ถังซีหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ฉันคาดเดาอย่างมีเหตุผลต่างหาก” ทันใดนั้นเธอก็หยุดชะงักและร้องอุทาน “โอ ฉันทิ้งหมวกกับหน้ากากไว้ข้างนอก!”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว มองดูหญิงสาวแสนสวยตรงหน้าถามว่า “ทำไมคุณถึงต้องใช้สองอย่างนั้นด้วยล่ะ”
เป็นเรื่องน่าอายหรือ ที่จะออกไปเที่ยวกับเขา
เฉียวเหลียงขมวดคิ้วอีกเมื่อคิดเช่นนั้น เขาหยุดและมองเธออย่างจริงจัง “คุณอับอายหรือ ที่จะอยู่กับผม”
ถังซีทำปากยื่นขณะมองหน้าเฉียวเหลียง พร้อมกับส่ายศีรษะ ตอบว่า “ไม่เลยค่ะ ฉันจะรู้สึกอย่างนั้นได้ยังไง” แต่แล้วเธอก็ลังเล และเหลือบมองเฉียวเหลียงก่อนจะพูดต่อ “คือ ฉันไม่รู้… ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าฉัน บางครั้งใบหน้าฉันชอบเปลี่ยน ตอนนี้ฉันก็เลยไม่กล้าให้คนเห็นหน้าในที่สาธารณะโดยไม่ระมัดระวัง”
เมื่อเห็นเฉียวเหลียงยังคงทำหน้าบึ้งใส่ ถังซีก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอมองหน้าเฉียวเหลียงขณะร้องออกมาเสียงดัง “อย่าบอกนะ ว่าคุณไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยในตัวฉัน!”
ถ้าเขาไม่สังเกตเห็นจริงๆ เธอจะโกรธมาก! โกรธมาก…มาก!
เฉียวเหลียงย้อนนึกถึงรูปร่างหน้าตาเธอที่เขาเห็นครั้งแรก แล้วก็ครั้งที่สอง แม้เวลาจะผ่านไปเพียงเดือนเดียวเธอก็สวยขึ้นกว่าตอนที่เขาเห็นเธอที่โรงเรียนมาก เขาลูบศีรษะเธอแล้วตอบว่า “ผมไม่เห็นความแตกต่างเลย ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนไปแค่ไหน คุณก็คือซีซีของผมเสมอ”
ถังซีอยากจะโกรธ แต่ความโกรธทั้งหมดหายไปโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำพูดของเขา เธอกอดแขนเขาด้วยความรัก และกระซิบว่า “แต่คนอื่นไม่คิดแบบนี้นี่นา คุณเข้าใจนะ…นะคะ”
เฉียวเหลียงต้องเห็นด้วยกับคำขอของเธออย่างแน่นอน เขาพยักหน้า บอกให้เธอรออยู่ในห้องทำงานเขาสักครู่ ขณะเขาออกไปหาหมวกกับหน้ากากมาให้เธอ จากนั้นก็เปิดประตูออกไป และเห็นเซียวจิ่งยืนถือหน้ากากกับหมวกอยู่หน้าประตู เซียวจิ่งเลิกคิ้วถามว่า “น้องสาวฉันไปแล้วหรือ”
เฉียวเหลียงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาเรียกถังซีว่าน้องสาว นี่หลังจากที่เขาแต่งงานกับซีซีแล้ว เขาจะต้องเรียกผู้ชายคนนี้ว่าพี่หรือ
สมองของเฉียวเหลียงเริ่มค้นหาข้อมูลของตระกูลเฉียว ดูว่าเขามีญาติผู้น้องเป็นผู้หญิงบ้างไหม ถ้ามีเขาจะแนะนำน้องสาวคนหนึ่งให้กับเซียวจิ่ง ผู้ชายคนนี้จะได้เรียกเขาว่าพี่ชาย… อย่างไรก็ตามเมื่อนึกดูแล้วพบว่าเขามีญาติผู้น้องเป็นผู้ชายสองคน เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก
“ยัง นี่หมวกกับหน้ากากของเธอหรือ” เฉียวเหลียงตัดสินใจเลิกคิดถึงเรื่องที่รบกวนจิตใจนี้ แม้ว่าตอนนี้ซีซีจะเป็นน้องสาวของพวกเขา แต่เธอจะเป็นภรรยาเขาหลังจากแต่งงานกับเขาแล้ว และเขาสามารถปฏิเสธ ไม่เรียกเซียวจิ่งว่า ‘พี่ชาย’ ได้เสมอ
เซียวจิ่งพยักหน้า กำลังจะเดินเข้าไปในห้องทำงานเฉียวเหลียง พร้อมด้วยหมวกกับหน้ากาก เมื่อเฉียวเหลียงคว้าของทั้งสองอย่างจากมือเขา และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ไปทำงาน เอาแฟ้มพวกนั้นมาส่งให้ฉันแต่เช้าพรุ่งนี้”
“เฉียวเหลียง!” เซียวจิ่งอุทานพร้อมกับจ้องหน้าเขา “นายจะเผาสะพานหลังจากข้ามไปถึงฝั่งอย่างนี้ได้ยังไง!”
“นายเป็นได้มากที่สุดแค่ไม้กระดานแผ่นหนึ่งบนสะพานเท่านั้นแหละ” เฉียวเหลียงกล่าวพร้อมกับหัวเราะเยาะ จากนั้นก็เข้าห้องทำงานและปิดประตู
เซียวจิ่งเบิกตากว้าง เหวี่ยงกำปั้นกระแทกประตูห้องทำงานเฉียวเหลียงหลายครั้ง ก่อนจะหันไปสบถอยู่คนเดียว
เฉียวเหลียงวางหมวกลงบนศีรษะถังซี และออกไปด้วยกันอย่างมีความสุข ทั้งสองจับมือกันเดินผ่านฝ่ายเลขานุการ บรรดาเลขานุการต่างมองคนทั้งสอง ดวงตาทุกคู่เปล่งประกายด้วยความอยากซุบซิบนินทา ถังซีทนสายตาจ้องมองเหล่านั้นไม่ไหว พยายามดึงมือออก แต่กลับถูกเฉียวเหลียงจับไว้แน่นยิ่งขึ้น ถังซีกระซิบด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย “นี่คุณกำลังทำอะไร คนเยอะแยะมากมายมองเรากันใหญ่แล้ว!”
เฉียวเหลียงโอบแขนรอบไหล่เธอ ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีใครเห็นหน้าคุณเลย คุณจะห่วงอะไร”
ถังซีจ้องมองเขา “คุณตั้งใจจะทำแบบนี้ใช่ไหม”
เซียวจิ่งเคยบอกเธอว่า ในสายตาผู้คนทั่วไปเฉียวเหลียงเป็นคนบ้างาน ไม่ชอบสุงสิงกับใคร หลายคนบอกว่าน่าเสียดาย ที่เขาไม่ใช้หน้าตาอันหล่อเหลาและหุ่นเหมือนนายแบบ รวมทั้งเงินทองและอำนาจที่มีให้เป็นประโยชน์ ถ้าเขาต้องการผู้หญิงคนไหน ผู้หญิงคนนั้นจะตกอยู่ในอ้อมแขนเขาโดยง่าย น่าเสียดายที่เขาไม่ชอบผู้หญิง
แต่วันนี้เหล่าเลขานุการได้เห็นภาพอันน่าทึ่งนี้…
เลขานุการหญิงคนหนึ่งรีบเข้าไปในห้องทำงานเซียวจิ่ง และกล่าวว่า “ประธานเซียว คุณบอกว่าผู้หญิงในห้องทำงานท่านประธานเฉียวเป็นนักสะกดจิตไม่ใช่หรือคะ ทำไมเธอกับท่านประธานเฉียวถึงได้…” คำพูดของเธอขาดหายไป เมื่อเห็นสายตาเซียวจิ่งที่จ้องมา เธอก้าวถอยหลัง แล้วกล่าวจบประโยค “ท่านประธานเซียว ขอโทษค่ะที่รบกวน… ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้…”
“เดี๋ยว” เซียวจิ่งร้องเรียก ด้วยสายตาจับจ้องเลขานุการอย่างเยือกเย็น “คุณมีเวลาว่างมากนักหรือไง”
เลขานุการหญิงตัวเล็กเริ่มเหงื่อออก แม้ว่าประธานเซียวจะเข้ากับคนง่าย และมักพูดคุยกับคนอื่นอย่างไม่ถือตัว แต่เขาก็น่ากลัวเมื่อเอาจริง! เขาไม่ค่อยอยู่ในอารมณ์เอาจริงบ่อยนัก แต่เธอรู้สึกว่าชีวิตเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายในขณะนี้! เธออยากหารูมุดเข้าไปซ่อนตัวเหลือเกิน…
เธอเกือบจะร้องไห้ “ท่านประธานเซียวคะ ฉันไม่ว่างค่ะ…”
“จริงหรือ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ!” เซียวจิ่งลุกขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา โยนกองแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ “ใครเป็นคนจัดทำแบบสอบถามทางการตลาดพวกนี้ เป็นแบบสอบถามที่แย่มาก! คุณไม่ได้ตรวจสอบก่อนส่งมาให้ผมใช่ไหม บริษัทจ่ายเงินเดือนจ้างคุณมาซุบซิบนินทา แทนที่จะทำงานอย่างนั้นหรือ…
…ถ้าชอบนินทามากนัก ก็ไปเป็นปาปารัสซี่ มาอยู่ที่นี่ทำไม!” เขาเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มสีน้ำเงินบนโต๊ะขึ้นมา แล้วกล่าวต่อไป “ดูแบบสอบถามนี้สิ! เราจ้างคุณให้มาชงชากาแฟและนินทาหรือ คุณไม่รู้หรือไงว่าพวกคุณควรตรวจสอบเอกสารอย่างรอบคอบ ก่อนจะส่งมาให้เรา ถ้าผมมีเวลาอ่านขยะพวกนี้ ทำไมผมถึงยังต้องจ้างพวกคุณ”
ขณะชี้ไปที่แบบสอบถามบนโต๊ะทำงาน เขาตะคอกเสียงดัง “เอาแฟ้มพวกนี้ออกไป และส่งกลับมาให้ผมหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว! อย่าเอาเวลาไปทิ้งกับเรื่องไร้สาระอีก ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกไล่ออก!”
เลขานุการตัวเล็กยืนนิ่งด้วยดวงตาแดงเรื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อน
เซียวจิ่งขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้ยินหรือไง!”
เลขานุการรีบวิ่งไปรับแฟ้ม และกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “ได้ยินค่ะ”
“คุณรู้สึกผิดบ้างไหม” เซียวจิ่งถาม ขณะจ้องมองเลขานุการอย่างพินิจพิจารณา
เลขานุการรีบส่ายศีรษะแล้ววิ่งออกไป เซียวจิ่งขมวดคิ้วขณะมองเธอปิดประตู เขาเม้มริมฝีปาก ‘ฉันเป็นคนหนึ่งที่ควรร้องไห้ใช่ไหม ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนั้น เฉียวเหลียงออกไปเที่ยวกับน้องสาวฉัน ให้ฉันทำงานและติดแหง็กอยู่ที่นี่ ไอ้บ้าเอ๊ย! แม่เลขาฯ คนนี้ตั้งใจจะกวนน้ำให้ขุ่น เธอสมควรโดน!’
ทำไมไม่คิด! ผู้ชายปกติคนไหนอยากจะซุบซิบนินทาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างน้องสาวกับเพื่อนของเขาบ้างล่ะ
เลขานุการพวกนี้บ้าไปแล้วหรือ จะเข้ามาหาเขาเพื่อถามคำถามโง่ๆ นี้โดยเฉพาะได้อย่างไร เธอจะพยายามสร้างความไม่สบายใจให้เขาใช่ไหม
ทางอีกด้านหนึ่ง เมื่อถังซีกับเฉียวเหลียงลงมาชั้นล่าง ทั้งสองเจอฉินซินหยิ่งโดยบังเอิญ เฉียวเหลียงขมวดคิ้วและเดินต่อไปโดยไม่สนใจ แต่ฉินซินหยิ่งวิ่งไปยืนขวางทางพวกเขา และกล่าวว่า “เฉียวเหลียง เราต้องคุยกันก่อน”
ถังซีเลิกคิ้ว ขยับมือออกจากเฉียวเหลียงเล็กน้อย แต่เฉียวเหลียงตอบกลับด้วยการจ้องตาเธอ และดึงเธอเข้ามาใกล้ ก่อนจะมองไปที่ฉินซินหยิ่ง กล่าวว่า “ผมกำลังยุ่ง”