ตอนที่ 232

Crazy Leveling System

CLS ตอนที่ 232: เจ้าต่างหากที่โชคดี

 

ทรยศสำนัก สิ่งเดียวที่รออยู่คือการทำลายพื้นฐานฝึกตน นี่เป็นการลงโทษที่สาหัสที่สุด เมื่อไม่ต้องการชีวิต มีแต่ต้องทำลายพื้นฐานฝึกตน! ไม่อย่างนั้น เมื่อคนเข้าร่วมคิดจากไป สำนักจะดูแลไปเพื่ออะไร?

 

นอกเสียจากจะได้รับอนุญาต ไม่อย่างนั้นจำเป็นต้องทำลายพื้นฐานฝึกตน เมื่อเลือกที่จะทรยศสำนักแล้ว มีเพียงแต่ต้องทำลายพื้นฐานฝึกตนเท่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นหนทางที่เบาที่สุดแล้ว หนักสุดคือตาย!

 

อี้เทียนหยุนไม่ได้ลงมือเพื่อสังหารจางปิน แต่เลือกที่จะทำลายพื้นฐานฝึกตนของเขาแทน นี่เป็นการทำให้ฝั่งตรงข้ามสำนึกถึงความผิดของตนเอง แม้ว่าวังเทียนจี๋จะอยู่ในช่วงตกต่ำ แต่คนทรยศก็คือคนทรยศวันยังค่ำ ไม่จำเป็นต้องละเว้นแต่อย่างใด

 

ในฐานะประมุขวังเทียนจี๋ เขานั้นจำเป็นต้องทำความสะอาดสำนักด้วยตนเอง!

 

“พื้นฐานฝึกตนของข้า พื้นฐานฝึกตนของข้า…..” จางปินร้องโหยหวน “ผู้จัดการเซี่ยง เขาทำลายพื้นฐานฝึกตนของข้า ข้ากลายเป็นคนพิการแล้ว…..”

 

พื้นฐานฝึกตนสามารถกลับฝึกกลับคืนมาได้อีกครั้ง แต่จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี นอกจากนี้เขายังต้องรับความช่วยเหลือจากเม็ดยาหนี่เทียนเสินอีกด้วย ไม่อย่างนั้น เขาก็จะกลายเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ไปจริงๆ ทั้งการจะทำให้พื้นฐานฝึกตนกลับมาเท่าเดิมนั้น ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี

 

และอนาคตที่รออยู่ก็จะไม่มีทางเป็นใหญ่ได้ อย่าว่าแต่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรนั่นเลย

 

ผู้คนที่พากันมองมาต่างเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าวังเทียนจี๋จะกล้าลงมือกับวังเสินเหวินจริงๆ นี่เกินกว่าการคาดการณ์ของพวกเรา พวกเขาคิดว่าวังเทียนจี๋จะกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ ยอมรับความอับอาย แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขากลับลงมือ ซ้ำยังจัดการอย่างเด็ดขาดอีกด้วย

 

อวี่ชีเชียนเห็นร่างของอี้เทียนหยุนก็พลันขมวดคิ้ว เหมือนจะคิดอะไรออก แต่ก็คิดไม่ออกว่าอะไร

 

“ศิษย์พี่ มีอะไรเหรอ?” จ้าวอวี่ที่อยู่ใกล้ๆ ถามขึ้น

 

“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่คิดว่าชายหนุ่มคนนั้นดูคุ้นๆ….” อวี่ชีเชียนส่ายหัว แล้วพูดว่า “ข้าอาจจะดูผิดก็ได้…..”

 

“ศิษย์พี่ ท่านสนใจเขาอย่างงั้นเหรอ!” จ้าวอวี่มองสำรวจอี้เทียนหยุน จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ชายหนุ่มคนนี้ยังดูเด็กนัก แต่ไม่คิดว่าจะใจกล้าและบ้าบิ่นอย่างนี้ เขาคงจะไม่รู้ว่าสร้างปัญหาอะไรขึ้น ฝั่งตรงข้ามคือวังเสินเหวิน นี่ออกจะโหดเหี้ยมเกินไป ผู้อาวุโสของวังเทียนจี๋ไม่ได้สั่งสอนเขาหรือไง ว่าการทำอย่างนี้จะนำปัญหาใหญ่มาให้”

 

อวี่ชีเชียนพยักหน้าเหมือนกัน คิดว่าอี้เทียนหยุนออกจะใจกล้าบ้าบิ่นเกินไป คนหนุ่มมักจะใจร้อยเป็นธรรมดา ไม่รู้ว่าตนนั้นสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมาแล้ว

 

“วังเทียนจี๋ ดูเหมือนพวกเจ้าจะเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!” ผู้จัดการเซี่ยงพูดอย่างเย็นชา “พวกเจ้าคิดจะต่อต้านวังเสินเหวินของพวกเราจริงๆ? ผู้อาวุโสวังเทียนจี๋ เจ้าเป็นคนบอกให้ศิษย์เจ้าลงมืออย่างงั้นเหรอ?”

 

ผู้อาวุโสใหญ่ไม่พูด อี้เทียนหยุนเป็นศิษย์ของพวกเขาที่ไหนกัน….. เมื่อประมุขเป็นคนลงมือ พวกเขาเหล่าผู้อาวุโสก็ได้แต่คล้อยตามเท่านั้น

 

ผู้จัดการเซี่ยงมองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ เมื่อพบว่าพวกเขาไม่ยอมตอบ ก็มองไปที่พวกเขาอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นว่า “ดูท่าเจ้าจะเป็นคนบอกให้ศิษย์ของเจ้าลงมือจริงๆ ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า ทำลายแขนสองข้างพร้อมกับพื้นฐานฝึกตนของมันซะ ก่อนที่ประมุขของพวกข้าจะมา แล้วข้าจะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น!”

 

“เพี๊ยะ!”

 

ฝ่ามือถูกฟาดออกไปอีกครั้ง กระทั่งตัวผู้จัดการเซี่ยงยังเห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ฝ่ามือนับไม่ถ้วนฟาดลงใบหน้าของเขาอย่างรุนแรง ตบจนเขาปลิวไป ก่อนที่จะไถลเป็นทางยาว สุดท้ายก็ชนเข้ากับเสาหิน พร้อมกับฟันที่ร่วงลงจากปากจำนวนมาก

 

เมื่อทุกคนเห็นเหตุการณ์นี้ก็พลันตกใจ พวกเขาคิดว่าวังเทียนจี๋จะขอโทษ หรือไม่ผู้อาวุโสใหญ่ก็คงต้องพูดอะไร แต่กลับกัน เด็กหนุ่มคนนั้นกลับฟาดฝ่ามือออกมา ซัดจนผู้จัดการเซี่ยงกระเด็นมาถึงนี่

 

“พวกเขาไม่ได้บอกให้ข้าลงมือ ข้าทำของข้าเอง” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเฉยชา “ข้าเห็นเจ้าขวางหูขวางตามานานแล้ว แย่งเอาศิษย์ของสำนักอื่นไป แต่ยังทำตัวราวกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก!”

 

ผู้คนพากันพูดไม่ออก เด็กหนุ่มคนนี้จะไม่โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยเหรอ? กล้ากระทั่งลงมือกับผู้จัดการของฝั่งตรงข้าม ดูแล้วระดับของเขานั้นไม่ต่ำเลย! ยังหนุ่มแต่ระดับกลับไม่ต่ำกว่าระดับหลอมรวม นี่ทำให้พวกเขาต้องเขาสูงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าวังเทียนจี๋ได้ศิษย์ที่อัจฉริยะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

แต่พวกเขายังคงแอบถอนใจในใจ รอจนประมุขของวังเสินเหวินมา วังเทียนจี๋คงต้องจบสิ้น ถ้าเปลี่ยนเป็นวังเทียนจี๋เมื่อก่อนล่ะก็ เรื่องนี้คงไม่เป็นอะไร แต่กับวังเทียนจี๋ที่ตอนนี้กำลังตกต่ำจนแทบจะลดไปเป็นขุมอำนาจชั้น 2 ด้วยแล้ว ยังกล้าทำเรื่องหาที่ตายแบบนี้อีก

 

“เจ้า เจ้า…..” ผู้จัดการเซี่ยงกระโดดขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะที่กำลังจะโจมตีคืนอยู่นั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข พร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปต้อนรับ “ท่านประมุข ท่านมาแล้ว….. วังเทียนจี๋พวกนี้จะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว กล้าลงมือทำลายพื้นฐานฝึกตนศิษย์ของพวกเรา ทั้งยังทำร้ายข้าด้วย!”

 

หนานเฟิงหยุนสีหน้าเย็นชา นำคนกลุ่มหนึ่งเดินมาตรงหน้าพวกอี้เทียนหยุน ในกลุ่มนั้นมีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณที่ถูกเขาถีบกระเด็นไปก่อนหน้าอยู่ด้วย ดูเหมือนตัวประมุขจะมาถึงแล้ว ประมุขของวังเสินเหวินคือหนานเฟิงหยุน ระดับของเขานับว่าดี อยู่ในระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 3 แข็งแกร่งกว่าวังชิงเซวียนซะอีก

 

ประมุขวังชิงเซวียนไม่ใช่ปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณ มีแต่ระดับบรรพชนเท่านั้น แต่ประมุขวังเสินเหวินไม่ได้จะมีดีแค่ระดับฝึกตนเท่านั้น แต่เขายังเป็นถึงอาจารย์สลักอาคมชั้น 5 อีกด้วย ทำให้ฐานะของเขาสูงยิ่ง ไม่จำเป็นต้องพูดถึงระดับบรรพชนเลย

 

“ใครที่เป็นคนสังหารศิษย์ของข้า!” หนานเฟิงหยุนมองมาที่พวกเขาอย่างเย็นชา พร้อมกับส่งแรงกดดันออกมาสะกดข่มทุกคนในทันที ทำให้สีหน้าของพวกผู้อาวุโสใหญ่พากันเปลี่ยนสี ที่ควรจะมาก็ต้องมา ทั้งยังเป็นตัวประมุขวังเสินเหวินที่มาด้วยตัวเอง ปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณที่ร้ายกาจมาหาพวกเขาเองเลย

 

แม้จะถูกแรงกดดันของเขากดทับ แต่สีหน้าอี้เทียนหยุนยังคงเฉยชา เพิกเฉยโดยสมบูรณ์

 

“ถึงกับสังหารศิษย์ของเขาเลยเหรอ!?”

 

ผู้คนที่สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ร้ายแรงก็พากันตกใจ พวกเขาคิดว่าที่หนานเฟิงหยุนมานี่เพื่อที่จะจัดการกับคนที่กล้าลองดีกับพวกเขา พวกเขาคิดว่าแค่โจมตีผู้จัดการก็สร้างปัญหามากพอแล้ว แต่ไม่คิดว่าพวกเขาถึงกลับสังหารศิษย์ของหนานเฟิงหยุนด้วย นี่มันจะใจกล้าเกินไปไหม?

 

ผู้จัดการตกใจ จางปินก็เช่นกัน ไม่แปลกที่ฝั่งตรงข้ามจะไม่กลัววังเสินเหวิน กล้ากระทั่งสังหารศิษย์ของท่านประมุข แล้วยังมีอะไรที่ต้องกลัวในวังเสินเหวินอีก?

 

และตอนนี้เอง ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณคนนั้นก็ได้ชี้มายังเขา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่บาดหูเป็นอย่างมาก “เป็นมัน”

 

ราวกับเสียงเครื่องดนตรีที่ผุพัง ไม่แปลกที่เขาจะไม่พูด ที่แท้เสียงของเขาก็แหบจนไม่น่าฟังนี่เอง

 

สายตาของทุกคนพลันรวมอยู่ที่ร่างของอี้เทียนหยุน ทำให้พวกเขาต้องตกใจอีกครั้ง เป็นเจ้าหนุ่มนี่อีกแล้ว ใจกล้าถึงขนาดสังหารศิษย์ของหนานเฟิงหยุน ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ตัวหลักอย่างพวกผู้อาวุโสยังไม่ทำอะไรเลย นี่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

 

“เจ้าเป็นคนทำอย่างงั้นเหรอ?” หนานเฟิงหยุนมองมาที่เขาอย่างเย็นชา ในสายพลันปรากฏจิตสังหารท่วมท้น “ดี ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต!”

 

พูดจบเขาก็ฟาดฝ่ามือออกมา มือของเขาเปลี่ยนเป็นกรงเล็บที่แหลมคม แทงเข้ามาที่นี้ คว้าเข้าที่ไหล่ของอี้เทียนหยุน เขาไม่คิดจะฆ่าอี้เทียนหยุนเร็วนัก ต่อหน้าทุกคน เขาต้องทำการทรมาณมันก่อน

 

แต่ในตอนนี้เอง ก็พลันมีเสียงตวาดดังมา “หยุด!”

 

มือของหนานเฟิงหยุนพลันหยุดลง พร้อมกับหันไปมอง คนที่บอกให้พวกเขาหยุนไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นยามของอาณาจักรใต้พิภพ

 

“ท่านเฉิงเฟิงกำลังเตรียมตัวอยู่ พวกเจ้าเสียงดังอะไร รู้จักมารยาทบ้าง! ที่นี่คือเมืองจู้หลง ไม่ใช่วังเสินเหวินของพวกเจ้า!” ยามพูดอย่างเย็นชา

 

“ฮึ่ม!” หนานเฟิงหยุนเก็บมือ มองไปยังอี้เทียนหยุนอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ถือว่าเจ้าโชคดีที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ รอให้งานนี้จบก่อนเถอะ เมื่อถึงตอนนั้น นั่นจะเป็นเวลาตายของเจ้า!”

 

“ไม่ เป็นเจ้าต่างหากที่โชคดี” อี้เทียนหยุนตอบกลับอย่างเฉยชา

 

หลังจากหนานเฟิงหยุนได้ยิน เขาก็พลันระเบิดออกมาอีกครั้ง แต่ก็ต้องอดทนไว้ เพราะที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเขา ถ้าทำให้อาณาจักรใต้พิภพโกรธล่ะก็ เขาคงรับผิดชอบไม่ไหว