ก่อนหน้านั้น ณ ด้านในอาคารออฟฟิศ…
อวี๋ซือหรานกำลังเดินอยู่บนทางเดินอันว่างเปล่าอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ผลักประตูห้องที่เรียงรายอยู่สองฝั่งทางเดิน และยื่นหน้าเข้าไปดูข้างใน หลังจากสำรวจห้องทำงานหลายห้องติดกัน ด้านหน้าของเธอพลันปรากฏบันไดที่ทอดสู่ชั้นบน
“ไม่พบอะไรที่ชั้นหนึ่ง…” อวี๋ซือหรานยกมือซ้ายป้องข้างหู ปากก็พูดขึ้นราวกำลังพึมพำกับตัวเอง “จะให้ฉันขึ้นไปชั้นสองไหม?”
“ไม่ต้อง เธอรอพวกฉันแล้วค่อยขึ้นไปพร้อมกันดีกว่า” เฮยซือตอบ
“หื้ม? ทำไมล่ะ? ฉันคนเดียวก็ค้นที่นี่ทั่วแล้ว” อวี๋ซือหรานถามอย่างสงสัย
“ฉันรู้สึกว่ามันราบรื่นเกินไป…อีกอย่าง ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่ชั้นสองจริงๆ เธอจะขายพวกฉันซะหมดน่ะสิ” เฮยซือบอก
“อ๋อ…” อวี๋ซือหรานครุ่นคิด จากนั้นก็ยักไหล่ บอกว่า “ก็ได้ ฉันจะรอตรงนี้แล้วกัน”
“ยัยโง่เข้าไปด้านในออฟฟิศสำเร็จแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติที่ชั้นหนึ่ง แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเธอที่ชั้นสอง พวกเราจะไปช่วยเธอไม่ทัน ดังนั้น…ถึงคราวพวกเราต้องเคลื่อนไหวแล้ว” เฮยซือหมุนกายหันไปทางพวกมู่เฉิน แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตกลง!” ทุกคนในทีมต่างตอบรับอย่างให้ความร่วมมือ ความจริงแล้วพวกเขาล้วนสงสัยในตัวตนของเด็กผู้หญิงตัวเล็กสองคนนี้มาโดยตลอด แต่หลังจากคิดว่าพวกเธอเป็นเพื่อนร่วมทีม พวกเขาก็สามารถทำงานร่วมกับพวกเธอได้อย่างไม่มีอุปสรรค นอกจากนี้ เพียงนึกถึงพลังต่อสู้ที่อวี๋ซือหรานและเฮยซือระเบิดออกมาให้เห็น พวกมู่เฉินก็ทำได้เพียงละทิ้งความคิดที่จะซักถาม หรือหยั่งเชิงเรื่องของพวกเธอไปแต่โดยดี
เฮยซือคงไม่ต้องพูดถึง ดูจากระดับสติปัญญาที่เธอแสดงออก หากคิดหยั่งเชิงเธอก็เท่ากับรนหาที่ให้ตัวเอง ส่วนอวี๋ซือหรานนั้นถึงแม้ดูค่อนข้างโง่…แถมเธอยังถูกเรียกด้วยฉายายัยโง่อยู่แล้ว แต่นอกจากหลิงม่อแล้วเธอล้วนแสดงท่าทีระมัดระวังกับคนอื่นเสมอ ปัจจุบันยิ่งแย่กว่าเดิม แทบจะเรียกได้ว่าห้ามสิ่งมีชีวิตเข้าใกล้เลยทีเดียว ท่าทางของเธอบ่งบอกชัดเจนว่าถึงเป็นคนรู้จักก็ช่วยอยู่ห่างๆ หน่อย…
แล้วจะมีโอกาสถามได้ยังไง!
“แต่ว่า…แต่ไหนแต่ไรโลลิก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเสน่ห์ลึกลับน่าดึงดูดอยู่แล้วนี่ “ อวี่เหวินซวนที่เดินตามหลัง จ้องมองแผ่นหลังของเฮยซือ แล้วอยู่ๆ ก็พึมพำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย…
การเคลื่อนไหวของทุกคนพลันชะงักกึก…
“นายนี่ช่างกล้าพูดอะไรโรคจิตแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉยเลยนะ…” มู่เฉินบอก
“ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้เพิ่งจะโรคจิตมาแค่วันสองวันแล้วนี่…แต่ว่า…โลลิถูกพวกโรคจิตแยกออกเป็นอีกหนึ่งสปีชีส์ต่างหากแล้วหรอ?” จางซินเฉิงอดถามขึ้นไม่ได้
กลับเป็นเย่ไคที่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็ลนลานอธิบายท่ามกลางสายตาซักถามของทุกคนที่มองมา “ผมกำลังพิจารณาจากมุมมองของคนทั่วไปต่างหาก! สำหรับพวกเรา…เด็กผู้หญิงแบบนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับจริงๆ นั่นแหละ…เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าควรพูดอะไรกับพวกเธอดีน่ะสิ…” เขาบอก
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง… “นายมีลูกสาวหรอ?” มู่เฉินถาม
เย่ไคมองหน้าเขาแวบหนึ่ง ยิ้มขมขื่นแล้วส่ายหน้า บอกว่า “โค้ชประเมินผมสูงไปแล้ว ที่น่าเสียดายก็คือผมก็ไม่มีใครเอาเหมือนโค้ชนั่นแหละ…”
“งั้นหรอ…เดี๋ยวก่อนนะ นายว่าใครไม่มีใครเอา! ฉันแค่ไม่ค่อยมีเวลา…”
“ผมมีน้องสาวหนึ่งคน…น่าจะอายุประมาณพวกเธอสองคนรวมกันล่ะมั้ง ความทรงจำที่ผมมีต่อเธอ ก็คล้ายกับพวกเธอสองคนรวมกันเหมือนกัน” น้ำเสียงของเย่ไคพลันแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมทันใด แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความคิดถึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเรื่องส่วนตัวต่อหน้าทุกคน “เธอไม่ค่อยคุยกับผม มักทำตัวห่างเหินเสมอ เธอเป็นคนสมองดี แต่เธอก็ส่งยิ้มให้ผมบ้างเป็นบางครั้ง…บางครั้งผมก็อยากคุยกับเธอ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี แต่ว่าผมจำได้ดีเลยล่ะว่าตอนเด็กเธอติดผมมาก…”
“ฉันเข้าใจ” อวี่เหวินซวนพูดขึ้น
เย่ไคเลื่อนสายตาไปมองเขา ไม่นานก็นึกถึงหลี่ย่าหลิน จึงคลี่ยิ้มแล้วบอกว่า “จริงด้วย คุณก็มีนี่นา…”
“เปล่า ฉันหมายถึงฉันเข้าใจความรู้สึกคิดถึงแบบนี้เหมือนกับนาย ความจริงเมื่อก่อน…ฉันไม่ค่อยมีโอกาสพบปะกับญาติๆ เท่าไหร่หรอก” อวี่เหวินซวน
ทุกคนล้วนผิดคาด คิดไม่ถึงว่าอวี่เหวินซวนจะมีด้านที่ปกติอย่างนี้กับเขาด้วย ขณะเดียวกันก็คิดไม่ถึงที่คนอารมณ์ร้อนอย่างเย่ไคก็มีด้านที่เศร้าสร้อยอย่างนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน
“อย่างนั้นเองหรอ…แต่ว่า คนเรามักมารู้คุณค่าก็ต่อเมื่อเสียมันไปแล้ว คำพูดนี้อาจโบราณ แต่ก็เป็นความจริง แต่คุณโชคดีมากนะ ที่ยังเหลือญาติให้ร่วมใช้ชีวิตไปด้วยกัน แถมยังไม่ได้มีแค่คนเดียวอีกต่างหาก แต่ผมน่ะสิ…” เย่ไคกำหมัดแน่น และไม่พูดอะไรต่อ
เจ้าลิงผอมกับคนอื่นๆ สบตากันครู่หนึ่ง แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา เวลาอย่างนี้ ไม่ว่าคำปลอบโยนใดก็ไร้ความหมาย…และความรู้สึกอย่างนั้นของเย่ไค พวกเขาก็ล้วนเข้าใจดี…
เรื่องบางเรื่อง…ไม่อาจใช้คำว่าเสียใจและเจ็บปวดมาบรรยายความรู้สึกได้ทั้งหมด สำหรับพวกเขาที่ยังฮึดสู้มาจนถึงตอนนี้ อีกหนึ่งความรู้สึกที่ยังคงอยู่ตั้งแต่ต้นก็คือ…ความโกรธ
“นี่คงเป็น…ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับซอมบี้ที่ไม่มีวันลงรอยสินะ?”
เฮยซือที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดเหลือบมองข้างหลังแวบหนึ่ง ในใจลอบคิดว่า “เห็นอย่างนี้แล้ว ความคิดของหลิงม่อช่างไร้เดียงสาจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว…สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อย่างฉัน คงจะขัดแย้งกับพวกเขาทั้งสองฝ่ายเลยสินะ…”
“อื่ม…ความสัมพันธ์แบบสามฝ่ายเป็นอะไรที่ซับซ้อนตามคาด…”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทีมของเฮยซือก็เดินไปตามเส้นทางที่อวี๋ซือหรานเคยเดินผ่าน และกระโดดข้ามหน้าต่างเข้าไปในตัวอาคาร หากมองไปยังลานกว้างจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ นอกจากต้นไม้เล็กใหญ่และหญ้ารกชัฏ ก็แทบมองไม่เห็นสิ่งอื่นอีก แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ไม่คิดจะเพ่งมองอย่างละเอียดอยู่แล้ว เพราะถึงยังไงที่พวกหลิงม่อเดินเข้ามาทางประตูหน้า ก็เพื่ออำพรางการเข้ามาของพวกเขา…
“แต่ถ้าคิดดูดีๆ อีกครั้ง ความจริงเรื่องที่ทีมของหลิงม่อกลายเป็นทีมที่เปิดเผยตัวก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนนัก เพราะถ้าเทียบกันแล้ว พลังต่อสู้และอัตราการรอดชีวิตของทีมหลิงม่อล้วนสูงกว่าทีมของพวกเรา…” เฮยซือคิด พลางนำทีมมาจนถึงปากบันได
แต่ในขณะนั้นเอง เฮยซือพลันค้นพบเรื่องน่าแปลกเรื่องหนึ่ง…
“แล้ว…” ทั้งหมดยืนอยู่ตรงปากบันได ในขณะที่เฮยซือเบิกตากว้างจ้องขั้นบันไดที่อยู่ตรงหน้า และพึมพำเสียงเบาว่า “อวี๋ซือหรานล่ะ?”
เธอสัมผัสรู้ได้ถึงอวี๋ซือหราน…หรือพูดให้ถูกก็คือ เธอสัมผัสรู้ได้ถึงพลังจิตอีกครึ่งหนึ่งของตัวเอง…แต่กลับมองไม่เห็น…
ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคน เฮยซือรีบยกมือปิดจมูกทันที พลันตะโกนเสียงดังลั่น “พวกเราตกหลุมพรางแล้ว! ทุกคนยืนอยู่ที่เดิมห้ามขยับไปไหน!”
ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงพูด เธอก็ค้นพบว่าเงาร่างของทุกคนค่อยๆ เลือนหายไปจากการครรลองสายตาของเธอทีละคนๆ…เฮยซือหมุนตัวไปรอบๆ อยู่ที่เดิม พริบตาเดียว ที่นี่ก็เหลือเพียงเธอคนเดียว…
“ถูกเล่นงานจนได้ แถมเดาว่าพวกเราคงตกหลุมพรางตั้งแต่เดินเข้ามาในโกดังอาหารแห่งนี้แล้ว…” เฮยซือปิดจมูก พลางขมวดคิ้วคิดในใจ…
—————————————————————————–