดามารดารักใคร่ตามใจตั้งแต่เด็กจนโต ในปีที่อายุได้สิบหกปีตระกูลก็ถูกทำลายล้าง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อความเป็นความตาย บิดามารดาได้ทอดทิ้งนาง แล้วช่วยเหลือน้องชายที่มีความสามารถเทียบนางไม่ติด นับแต่นั้นมา นางจึงยากจะเชื่อใจใครได้อีก มีวาสนาได้เป็นลูกศิษย์นอกสำนักของเหยากวง แต่ก็ยังไม่กล้าให้ผู้ใดรู้ถึงความพิเศษของตน นางกลัวว่าจะต้องเป็นเครื่องเซ่นสังเวยอีกครั้ง

เซียวฉวินเล่าจบ มั่วชิงเฉินก็หันหน้ามา “ข้าก็เล่าเรื่องให้เจ้าฟังสักเรื่องแล้วกัน”

จากนั้นนางก็เล่าประสบการณ์ในสมัยที่นางและต้วนชิงเกอเป็นลูกศิษย์ทำหน้าที่สัพเพเหระ สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “โลกแห่งการบำเพ็ญพรตแต่ไหนแต่ไรก็อันตราย แต่ก็มีโอกาสนับไม่ถ้วน คอยแต่เก็บตัวปฏิเสธทุกสิ่ง ดูเหมือนกับสงบนิ่ง แต่ความจริงแล้วมันสูญเสียเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้มากนัก”

หากตอนนั้นนางและต้วนชิงเกอทำตัวสงบเสงี่ยม ตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่ใช่สภาพเช่นนี้

เซียวฉวินใคร่ครวญคำพูดของมั่วชิงเฉิน ทันใดนั้นก็คุกเข่าลง “ผู้อาวุโส อนุชนบังอาจขอร้องท่าน สามารถรับข้าเป็นลูกศิษย์เป็นทางการได้ไหมเจ้าคะ”

ดวงตาคู่งามของหญิงสาวเป็นประกาย ดูกระสับกระส่าย เจือด้วยความคาดหวัง

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่มีความคิดที่จะรับลูกศิษย์”

เด็กหนุ่มที่ฉลาดและสุขุมผู้นั้น ผู้ซึ่งคอยยืนเงียบๆ อยู่หลังนางตลอด ค่อยๆ กลายเป็นชายชาตรีผู้สง่างามอย่างไร้ที่ติ ยังไม่ทันสมบูรณ์ก็เลือนหายไปราวกับสายลม เหลือเพียงแก่นทองคำเม็ดนั้นให้กับนาง

ลูกศิษย์ของนาง มีเพียงตู้รั่วเท่านั้น

ประกายในตาของเซียวฉวินเลือนหายไป

“ไว้นักพรตซู่เหยียนกลับมา ข้าจะให้นางพบกับเจ้า คิดว่านางคงชอบ” มั่วชิงเฉินพูดทิ้งท้าย จากนั้นก็ลอยจากไป

ครึ่งปีให้หลังต้วนชิงเกอกลับมา นางชอบเซียวฉวินตามคาด สำหรับนางแล้ว นี่ดูเหมือนกับการได้พบร่างเงาของตัวเองในอดีต

เซียวฉวินกลายเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของต้วนชิงเกอ เพียงเวลาอันสั้นก็โดดเด่นขึ้นมา กลายเป็นดาวดวงใหม่ที่ส่องประกายท่ามกลางบรรดาลูกศิษย์วัยเยาว์ทั้งหลาย

มั่วชิงเฉินไม่ค่อยออกไปไหน เวลาส่วนมากจะสงบจิตฝึกบำเพ็ญเพียรยอดเขาลั่วเฉิน และเก็บรวบรวมสุราหล่อเลี้ยงดวงจิต ชีวิตผ่านไปอย่างเงียบสงบไม่มีอะไร

ในวันหนึ่งได้รับข่าวแจ้งว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองสามคนจะไปจากภูเขาเพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์มี่หลัวตูอีกครั้ง ผู้ที่จะไปได้แก่กู้หลี เหิงตั๋วเจินจวิน ไป๋จั่นหนิงรวมถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอย่างต้วนชิงเกอและถังมู่เฉินด้วย

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองสามคนรวมถึงมั่วชิงเฉินอยู่เฝ้าสำนักส่งทั้งหมดเดินทาง อีกาไฟมองไปยังอาเสวียนด้วยใบหน้าโศกเศร้า ประหนึ่งว่าจะล้มหายตายจากกันไป อาเสวียนเช่นนั้นก็เหยียดมุมปาก เชิดหน้ามองฟ้า

มั่วชิงเฉินแอบรู้สึกเคืองที่อู๋เยว่ทำตัวน่าผิดหวัง นางเอาสุราเลิศรสที่เก็บสะสมยื่นใส่มือกู้หลี แล้วกำชับว่า “อาจารย์ นี่คือสุราชั้นดีที่ศิษย์ตั้งใจบ่มให้ท่าน อย่าได้ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องดื่มนะเจ้าคะ”

“ชิงเฉิน ข้าคือสหายสนิทที่สุดของอาจารย์เจ้า ไม่ใช่คนที่ไม่เกี่ยวข้องหรอกใช่ไหม” ไป๋จั่นหนิงรีบพูด

มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะหนึ่งที “ข้าหมายถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้าและอู๋เย่ว์ อาจารย์ ท่านจำให้ดีนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าจะโกรธจริงๆ ด้วย”

กู้หลีรับคำด้วยรอยยิ้ม

ไป๋จั่นหนิงหยิกปีกของอาเสวียน แล้วเดินตามผู้คนจากไปด้วยใบหน้าหงุดหงิด

พรรคเหยากวงกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ผ่านไปอีกสองสามปีเยี่ยเทียนหยวนกำราบวิญญาณไฟให้เชื่องได้สำเร็จ แต่ติดด้วยคำสั่งของหลิวซางเจินจวินจึงไม่อาจไปจากภูเขาได้ พักผ่อนอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งสองคนก็เริ่มกักตัวเข้าคู่บำเพ็ญ

เป็นเพราะความทุลักทุเลในครั้งก่อนๆ จิตใจและดวงจิตของพวกเขาจึงได้ยกระดับสูงขึ้นไปกว่าระดับการบำเพ็ญเพียร ไม่ได้ติดขัดลำบาก เมื่อมั่วชิงเฉินอายุได้สองร้อยปี ทั้งคู่ก็ได้เข้าสู่ระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง