ณ ฝ่ายบริหารจัดการนักเวท

อีริคหยิบเหรียญตราอาร์คานาของลูเซียนออกมาจากกล่องเวทมนตร์ บนเหรียญตราดังกล่าว มีดาวสีเงินสี่ดวงกำลังเปล่งประกายดูงดงามและลึกลับ ตัดกับพื้นหลังสีดำ ราวกับว่ามีความลับจำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ไหนดวงดาว

“รวมแล้ว เจ็ดร้อยแปดคะแนนชื่อเสียงอาร์คานา ถึงแม้เจ้าจะหยุดตีพิมพ์บทความวิจัยอาร์คานาศาสตร์ไปสักพัก เจ้าก็ไม่มีปัญหาในการพัฒนาถึงขั้นระดับห้าภายในหนึ่งหรือสองปี” อีริคกล่าวอย่างสะเทือนอารมณ์ขณะส่งเหรียญตราให้กับลูเซียน “เจ้าจะกลายเป็นจอมเวทระดับห้าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ว่า ในบรรดาเหล่าจอมเวทระดับห้า พลังเวทมนตร์ของเจ้าก็ต่ำที่สุด”

อีริค ในฐานะจอมเวทระดับสาม ยังคงมีความหวังว่าจะสามารถพัฒนาถึงระดับสี่ ตั้งแต่สมัยที่ระยะห่างระหว่างระดับสามกับสี่อยู่ที่คะแนนชื่อเสียงอาร์คานาสองร้อยคะแนน เขาขาดอีกเพียงสามสิบหกก็จะสามารถเลื่อนสู่ระดับต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม จอมเวทระดับห้า ในมุมมองของอีริค คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อเขาเห็นชายหนุ่มผู้นี้เข้าร่วมสภาเวทมนตร์ไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมา กลับกำลังจะขึ้นเป็นจอมเวทระดับห้า อีริคก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาอยู่ในที

ตราบใดที่ชายหนุ่มผู้นี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอย่างหนักและไม่มีนิสัยหยิ่งจองหอง อีริคมั่นใจว่าไม่ช้าก็เร็ว ระดับเวทมนตร์ของลูเซียนก็จะพัฒนาขึ้นเท่าทัน และแน่นอน สภาจะช่วยนักเวทหนุ่มผู้เต็มไปด้วยพรสวรรค์ให้พัฒนาถึงขั้นชั้นอาวุโส ดังนั้น ในความคิดของอีริค ลูเซียนกำลังเดินสู่เส้นทางการขึ้นเป็นจอมเวทชั้นอาวุโส

ลูเซียนรับเหรียญตรามาและถือเล่นอยู่ในมือครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “ท่านอีริค ขอบคุณสำหรับคำชื่นชมขอรับ แต่ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่าการนั่งเฉยๆ และรอรับคะแนนชื่อเสียงสิ้นสุดลงแล้ว”

เนื่องจากการอธิบายอันดุเดือดเรื่อง ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ และเมื่อสิ้นเดือนแห่งการพักตัว หรือเป็นเดือนที่สองของปี ลูเซียนก็ได้คะแนนชื่อเสียงหนึ่งร้อยห้าสิบแปดคะแนน และเป็นคะแนนชื่อเสียงที่มาจากการถูกอ้างอิงถึงตารางธาตุและบทความวิจัยการวัดน้ำหนักอะตอมเสียใหม่เพียงสี่สิบสองคะแนนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากเดือนนั้น เนื่องจากการทดลองของเฟลิเปและการทดลองจำลองสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรือที่ตอนนี้คนเรียกกันว่า ‘การทดลองความมหัศจรรย์’ เห็นได้ชัดว่าได้รับความสำคัญมากกว่าการสังเคราะห์คาร์บาไมด์ของลูเซียน ลูเซียนจึงได้รับค่าคะแนนชื่อเสียงน้อยลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะที่จอมเวททั้งหลายเริ่มนำเสนอผลวิจัยบนพื้นฐานของตารางธาตุและการวิจัยการวัดน้ำหนักอะตอมใหม่ ลูเซียนก็ได้รับคะแนนชื่อเสียงหนึ่งร้อยสี่สิบสามคะแนนจากเรื่องนี้ ส่วนบทความวิจัยเรื่องการใช้ผลผลิตแร่แปรธาตุเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรก็ทำให้เขาได้รับคะแนนชื่อเสียงเกือบสิบคะแนน

หลังจากนั้นในช่วงสองหรือสามเดือนที่ผ่านมา ยอดรวมการอ้างอิงงานวิจัยของเขาลดลงอย่างฮวบฮาบ และกลับมาคงที่หยุดที่ประมาณสิบครั้งต่อเดือน เพราะฉะนั้น ลูเซียนจึงสามารถสรุปได้ว่า หากเขาไม่สามารถคิดค้นอะไรใหม่ได้ เขาอาจต้องใช้เวลาถึงสองปีในการขึ้นเป็นจอมเวทระดับห้า

“บทความวิจัยของเจ้าเรื่องตารางธาตุเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานการศึกษาในสำนักเวทธาตุ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะได้รับคะแนนชื่อเสียงจากผลวิจัยชิ้นนี้อย่างสม่ำเสมอทุกๆ เดือน เมื่อระดับอาร์คานาและเวทมนตร์ของเจ้าถึงระดับห้าทั้งสองแล้ว เจ้าค่อยมาหาข้าและขอประกอบพิธีกรรมเวทเพื่อช่วยให้เจ้าพัฒนาความสามารถได้ต่อไป” อีริคพยักหน้า “และ… เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านอีริคอีกต่อไป เพราะอย่างไรก็ตาม อีกไม่นานระดับอาร์คานาของเจ้าก็จะสูงกว่าข้า”

อีริคส่งเหรียญตราเวทมนตร์ให้กับลูเซียน “สองคะแนนจากคนที่เรียนรู้เวทมนตร์บทใหม่ของเจ้า และสี่สิบห้าคะแนนจากสภาเวทมนตร์ เป็นคะแนนอุดหนุน”

ตามกฎระเบียบของสภาเวทมนตร์ จอมเวทระดับหนึ่งจะได้รับการสนับสนุนเป็นเงินหนึ่งธาเล หรือคะแนนทุกๆ เดือน หรือวัสดุเวทมนตร์ที่มีค่าเทียบเท่า จอมเวทระดับสองจะได้รับการสนับสนุนห้าคะแนน ระดับสามได้รับยี่สิบคะแนน  ระดับสี่ได้รับสี่สิบคะแนน ระดับห้าได้รับแปดสิบคะแนน ระดับหกได้รับสามร้อยคะแนน ระดับเจ็ดได้รับห้าร้อยคะแนน ระดับแปดได้รับเก้าร้อยคะแนน และระดับเก้าได้รับสองพันคะแนน กฎเกณฑ์นี้ใช้ได้กับระดับเวทมนตร์เช่นกัน นักเวทสามารถได้รับคะแนนจากทั้งสองกลุ่ม

ก่อนรับเหรียญตราที่มีวงเวทสีดำสองวงบนเหรียญมาจากอีริค ลูเซียนติดเหรียญตราบนหน้าอกข้างซ้ายก่อน และในทันทีนั้นเขาก็รู้สึกถึงพลังที่ฟื้นฟูขึ้นมาก นี่เป็นเพราะการเพิ่มพลังเวทชั่วขณะแบบใหม่ที่บรรจุลงในเหรียญตราอาร์คานา เมื่อเหรียญตราพัฒนาขึ้นถึงระดับชั้นกลาง เมื่อลูเซียนกลายเป็นจอมเวทชั้นอาวุโส เขาจะได้พลังการเพิ่มเวทชั่วคราวอีกระดับ เช่นเดียวกับเหรียญตราเวทมนตร์ที่จะพัฒนาขึ้นเช่นกัน

“ขอบคุณมากขอรับ ท่านอีริค ข้าคิดว่าข้าต้องกลับแล้วล่ะ” ลูเซียนหยิบหมวกทรงสูงมาจากเก้าอี้และโค้งคำนับลงเล็กน้อย “ข้าต้องไปที่ ‘เขตแลกเปลี่ยน’ เพื่อหาวัสดุเวทบางชนิด”

ทันทีที่ลูเซียนออกจากห้องทำงานของอีริค เขาเห็นเฟลิเปเดินออกมาจากห้องทำงานอีกห้องหนึ่ง มือทั้งสองข้างของเฟลิเปรวมอยู่ในกระเป๋า และสีหน้าท่าทางเขาดูไม่ค่อยสบายนัก

เฟลิเปก็เห็นลูเซียนเช่นกัน เขาประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากพยักหน้าให้กัน เฟลิเปก็ชำเลืองมองที่อกข้างซ้ายของลูเซียน และรอยยิ้มเศร้าๆ ก็ปรากฏบนใบหน้า “ยังเหมือนเดิมหรือ? เหรียญตราสองอัน…”

เมื่อได้ยินดังนั้น ลูเซียนก็รีบจนลืมมองที่เหรียญตาของเฟลิเปบนหน้าอกของเขา มีดาวปริศนาห้าดวงบนเหรียญตราอาร์คานาของเฟลิเป ล้อมรอบด้วยประกายแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วน และที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้น บนเหรียญตราเวทมนตร์ของเขา มีวงเวทสีดำถึงหกวง!

นั่นหมายความว่า เฟลิเปเลื่อนระดับถึงขั้นอาวุโสแล้ว

ในที่สุด เฟลิเปก็กลายเป็นจอมเวทท่านอาวุโส คนแรกในกลุ่มนักเวทรุ่นใหม่ และพูดได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มแกนนำ ‘องค์กรหัตถ์ไร้ชีวา’ แล้วตอนนี้ เนื่องจากพวกเขามีนักเวทชั้นอาวุโสเพียงสี่สิบกว่าคนเท่านั้น ซึ่งรวมถึงเหล่าปรมาจารย์จอมเวทอสูรที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน

ก่อนที่ลูเซียนจะพูดอะไรออกไป เฟลิเปกลับเลือกจะเดินผ่านเขาไป เฟลิเปพูดกับสำนักด้วยเสียงเบาๆ ขณะไหล่ของทั้งสองสวนกัน “อย่าให้ข้าทิ้งห่างเกินไปนักสิ”

มุมปากของลูเซียนกระตุกเบาๆ

เมื่อลูเซียนเดินกลับเข้าไปยังห้องโถงผ่านโถงทางเดิน ซินดี้ขยิบตาให้ลูเซียน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงมืออาชีพ “ท่านอีวานส์ มีคนกำลังรอท่านอยู่ทางด้านนั้น”

ลูเซียนสับสน ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร แล้วขณะที่เขามองไปยังอีกฟากหนึ่งของห้องโถง ลูเซียนเห็นชายวัยกลางคน ร่างท้วมเหมือนลูกบอล กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวด้านข้างบาร์เครื่องดื่ม ตอนนั้นเอง เขากำลังเช็ดหน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้าเพื่อปาดเหงื่อเม็ดโป้ง ช่วงนี้อากาศร้อนแบบนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว

“ท่านอาเธอร์ ดอยล์?” ลูเซียนไม่รู้สาเหตุเลยว่าทำไมผู้อำนวยการธนาคารสหพันธ์เมืองโฮล์มถึงอยากพบเขา

เมื่อเห็นลูเซียนยืนอยู่ อาร์เธอร์ รีบฝากผ้าเช็ดหน้าไว้กับเลขานุการประจำตัวสุดสวย แล้วเดินตรงเข้ามาหาลูเซียน ตามด้วยองครักษ์ส่วนตัวร่างกายกำยำสองคน เขาจับมือลูเซียนอย่างตื่นเต้นด้วยมือทั้งสองข้างแล้วกล่าวทักทาย “ท่านอีวานส์ ข้าเพิ่งไปที่คฤหาสน์ของท่านมา พนักงานของท่านบอกข้าว่าท่านมาที่นี่ ข้าจึงรีบตามมา ดูสิ เหงื่อเต็มไปหมด ข้าคิดว่าข้าอย่ากอดกันดีกว่า ฮ่าๆ”

ผู้อำนวยการร่างอ้วนเป็นคนค่อนข้างสุภาพ ความประทับใจแรกของลูเซียนต่อเขาก็ไม่เลวร้ายนัก

“ท่านดอยล์ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือขอรับ?” ลูเซียนถาม

รอยยิ้มเป็นมิตรปรากฏบนใบหน้าอ้วนกลมของอาร์เธอร์ “ท่านอีวานส์ ดื่มอะไรเสียก่อนเถิด”

ซินดี้ยก ‘สกาย บลู’ เครื่องดื่มยอดนิยมของนครเรนทาโต สองแก้วมาบริการพวกเขา ด้วยความสงสัย นางยังไม่เดินจากไปไหน ดังอยากรู้ว่าทำไมนักธุรกิจผู้โด่งดังและเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเรนทาโต ถึงอยากคุยกับลูเซียน

ด้านหลังเคาน์เตอร์อีกฝั่งหนึ่ง โดนาก็กำลังสงสัยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถทิ้งโต๊ะรับแขกตามอำเภอใจได้ ตอนนี้นางทำได้เพียงจ้องมองไปที่ซินดี้ ซึ่งเล่นบทเป็นเลขานุการของลูเซียน ด้วยท่าทางที่ไม่มีความสุขมากนะ อย่างไรก็ตาม ซินดี้ทำได้เพียงมองไปทางอื่นและแสร้งทำว่านางไม่เห็นอะไร

อาร์เธอร์ขยับแว่นเบาๆ และจิบเครื่องดื่ม “นี่ช่วยให้สดชื่นขึ้นเยอะ”

หลังจากชำเลืองมองไปทางซินดี้ อาร์เธอร์พูดต่อ เนื่องจากไม่มีอะไรต้องปิดบัง “ท่านอีวานส์ ข้ามาที่นี่วันนี้เพราะอยากได้ความร่วมมือจากท่าน”

“อย่างนี้นี่เอง…” ลูเซียนควงแก้ววนของเหลวภายใน

เลขานุการสาวสวยของอาร์เธอร์หยิบเอกสารออกมาปึกหนึ่งและจะส่งให้กับลูเซียน ก่อนที่อาร์เธอร์จะพูดต่อ “ข้าไปที่ซาริวามาแล้ว และผลผลิตในการทดลองของท่านช่างอยู่เหนือความคาดหมาย ข้าคิดว่าคงไม่มีใคร ไม่ว่าคุณนางหรือชาวไร่ ที่จะปฏิเสธผลผลิตแร่แปรธาตุที่ท่านค้นพบ ข้ารู้มาจากเจ้าชายแพทริก ท่านมีแผนจะผลิตในปริมาณมากๆ ท่านอีวานส์ เพราะท่านเป็นผู้ค้นพบผลผลิตพวกนี้เป็นคนแรก ตามกฎหมายแล้ว ท่านสามารถตัดสินใจว่าจะทำงานร่วมกับใคร และตามระเบียบของสภาเวทมนตร์ ถ้าเราสามารถตั้งบริษัทด้วยกัน สภาเวทมนตร์จะได้ส่วนแบ่งสิบห้าเปอร์เซ็นต์  และท่านจะได้อีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์  ข้าขอบอกอย่างนี้ว่า… ข้าหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันเพื่อส่งเสริมและขายผลผลิตแร่แปรธาตุพวกนั้น ทั้งสภาหรือท่านไม่ต้องใช้เงินแม้แต่ธาเลเดียว ธนาคารของเราจะจ่ายทุกอย่าง ข้าอยากให้ท่านมั่นใจว่าเราคือหุ้นส่วนที่ดีที่สุด”

ลูเซียนเปิดอ่านเอกสารคร่าวๆ แล้วเขารู้ว่าการผลิตผลผลิตแร่แปรธาตุปริมาณมากๆ ต้องการความช่วยเหลือจากสหพันธ์เหมืองแร่ ฉะนั้น ลูเซียนจึงค่อนข้างเปิดรับข้อเสนอนี้

“พูดกันตรงๆ ท่านดอยล์ ข้าสนใจขอรับ แต่ต้องขอพิจารณาเงื่อนไขในสัญญาโดยละเอียดเสียก่อน” แน่นอน ลูเซียนอยากมีรายได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่มีทางอื่นที่เขาจะปฏิเสธอาร์เธอร์ในตอนนี้

อาร์เธอร์ยิ้มกว้าง “ท่านอีวานส์ ท่านเป็นนักเวทผู้มีพรสวรรค์ ที่ได้รับการยกย่องจากทั้งสภาและเจตจำนงแห่งธาตุ ข้าเป็นเพียงนักธุรกิจธรรมดาๆ อ๋อ… นักธุรกิจชั้นสูง… แต่แล้วอย่างไรล่ะ? สิ่งสุดท้ายที่ข้าจะทำคือการโกหกสภาและท่าน ถ้าพูดตรงๆ เช่นกัน ตอนนี้ข้ายังไม่อยากตาย”

เห็นได้ชัดว่า ในสายตาคนส่วนใหญ่แล้ว นักเวทเป็นพวกที่น่ากลัว แม้ว่าหลายคนอยากเป็นนักเวท แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยชอบหน้าผู้ที่สามารถกำหนดตาชีวิตของตัวเองโดยง่ายๆ

หลังจากการเจรจากับอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง อาร์เธอร์ลดเสียงลงและกระซิบข้างลูเซียน “อันที่จริง ข้าถูกเจ้าชายแพทริกส่งมา หากท่านตกลงทำงานกับเรา เจ้าชายแพทริกจะประทานส่วนแบ่งพิเศษให้กับท่านอีกห้าเปอร์เซนต์ เป็นของขวัญจากฝ่าบาท”

ลูเซียนยิ้มกว้าง เมื่อใครบางคนที่เขารู้จักในนครอัลโต้ผุดขึ้นในความคิด แต่แล้วเขาก็ส่ายหน้า “อันที่จริง เป็นเพราะฝ่าบาท ข้าเต็มใจจะล้มเลิกความคิดเดิมของข้า ซึ่งต้องการที่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ข้าหวังว่าเราจะร่วมมือกันได้ด้วยดี”

“วิเศษ! ขอบคุณมาก ท่านอีวานส์” อาร์เธอร์ ดอยล์ ดีใจจนออกนอกหน้าเห็นได้จากรอยยิ้มที่ยกแก้มของเขาจนแทบฉีกถึงจุดที่ดวงตาหายไป

หลังจากตรวจสอบและลงนามในสัญญา อาร์เธอร์ถามลูเซียน ส่วนหนึ่งก็เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว “ท่านอีวานส์ ท่านมีชื่อผลิตภัณฑ์ของเราหรือยัง? ท่านรู้ไหม ชื่อง่ายๆ ดีๆ จะช่วยส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์…”

ลูเซียนเริ่มสำรวจความคิดอยู่พัก แล้วลองเสนอชื่อออกไป “จินเคลา”

…………………………………………………………