บทที่ 106 การปล้นชิงคือวิธีร่ำรวยที่เร็วที่สุด ! (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 106 การปล้นชิงคือวิธีร่ำรวยที่เร็วที่สุด ! (ปลาย)

พวกเขาทั้งสองเดินผ่านช่องรูนั้นและมาถึงตำหนักจ้าวกระบี่จนได้ ที่แท้สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตเป็นพิเศษ มันสว่างไสวด้วยแสงสลัวจากสิ่งที่ไม่รู้จัก แต่กระนั้นกลับทำให้ตำหนักแห่งนี้ดูต้องมนต์ขลังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น

เยี่ยฉวนมองขึ้นไปที่กระบี่สีดำเหนือศีรษะ มันมีความยาวกว่า 27 ชุ่น สีดำสนิทราวกับสร้างขึ้นมาจากหมึก แต่จุดบนกระบี่กลับเป็นสีแดงเลือดดูคล้ายสีชาดเล็กน้อย โดยขณะเดียวกันนั้นตัวกระบี่ก็ได้ลอยอยู่เหนือที่ พำนัก !

เมื่อเพ่งมองไปที่กระบี่สีดำเล่มนั้น สองตาของเยี่ยฉวนก็เริ่มร้อนขึ้น

สัญชาตญาณของเขาบอกว่าระดับของกระบี่เล่มนี้ไม่มีทางต่ำแน่นอน !

ทันใดนั้นองค์หญิงเก้าพลันเดินตรงไปยังประตูตำหนัก เยี่ยฉวนที่เห็นดังนั้นจึงรีบคว้าแขนนางไว้ทันที หญิงสาวมองเยี่ยฉวน แต่ทว่าชายหนุ่มกลับส่ายหน้า จากนั้นเขาถึงได้ปล่อยมือ ก่อนเยี่ยฉวนจะหันมองประตูตำหนักแห่งนี้และย่นคิ้ว สัญชาตญาณของเขาบอกว่ามันอันตรายไม่น้อย !

จังหวะนั้นเอง เยี่ยฉวนและองค์หญิงเก้าก็หันหน้าไปทางด้านขวา มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินเข้าไปในที่พำนัก ฝ่ายชายคนนี้สวมชุดคลุมสีขาวดำลายขวาง ส่วนฝ่ายหญิงสวมชุดคลุมสีขาวดำเป็นกระโปรงลายทาง ยาว ทั้งสองคนนั้นดูโดดเด่นมาก

พวกเขาทั้งสองต่างมองมาที่เยี่ยฉวนและองค์หญิงเก้าแต่ไม่ได้พูดอะไร

“รอเดี๋ยว ! ประเดี๋ยวก่อน !”

ในตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาในลานกว้าง ในไม่ช้าร่างเงาที่ดูพร่าเลือนพลันปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับชายคนหนึ่งที่อยู่ตรงบันไดหินด้านล่างประตูของที่พำนัก เขาสวมเพียงเสื้อคลุมสีดำหลวม และซ่อน มือเอาไว้ในแขนเสื้อ ที่มุมปากยกยิ้มอย่างชั่วร้าย

ตึก ! ตึก !

มีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

ทุกคนหันไปมองตามเสียงนั้น ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาที่นี่อย่างช้า ๆ

ผู้หญิงคนนี้สวมชุดยาวสีพื้นลายเมฆา รูปร่างของนางดูเพรียวระหงและสูงสง่า นางมีผ้าคาดเอวสีขาวมัดปมเป็นรูปทรงตัวต่อทำให้ร่างเพรียวดูผอมบอบบางน่าทะนุถนอมมากยิ่งขึ้น

สตรีนางนี้ นางดูเป็นคนมีนิสัยใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเหมือนว่าของทุกชิ้นบนตัวนางล้วนถูกสวรรค์บรรจงรังสรรค์ปั้นแต่งด้วยความระมัดระวังและประณีตเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใบหน้าอันงดงามที่ ถึงแม้จะดูเย็นชาและไม่มีร่องรอยของความรู้สึกใด ๆ เป็นเหมือนน้ำแข็งซึ่งแข็งตัวมานานนับหมื่นปีแล้วก็ตาม

“เป็นนาง !”

องค์หญิงเก้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เยี่ยฉวนขมวดคิ้ว

เยี่ยฉวนหันไปสะกิดถาม “นั่นใครหรือ ?”

องค์หญิงเก้ากระซิบตอบ “นางก็คือเป่ยเฉิน หนึ่งในศิษย์ยอดเยี่ยมของสำนักศึกษาฉางมู่ !”

สำนักศึกษาฉางมู่ !

เยี่ยฉวนหันกลับไปมองเป่ยเฉิน “แล้วแบบนี้นางจะตรงเข้ามาท้าสู้กับข้าเลยหรือเปล่า ?” เปล่าเลย เขาไม่ได้หวาดกลัว แต่กำลังชั่งน้ำหนักดูว่ามันอาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดีหากคนเหล่านั้นรอดมาได้ถึงจุดนี้ !

ท่ามกลางสายตาของทุกคน เป่ยเฉินเดินไปที่ด้านข้าง หลับตาลงช้า ๆ และไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ! แต่ทว่าในไม่ช้านางพลันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะมองไปที่ใครบางคนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยฉวนอย่างองค์หญิง เก้า

เยี่ยฉวนและองค์หญิงเก้าต่างหันหน้ากลับมา ไม่ไกลกันนัก ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง มีชายคนหนึ่งซึ่ง ผมยุ่งเหยิงเหมือนแม่ไก่ เขาแต่งกายซอมซ่อและมีผ้าคลุมอย่างเรียบง่าย บนชุดที่สวมยังมีรูอยู่ให้เห็น ทั้งยัง สะพายขวานหนักที่ทำมาจากเหล็กสีดำเอาไว้ด้านหลัง !

เมื่อเห็นผู้ชายคนนี้อยู่ในครรลองสายตา ทุกคนก็พร้อมใจกันมองไปที่จุดนั้นอย่างเคร่งขรึม

แม้แต่องค์หญิงเก้าก็ยังมีแววตาที่ฉายความจริงจังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ชายคนนั้นมองกลับมาที่ฝูงชน ก่อนในที่สุดจะเดินออกจากวงล้อมไปโดยไม่มีคำพูดใด ๆ

บรรยากาศตรงลานกว้างดูอึมครึมขึ้นมาทันตาเห็น

ทันใดนั้น สายตาของชายในชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่บนบันไดหินก็พลันหันมาสบตาเข้ากับองค์หญิงเก้า “ข้าขอเดาว่าท่านคือองค์หญิงเก้าผู้เลื่องชื่อจากแคว้นเจียงใช่หรือไม่ ?”

องค์หญิงเก้าถามเสียงต่ำ “แล้วท่านมีคำแนะนำอะไรจะให้ข้าอย่างนั้นหรือ ?”

ชายในชุดคลุมสีดำคลี่ยิ้ม “ข้ามิกล้า เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าท่านคือสหายที่สนิทที่สุดของผู้เยี่ยมยุทธ์ แห่งแคว้นเจียง เช่นนั้นแล้ว ไยคราวนี้นางถึงไม่ได้มาด้วยเล่า ?”

ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นอันหลานซิ่ว !

เพียงแค่ได้ยินชื่อ การแสดงออกของหลาย ๆ คนในที่แห่งนั้นก็พลันมีท่าทีเปลี่ยนไป แม้แต่ชายที่สะพายขวานหนักก็ยังหันหน้าไปมององค์หญิงเก้า

แท้ที่จริงตัวของอันหลานซิ่วนั้น ความโด่งดังของนางไม่ได้จำกัดอยู่ในเฉพาะแคว้นเจียงเท่านั้น หากแต่นางยังโดดเด่นและเป็นที่กล่าวขวัญถึงไปทั่ว ชื่อเสียงของนางมากมายล้นหลามจนแผ่ขยายไปถึงแคว้นอื่น ๆ ที่อยู่ล้อมรอบ นอกจากนั้นแล้ว …แม้แต่กองกำลังหรือตระกูลทรงอำนาจก็ยังเคยได้ยินชื่อนางด้วยเหมือนกัน !

องค์หญิงเก้ากะพริบตา “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางมาหรือไม่มา ?”

เมื่อได้ยินคำพูดขององค์หญิงเก้า ชายในชุดคลุมสีดำพลันขยับมุมปากขึ้นจนเห็นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายเล็กน้อย “มันคงจะดีกว่าถ้าผู้เยี่ยมยุทธ์อันมา แล้วทีนี้ข้าก็จะได้เห็นกับตาว่านางสมกับที่มีชื่อเสียงเลื่องลือระบือทั่วแคว้นหรือไม่ ข้าก็ได้แต่หวังว่าคำอวดอ้างอวยยศอะไรพวกนั้นจะไม่ได้เป็นแค่ข่าวโคมลอยนะ !”

“นางต้องฆ่าเจ้าแน่ !”

องค์หญิงเก้าตอบกลับอย่างเฉยเมย “เจ้ากับนาง ฝีมือยังนับว่าห่างชั้นกันอยู่มากนัก !”

ในฐานะสหายที่สนิทที่สุด บางทีอาจไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงความน่ากลัวของอันหลานซิ่วได้ดีไปกว่านางอีกแล้วอันหลานซิ่วเป็นคนประเภทที่สามารถทำให้อัจฉริยะด้วยกันยังต้องรู้สึกประหลาดใจและสิ้นหวังไปด้วยในคราว เดียวกัน !

ชายในชุดคลุมสีดำคลี่ยิ้ม “อย่างนั้นหรือ ? ข้าล่ะตั้งหน้าตั้งตารอรับการมาของนางจริง ๆ!”

องค์หญิงเก้าเลิกสนใจชายคนนั้น นางเหลือบมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ทุกคนอุตส่าห์มาถึงตำแหน่งที่ตั้งจริง ๆ ของตำหนักจ้าวกระบี่จนได้ แต่ในเมื่อไม่มีใครกล้าออกมา ถ้าอย่างนั้นข้าจะขอนำหน้าเข้าไปก่อน ข้าคิดว่าทุกคนคงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่รอเราอยู่ แต่หากถูกขังอยู่ในทางตันเช่นนี้ไปอีกนาน ก็คงไม่มีใครได้รับประโยชน์อะไรเลยไม่ใช่หรือ ? ข้ามีข้อเสนอ มิสู้พวกเรามาร่วมมือกันตั้งแต่แรกเริ่มแล้วค่อย ๆ กำจัดอุปสรรค ไปจะดีกว่า ส่วนการร่วมมือกันชั่วคราวนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดนั้น ข้าเชื่อว่าทุกคนย่อมรู้อยู่แล้วเมื่อถึงเวลา พวก เจ้าคิดว่ายังไงกัน ?”

หลังจากเงียบไปสักพัก ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

องค์หญิงเก้ามองไปที่ประตูที่พำนัก “ใครจะมาก่อน ?”

ชายในชุดคลุมสีดำยืนยิ้มเยาะอยู่บนบันไดหิน “งั้นทางนี้ขอเสนอให้ใช้ลูกบอลของข้ากลิ้งเข้าไปก็แล้ว กันนะ !”

เมื่อสิ้นเสียงพูด ชายในชุดคลุมสีดำก็งอนิ้วและสะบัด ฉับพลันวัตถุสีดำก็ถูกยิงออกมาจากปลายนิ้ว ของเขา

ตูม !

ประตูที่พำนักแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

คณะผู้แสวงโชคต่างพากันเตรียมพร้อมสำหรับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ !

ทันใดนั้นพลันมีเสียงดังมาจากข้างใน “พวกเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว !”

ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก “…”