ทันทีที่คำพูดโพล่งออกมา ภายในตำหนักพลันเงียบงัน ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะของเฟิ่งจือเหยาจากด้านในตำหนัก ตอนแรกเป็นเสียงกลั้นหัวเราะเบาๆ ทว่าต่อมาราวกับกลั้นไม่ไหวแล้ว จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น หัวเราะเสียจนหลิงอวิ๋นอับอายจนกลายเป็นเดือดดาล ก่อนจะถลึงตามองเฟิ่งจือเหยา เอ่ย “เจ้าหัวเราะอะไร!”
เฟิ่งจือเหยาเช็ดน้ำตา ก่อนจะโบกมือพลางยิ้มตาหยี “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ จู่ๆ ก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา” จากนั้นเขาก็หันไปหาม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี ขยับปากพูดสองสามคำอย่างไร้เสียง เยี่ยหลีผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการอ่านริมฝีปาก เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง สิ่งที่เฟิ่งจือเหยาพูดคือ “หล่อเป็นภัย” แม้ม่อซิวเหยาไม่รู้ว่า เฟิ่งจือเหยากำลังพูดถึงอะไร แต่เขาก็สามารถเดาได้โดยมองเพียงสีหน้าของเขา ก่อนจะมองเขาอย่างคาดโทษและไม่ได้สนใจเขาอีก
เดิมทีองค์หญิงหลิงอวิ๋นก็เพียงพูดออกไปด้วยความหุนหันพลันแล่น ทว่าในเมื่อได้พูดออกไปแล้ว ก็เท่ากับต้องทำอย่างนั้น จึงเชิดคางมองเยี่ยหลีก่อนจะถาม “ว่าอย่างไร เจ้ากล้าหรือไม่”
เยี่ยหลีจนปัญญา อมยิ้มมององค์หญิงหลิงอวิ๋น ก่อนจะถาม “องค์หญิง เหตุใดข้าต้องรับคำท้าของท่านด้วยหรือ” เหตุผลที่ยอมรับคำท้าในเวลานั้น ไม่เพียงแค่ทำเพื่อม่อซิวเหยา แต่ยังรวมถึงจวนติ้งอ๋องและศักดิ์ศรีของนางในฐานะพระชายาติ้งอ๋องด้วย แต่ตอนนี้เยี่ยหลีไม่อาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดนางถึงต้องรับคำท้าขององค์หญิงหลิงอวิ๋นอีก คนส่วนใหญ่เห็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นก็รู้ว่านางออกเรือนแล้ว จะยังอาลัยอาวรณ์ม่อซิวเหยาก็ไม่ถูกกระมัง นางในฐานะพระชายา ไม่จำเป็นต้องเอาชนะเจ้าหญิงแห่งแคว้นที่พ่ายแพ้สงครามเพื่อศักดิ์ศรีของตำหนักติ้งอ๋องอีกต่อไป
“เจ้าไม่กล้าหรือ” องค์หญิงหลิงอวิ๋นมองเยี่ยหลีอย่างเหยียดหยาม
เยี่ยหลียิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ไม่จำเป็น” นางไม่จำเป็นต้องรับคำท้าขององค์หญิงหลิงอวิ๋น บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่านางไม่เหมาะกับม่อซิวเหยา หรือไม่เหมาะกับการเป็นพระชายาติ้งอ๋อง
ได้ยินดังนั้น สีหน้าขององค์หญิงหลิงอวิ๋นก็พลันไม่น่าดู เยี่ยหลีพูดถูก นางไม่จำเป็นต้องรับคำท้าของตนอีกต่อไป ถ้าพูดให้เข้าใจก็คือ ด้วยชื่อเสียงและสถานะขององค์หญิงหลิงอวิ๋นในตอนนี้ ไม่มีสิทธิ์ไปท้าทายพระชายาติ้งอ๋องอีกแล้ว
ฮ่องเต้แห่งซีหลิงเห็นบรรยากาศกระอักกระอ่วน จึงรีบเอ่ยขึ้น “เราตามใจหลิงอวิ๋นจนเสียนิสัยมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร พระชายาโปรดอภัยด้วย”
องค์หญิงหลิงอวิ๋นเผยอปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงถลึงตามองนาง ก่อนจะแผดเสียง “ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยว่าที่นี่มันที่ไหน ยังไม่ออกไปอีก!”
ม่อซิวเหยาดึงมือเยี่ยหลีให้ยืนขึ้น ก่อนจะยิ้มให้กับฮ่องเต้แห่งซีหลิง “ฝ่าบาท ในเมื่อเราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ข้ากับพระชายาขอตัวกลับที่พักเพื่อพักผ่อนก่อนจะดีกว่า สองสามวันนี้อาหลีเหนื่อยมามากแล้ว” ฮ่องเต้แห่งซีหลิงรีบยิ้มพลางเอ่ย “ไฉนท่านอ๋องกับพระชายาไม่พักอยู่ในวังก่อนเล่า ข้าสั่งให้คนมาทำความสะอาดตำหนักเพื่อให้ท่านอ๋องและคณะพักแรมแล้ว” ม่อซิวเหยาโบกมือ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็น ข้าไม่จุกจิกกับเรื่องที่พักแรม ขอตัวก่อน”
“คือ…ข้ายังเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับท่านอ๋องและพระชายาไว้ด้วย…”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ขอบพระทัยฝ่าบาทมาก แต่ข้าเหนื่อยเหลือเกิน วันนี้จึงทำได้เพียงขอบคุณสำหรับความเมตตาของฝ่าบาทเท่านั้น”
ในเมื่อติ้งอ๋องและพระชายาต่างพูดเช่นนี้แล้ว ฮ่องเต้แห่งซีหลิงจึงไม่อาจบังคับฝืนใจได้อีก จำต้องสั่งให้คนพาพวกเขาออกไป ม่อซิวเหยาจับมือเยี่ยหลีเดินไปตรงหน้าองค์หญิงหลิงอวิ๋น พร้อมกับหยุดนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกไป ครั้นม่อซิวเหยาและคณะออกจากตำหนักใหญ่ไปแล้ว ฮ่องเต้แห่งซีหลิงก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนจะหันไปมององค์หญิงหลิงอวิ๋น พลางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “หลิงอวิ๋น เจ้า!”
ฮ่องเต้แห่งซีหลิงสะดุ้ง เมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเผือด แล้วจู่ๆ นางก็กระอักเลือดสดๆ ออกมา จึงรีบสั่งให้คนไปช่วยพยุงองค์หญิง ก่อนจะถาม “นี่มันอะไรกัน” แม้ว่าลูกสาวคนนี้จะทำให้เขาขายหน้า แต่ท้ายที่สุดก็เป็นลูกสาวของเขาอยู่ดี เมื่อเห็นว่าจู่ๆ นางก็อาเจียนเป็นเลือด ฮ่องเต้แห่งซีหลิงจึงยังนึกเป็นห่วงอยู่บ้าง
หมอหลวงมาถึงอย่างรวดเร็ว พอจับชีพจรให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นแล้วก็เอ่ยด้วยความสงสัย “ไฉนองค์หญิงถึงบาดเจ็บภายอย่างกะทันหันเช่นนี้” คนอื่นๆ ย่อมไม่เข้าใจ เพราะแม้ว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นจะท้าทายพระชายา แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ต่อสู้กัน คนอื่นๆ ในตำหนักก็ไม่ได้สัมผัสถูกองค์หญิงหลิงอวิ๋นเลยด้วยซ้ำ จะได้รับบาดเจ็บภายในอย่างกะทันหันได้อย่างไร
“ติ้งอ๋อง!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นยกมือขึ้นมาสัมผัสรอยเลือดที่มุมปาก ก่อนจะกัดฟันกรอด
ช่วงหลายวันนี้ ทั้งเมืองหลวงแห่งซีหลิงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย คนของตำหนักติ้งอ๋องทุกคนพักแรมอยู่ในโรงเตี๊ยมกลางเมือง ถึงแม้จะมีกองทัพตระกูลม่อค่ยรักษาการณ์อยู่ทำให้สงบเงียบไปมาก แต่ทุกวันกลับยังคงมีคนหลากหลายประเภทอ้างเหตุผลสารพัดอย่างในการมาขอเข้าพบหรือแม้กระทั่งดูอยู่รอบๆ แม้ว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงและราชสำนักจะเป็นใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ทว่าทุกคนต่างรู้ว่าเมืองหลวงซีหลิงตกเป็นของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว คนที่มีความคิดยืดหยุ่นและไม่มีความตั้งใจที่จะติดตามฮ่องเต้แห่งซีหลิงไปเมืองอันทางตอนใต้ ย่อมอดไม่ได้ที่จะวางแผนพึ่งพาตำหนักติ้งอ๋อง เพื่อหาทางออกที่ดีสำหรับอนาคตของตัวเอง
ภายในโรงเตี๊ยม ช่วงเดือนเก้าในเมืองหลวงซีหลิงมีลมหนาวของต้นฤดูหนาวพัดมาบ้างแล้ว โชคดีที่บ้านเรือนที่พักอาศัยของซีหลิงเดิมทีก็ปลูกต้นไม้กันน้อยอยู่แล้ว แต่กลับไม่ดูอ้างว้างหนาวเย็นสักเท่าไร ม่อซิวเหยาและสวีชิงปั๋วกำลังเล่นหมากรุกอยู่ในสวนข้างภูเขาจำลอง เยี่ยหลีนั่งมองหมากในกระดานอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา แม้แต่เฟิ่งจือเหยาและสวีชิงเฟิงที่กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาก็นั่งดูอยู่ด้วย ทั้งม่อซิวเหยาและสวีชิงปั๋วมีรูปแบบการเดินหมากที่ไม่ผลีผลามเปิดเผยแผนการกันทั้งคู่ ทั้งสองจึงเล่นกันไปเรื่อยๆ เดินหมากกันอย่างไม่รีบร้อน เฟิ่งจือเหยารู้สึกเบื่อหน่ายจึงไปหาเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา ก่อนจะพูดพลางยิ้ม “พระชายา สองสามวันนี้ท่านได้ยินเรื่องแปลกๆ ในเมืองหลวงหรือไม่”
เยี่ยหลีเงยหน้ามองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
เฟิ่งจือเหยายิ้มเอ่ย “ได้ยินมาว่าเมื่อวานเป็นเทศกาลสารทฤดูของเมืองหลวง น่าจะเป็นเทศกาลการรวมตัวกันของสุภาพสตรีจากตระกูลขุนนางในเมืองกระมัง พวกเขาไม่ได้ส่งเทียบเชิญให้ท่านหรือ” เฟิ่งจือเหยาแปลกใจเล็กน้อย ตามหลักการแล้ว ขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงซีหลิงไม่ควรมีตาหามีแววไม่เช่นนี้ โดยเฉพาะคนที่ตัดสินใจจะไม่ลงใต้ไปกับฮ่องเต้แห่งซีหลิง
เยี่ยหลีคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะเอ่ย “ได้รับเทียบเชิญสองสามฉบับมาจริงๆ แต่ข้าปฏิเสธไปแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“ปฏิเสธไปแล้วก็ดี ได้ยินมาว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นจะเข้าร่วมเทศกาลสารทฤดูเมื่อวานนี้ด้วย แต่ถูกคนดักไว้ให้อยู่ข้างนอก ไม่ให้เข้าไป” รอยยิ้มของเฟิ่งจือเหยาเต็มไปด้วยความปรีดาท่ามกลางความทุกข์ของผู้อื่น ใครใช้ให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นคนนั้นหน้าตาใจร้ายกันเล่า คล้ายว่าจะมีรูจมูกงอกขึ้นบนหัวของนางอย่างไรอย่างนั้น เช่นนี้จะไม่ทำให้คนเกลียดได้หรือ เฟิ่งซานเองก็ไม่เคยเป็นคนใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย
“กันไว้ข้างนอก ไม่ให้เข้าไปหรือ เพราะเหตุใด” เยี่ยหลีเลิกคิ้วและเริ่มสนใจ ต่อให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นจะเย่อหยิ่งและบ้าอำนาจเพียงใด นางก็เป็นถึงองค์หญิงแห่งซีหลิง นางมีต้นทุนให้หยิ่งผยองอย่างแท้จริง บุคคลผู้มีอำนาจทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่งัดข้อกับนาง นับประสาอะไรกับการตั้งใจตบหน้านางเช่นนี้ เฟิ่งซานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข่าวที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นท้าทายพระชายาติ้งอ๋องในวัง ตอนนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้ว ว่ากันว่าเรื่องขององค์หญิงหลิงอวิ๋นสมัยที่อยู่ในต้าฉู่ เหล่าชนชั้นสูงของซีหลิงต่างรู้เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี ทุกวันนี้จึงมีคนนำออกมาพูดถึงกันอีก แล้วบังเอิญว่า ผู้ที่รับผิดชอบในการจัดงานประจำวสันต์ฤดูในปีนี้คือตระกูลซุน ตระกูลพ่อค้าผู้ร่ำรวยแห่งเมืองซีหลิง ตั้งแต่ตระกูลมู่หรงล่มสลาย ตระกูลซุนพลันเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงก็ว่าได้ อีกทั้งยังเป็นขุนนางเก่าแก่ของซีหลิง ที่ละทิ้งตำแหน่งขุนนางและเข้าสู่เส้นทางการค้า พวกเขาขัดแข้งขัดขากับองค์หญิงหลิงอวิ๋นมาโดยตลอดในตอนนี้เมืองหลวงได้เปลี่ยนนายใหญ่แล้ว แล้วพวกเขาจะยังเห็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นอยู่ในสายตาอีกหรือ”