ม่อซิวเหยาเข้าใจ ก่อนจะพยักหน้ายิ้มพลางเอ่ย “หากเพียงเท่านี้ย่อมไม่เป็นอะไร กลับไปข้าจะส่งสาส์นไปให้จักรพรรดินีแห่งหนานจ้าว” ส่วนที่ว่าอดีตองค์หญิงอันซี หรือจักรพรรดินีหนานจ้าวคนปัจจุบัน หลังจากนางอ่านสาส์นจะฟังที่เขาพูดหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอีกแล้ว เมื่อได้รับคำตอบที่น่าพอใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งกว้างมากขึ้น สายตาที่ใช้มองม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีก็ดูจริงใจมากขึ้นเช่นกัน หากจวนติ้งอ๋องสามารถช่วยจัดการหนานจ้าวและเหลยเจิ้นถิงได้ เช่นนั้นการที่ให้เมืองหลวงไปก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว
“ติ้งอ๋อง ข้าขอพูดอย่างไม่ปิดบัง…แม้วันนี้ข้าจะตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองอัน ทว่า…จากที่ข้ารู้มา หลานชายของข้า เหลยเถิงเฟิงคนนั้น ในตอนนี้ยังอยู่ที่ซีหลิง และยังมีทหารและม้าของเจิ้นหนานอ๋องอยู่ในมือจำนวนไม่น้อย หมากตัวนี้…จะเดินอย่างไรดีหรือ” ฮ่องเต้แห่งซีหลิงถาม
ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ ก่อนเอ่ย “ฝ่าบาท บรรพบุรุษของเราเคยกล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า เมื่อไม่สมเหตุย่อมไม่สมผล เหลยเจิ้นถิงพูดให้ถูกก็เป็นเพียงเจิ้นหนานอ๋องเท่านั้น เขาไม่มีแม้กระทั่งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการอย่างถูกต้องเหมาะสมด้วยซ้ำ ส่วนเหลยเถิงเฟิง ก็ยิ่งเป็นเพียงเจิ้งหนานอ๋องซื่อจื่อคนหนึ่งเท่านั้น หรือว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงแค่จะรับมือเขาก็ยังไม่ได้เชียว” ฮ่องเต้ซีหลิงยิ้มเจื่อน เอ่ย “แน่นอนว่าเหลยเถิงเฟิงไม่มีอะไรน่ากลัว ทว่าไม่อาจประเมินทหารในมือของเขาและผู้คนที่จงรักภักดีต่อจวนเจิ้นหนานอ๋องต่ำไปได้”
ม่อซิวเหยายกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ก่อนจะยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ที่ข้ารู้มา…แม่ทัพซุ่นเทียนอยู่ที่เมืองหลวงในเวลานี้ คิดว่าถึงเวลาคงจะตามฝ่าบาทไปที่เมืองอันด้วยใช่หรือไม่”
ใบหน้าของฮ่องเต้แห่งซีหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เฟิงเอ้าอยู่ในเมืองหลวงจริงๆ แต่ข่าวนี้ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเขาเอง แม้แต่คนที่สนิทที่สุดข้างกายก็ยังไม่เคยบอก จากท่าทีไม่ตื่นเต้นของม่อซิวเหยา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เพิ่งรู้เรื่องนี้ ฮ่องเต้แห่งซีหลิงอดใจสั่นไหวไม่ได้และเกรงกลัวม่อซิวเหยาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ม่อซิวเหยาดูเหมือนจะไม่เห็นใบหน้าของฮ่องเต้แห่งซีหลิง จึงเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ สงครามครั้งนี้ล้วนเกิดจากเจิ้นหนานอ๋อง หรือว่าลูกชายของเขาจะอยากลงมือกับวีรบุรุษที่เคยมีคุณูปการต่อพวกเขาหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น…ความภักดีของเจิ้นหนานอ๋อง…” เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน ฮ่องเต้แห่งซีหลิงข่มอารมณ์สั่นกลัวเอาไว้ในใจ ก่อนจะเข้าใจพลางยิ้มเอ่ย “เราเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านอ๋องที่ชี้แนะ”
“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้ว”
ในขณะที่ภายในตำหนัก ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างเต็มไปด้วยความชื่นมื่นสามัคคีนั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมแสบหูดังเข้ามาจากด้านนอก “เสด็จพ่อเพคะ! เสด็จพ่อ!”
ก่อนที่ฮ่องเต้แห่งซีหลิงจะทันได้ตั้งตัว ร่างหญิงสาวที่สง่างามก็พุ่งเข้ามาเสียแล้ว โดยไม่ได้ดูเลยว่าในตำหนักยังมีคนอื่นนั่งอยู่ นายหันไปเรียกฮ่องเต้แห่งซีหลิงว่า “เสด็จพ่อ! ท่านจะยอมสละเมืองหลวงให้ตำหนักอ๋องจริงๆ หรือ ท่านบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ เสด็จพ่อทำเช่นนี้จะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษซีหลิงได้อย่างไร!”
สีหน้าของฮ่องเต้แห่งซีหลิงแปรเปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะแผดเสียงเอ่ย “กำเริบเสิบสาน! หลิงอวิ๋น นับวันเจ้ายิ่งบังอาจขึ้นไปทุกวัน แล้วก็ไม่ดูด้วยว่าที่นี่คือที่ใด กล้าทะเล่อทะล่าเข้ามาได้อย่างไร!” แม้ว่าเรื่องที่เขาทำนี้จะทำให้ไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษและเหล่าขุนนางได้ ทว่าก็ไม่ใช่กงการอะไรของลูกสาวตน ที่จะมาชี้นิ้วด่ากันเช่นนี้
เยี่ยหลีรู้สึกสนใจในตัวหญิงสาวผู้สวมชุดหรูหราที่พุ่งตัวเข้ามา นี่คือองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่อยากจะแย่งม่อซิวเหยากับตนในตอนนั้นใช่หรือไม่
นับๆ ดูก็เป็นเรื่องเมื่อแปดเก้าปีที่แล้ว ตอนนั้นองค์หญิงผู้หยิ่งผยองมีเพียงอายุสิบแปดปี ตอนนี้ก็น่าจะอายุเกือบสามสิบปีแล้ว หากไม่ดูให้ดี เยี่ยหลีก็แทบจำหญิงสาวตรงหน้านี้ไม่ได้ องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่อายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ยังคงดูแลตัวเองอย่างดีเยี่ยม ผิวพรรณหิมะดุจภาพวาด งดงามสะเทือนจิตใจผู้คน เพียงแต่ความหยิ่งยโสของเด็กสาวในตอนนั้น หลังจากผ่านไปหลายปี ได้กลายเป็นคนหยิ่งผยองและใจร้ายไปเสียแล้ว ชุดแต่งกายที่งดงาม คิ้วที่แต่งอย่างประณีตและความเปล่งประกายที่คมชัดในดวงตา แสดงให้เห็นถึงบุคลิกขององค์หญิงได้เป็นอย่างดี เด็กสาวที่เย่อหยิ่งอาจดูมีเสน่ห์มัดใจผู้คน ทว่าหญิงวัยแต่งงานที่หยิ่งผยองในสายตาของผู้ชายกลับไม่ค่อยมีใครชอบเสียเท่าไร
“หรือว่าข้าพูดไม่ถูก” องค์หญิงหลิงอวิ๋นเชิดหน้าอย่างอวดดี ถลึงตามองเสด็จพ่อของตนอย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้า…เจ้า…” ฮ่องเต้แห่งซีหลิงไร้คำจะเอ่ย ก่อนจะนั่งลงบนบัลลังก์ เห็นได้ชัดว่าโมโหไม่น้อยนัก
อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจือเหยาลูบคาง มองผู้หญิงอารมณ์ร้ายตรงหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยได้เห็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นมากนัก แต่เฟิ่งจือเหยาก็เคยได้ยินเรื่องราวขององค์หญิงผู้ที่กล้าท้ารบกับตำหนักติ้งอ๋อง แต่สุดท้ายก็กลัวจนทรุดนั่งลงกับพื้นและลุกขึ้นมาไม่ไหว เขายิ้มตาหยีให้องค์หญิงหลิงอวิ๋น ก่อนจะเอ่ย “นี่คือองค์หญิงคนนั้นที่แข่งกับพระชายาเมื่อหลายปีก่อนใช่หรือไม่ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะอารมณ์ร้ายกว่าตอนนั้นเสียอีก พระชายา ไม่แน่นะพวกท่านอาจจะต้องมาแข่งกันอีกในตอนนี้ก็เป็นได้”
เมื่อคำพูดเหล่านี้โพล่งออกไป องค์หญิงหลิงอวิ๋นถึงเพิ่งตระหนักได้ว่ามีคนอื่นอยู่ในตำหนักด้วย จึงหันไปถลึงตามองเฟิ่งจือเหยาด้วยความโกรธก่อนทีหนึ่ง แล้วถึงจะเห็นชายหญิงในชุดขาวคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ด้วยกันไม่ไกล นางอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ ชายที่องค์หญิงผู้เย่อหยิ่งชื่นชมมานานและต้องการแต่งงานโดยไม่คำนึงถึงความพิการของเขา ได้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์และสง่างามมากขึ้นกว่าในตอนนั้นมากนัก เพียงแต่ผมขาวราวหิมะช่างพร่างพราวแสบตาในดวงตาของนางเหลือเกิน ต่อให้นางจะอยู่ห่างไกลถึงซีหลิง ทว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับติ้งอ๋อง และยังรู้ว่าเหตุใดผมดำขลับของเขาถึงได้หงอกขาว จึงอดที่จะหันเหสายตาไปยังเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ได้
เยี่ยหลีสบตาองค์หญิงหลิงอวิ๋น ก่อนจะยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าให้นาง
อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์อันสง่างามของเยี่ยหลีก็ทิ่มแทงใจองค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างลึกซึ้ง นางหันกลับมามองอาภรณ์หรูหราหนักอึ้งของตน ทั้งตัวเต็มไปด้วยไข่มุกอัญมณี ใบหน้าผัดแป้งหนาเตอะ เป็นเครื่องเตือนตัวนางเองว่า ตนนั้นไม่ใช่องค์หญิงรูปงามจอมเย่อหยิ่งในตอนนั้นอีกแล้ว องค์หญิงหลิงอวิ๋นชี้หน้าเยี่ยหลีตรงๆ “เยี่ยหลี ข้าขอท้าเจ้า!”