“จิน…เค…ลา…?” อาร์เธอร์รู้สึกสับสนมาก เขาถึงขนาดพูดคำนี้ซ้ำกับตัวเองสองสามครั้งเพื่อทำความเข้าใจความหมายที่เป็นไปได้ของคำนี้ ซึ่งเกือบจะทำให้ลูเซียนหลุดหัวเราะออกมา
“ถ้าอย่างนั้น…” ลูเซียนลูบที่แก้มของตัวเองเบาๆ เพื่อตั้งสติอย่างจริงจัง “เนื่องจากพื้นดินต่างกัน บางครั้งเราต้องใช้ผลผลิตแร่แปรธาตุแยกต่างหาก เมื่อเราผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ถ้าขอเรียกว่า ‘จินเคลา’ แล้วเราก็จะมีจินเคลา สูตรหนึ่ง จินเคลา สูตรสอง อะไรประมาณนี้ขอรับ…”
เมื่อเห็นลูเซียนกล่าวด้วยท่าทางค่อนข้าง ‘จริงจัง’ อาร์เธอร์ก็มีรอยยิ้มของนักธุรกิจปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เป็นชื่อที่ดี ท่านอีวานส์ ชื่อนี้เยี่ยมมาก! เรามาเรียกมันว่า… อืม… จินเค… ลา”
อันที่จริง ลูเซียนไม่คิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อเหมือนกับ วิกเตอร์และไรน์
หลังจากได้ชื่อผลิตภัณฑ์แล้ว ทั้งสองก็ช่วยกันตั้งชื่อบริษัทที่จะตั้งใหม่ว่า ‘โฮล์มการแร่และการเกษตร’
โดยมีอีริคเป็นพยาน อาร์เธอร์และลูเซียนลงนามในสัญญาอีกฉบับหนึ่ง และอีริคก็ลงนามเช่นกัน ในนามของตัวแทน ‘สภาเวทมนตร์’
“ชนแก้ว ท่านอีวานส์ ท่านอีริค” อาร์เธอร์ยกแก้วของเขาขึ้นมา
ลูเซียนยิ้มและดื่มเหล้าในแก้วจนหมด “หวังว่าเราจะร่วมงานกันได้ด้วยดีนะขอรับ ท่านดอยล์ ตอนที่ท่านโฆษณาผลิตภัณฑ์ ท่านต้องระบุปริมาณการใช้ให้ชัดเจน เพราะการใช้มากเกินไปอาจทำให้ดินเสียหาย”
“แน่นอน เราเคารพความเห็นของจอมเวทเสมอ” อาร์เธอร์พยักหน้า และสั่งให้เลขาส่วนตัวหยิบเอกสารออกมาอีกปึกหนึ่ง และส่งให้กับลูเซียน
“นี่เป็นแผนการผลิตในปริมาณมาก รบกวนช่วยตรวจดูการออกแบบวงเวทหน่อยท่านอีวานส์ ลองดูนะว่ามีตรงไหนควรแก้ไขหรือเปล่า เพราะท่านคือมืออาชีพที่เราไว้ใจ” อาร์เธอร์พยายามหาเรื่องอวยลูเซียน เพราะอย่างไรก็ตาม ลูเซียนก็เป็นจอมเวทระดับสี่ และเป็นเจ้าของรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’
ลูเซียนเปิดอ่านแผนการผลิตอย่างรวดเร็วลักษณะคำว่าแผนการนี้ตั้งอยู่บนหลักการของงานวิจัยเกี่ยวกับวิธีการลดการบริโภคพลังงานและต้นทุนของวงเวทแร่แปรธาตุขนาดใหญ่ให้มากที่สุดโดยการแปรพลังงานเป็นรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร ‘การเล่นแร่แปรธาตุ’ ฉบับล่าสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ตามบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนเสนอว่าการสร้างหอคอยเวทมนตร์คร่อมแม่น้ำที่มีกระแสน้ำไหลผ่านปริมาณมากจะช่วยสะสมพลังงานศักย์ และแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าผ่านสนามแม่เหล็ก
“โรงไฟฟ้าพลังน้ำเวทมนตร์…” ลูเซียนบ่นพึมพำ
ลูเซียนรู้ดีว่าวิธีการบริหารจัดการวงเวทแร่แปรธาตุไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะผลิตภัณฑ์จะราคาสูงมาก เนื่องจากจะต้องใช้อัญมณีเวทมนตร์พิเศษในปริมาณมาก ซึ่งสามารถสะสมพลังจากแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ หรือเงามืดได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อการทำงานอย่างเหมาะสม และแม้ว่าวงเวทพวกนี้ไม่ได้ติดตั้งเพื่อการใช้งานอย่างถาวร แต่การเปลี่ยนส่วนใดส่วนหนึ่งก็มีราคาสูงเช่นกัน
ไม่ว่าวิธีไหน ลูเซียนยิ้มและส่งแผนการผลิตกลับให้กับอาร์เธอร์ “แผนนี้ดีมาก พลังพิเศษอาจสามารถใช้กับอย่างอื่นได้อีกด้วย”
“วิเศษ ข้าจะประสานงานกับนักเวทแร่แปรธาตุ และท่านอีวานส์ ถ้าท่านมีข้อเสนอแนะอะไร ได้โปรดบอกเรา” อาร์เธอร์พยักหน้า “ปีนี้เป็นปีแรกของการตั้งต้นทุกอย่าง ท่านอาจจะยังไม่ได้กำไร แต่ท่านจะเห็นตัวเงินเป็นกอบเป็นกำในปีที่สอง ท่านอีวานส์”
หลังจากอาร์เธอร์ ดอยล์ กลับไป ขณะที่ลูเซียนหันไปกล่าวร่ำลากับอีริค เขาเห็นสาวๆ เจ้าหน้าที่ต้อนรับทั้งสองนางจ้องมองมาทางเขาพร้อมเอามือเท้าคางและส่งสายตาเป็นประกาย
“เป็นคนเก่งนี่ดีจริงๆ เลยนะเจ้าค่ะ… ท่านอีวานส์” ซินดี้ถอนหายใจด้วยหลากหลายอารมณ์ แล้วนางก็กำมือขวาขึ้นโบกไปมา “ข้าจะต้องเป็นนักเวทให้ได้! ข้าอยากให้คนอื่นเคารพข้าเหมือนท่าน ท่านอีวานส์! และข้าจะต้องร่ำรวยอย่างที่ข้าคู่ควร!”
ซินดี้เกิดในตระกูลพลเมืองสามัญชนในนครเรนทาโต สมัยที่นางยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย นางได้ยินชื่ออาร์เธอร์ ดอยล์ ตลอดเวลาจากพวกผู้ใหญ่และหนังสือพิมพ์โฮล์มนิวส์ เมื่อนางเห็นอากัปกิริยาที่อาร์เธอร์ ดอยล์ สนทนากับลูเซียน นางก็ตระหนักได้จริงๆ ว่าการเป็นนักเวทมีความหมายต่อสังคมนี้ขนาดไหน ตอนนี้นางเชื่อในพลังแห่งความรู้และวิริยะอุตสาหะ นางเชื่อว่าตราบใดที่ทำงานหนัก จะต้องพบความสำเร็จอยู่ที่ปลายทาง
โดนาเองก็ยิ้มกว้าง “ท่านอีวานส์ เราสองคนน่าจะเรียนจากท่าน เรื่องราวของท่านสอนให้เรารู้ว่าการทำงานหนักย่อมได้ผลตอบแทน แล้ว ตอนนี้ท่านยังรับลูกศิษย์เข้าเรียนวิชาอาร์คานาศาสตร์ไหมเจ้าค่ะ? เราสองคนขอเป็นศิษย์ของท่านได้ไหม?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าอีริค โดนาเลือกที่จะเรียกลูเซียนว่า ‘ท่านอีวานส์’ อย่างไรก็ตาม ในความคิดของนาง นางค่อนข้างให้ความยำเกรงกับลูเซียน แม้จะเป็นเพื่อนกัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นเหรียญตราอาร์คานาและเวทมนตร์ของลูเซียน ลูเซียนมีพัฒนาการที่น่ามหัศจรรย์จนสหายทุกคนของเขาต่างคิดว่าถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“ถ้าเจ้าสองคนมีเวลา วันเสาร์เข้ามาเรียนได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” ลูเซียนพูด เขานึกสงสัยอยู่ในใจว่าถ้ากลุ่มวิชาการเรียนอาร์คานาศาสตร์โตขึ้นๆ บางทีในอนาคต กลุ่มนี้อาจกลายเป็นกลุ่มเหมือน ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ หรือ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’
อีริคมองลูเซียนและพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จนแล้วจนรอด เขาก็แค่พยายามปลอบใจลูเซียน “อีวานส์ เจ้าพึ่งเจอกับเฟลิเปใช่ไหมล่ะ? อย่าคิดมาก… เขาก็เป็นอย่างนั้นแหละ”
อีริคได้ยินบทสนทนาช่วงแรกระหว่างเฟลิเปกับลูเซียนดังมาถึงห้องทำงาน
ซินดี้และโดนาก็เงียบลงในทันที เพราะเหตุผลหนึ่ง เฟลิเปเป็นเจ้าของรางวัล ‘บัลลังก์นิรันดร’ สองสมัยก็เพราะการทดลองที่ล้มล้าง ‘ทฤษฎีพลังชีวิต’ และอีกอย่าง เขาก็ได้รับรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ร่วมกับผู้นำเจตจำนงแห่งธาตุปริศนาคนหนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนาม ในฐานะผู้ชนะรางวัลนี้คนที่ยี่สิบเจ็ด ชื่อเสียงและเกียรติยศของเฟลิเปขึ้นสู่จุดสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของหัตถ์ไร้ชีวา การทดลองการสังเคราะห์คาร์บาไมด์ไม่ได้มีความสำคัญพอ และ ‘การทดลองมหัศจรรย์’ ที่จำลองสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก็ยังต้องมีการศึกษาต่อไปสำหรับวัตถุประสงค์การใช้เป็นการเฉพาะ เพราะฉะนั้นพวกเขาถึงไม่มอบรางวัล ‘บัลลังก์นิรันดร’ ให้กับลูเซียน
ฉะนั้น สาวๆ ทั้งสองนางและอีริคเชื่อว่าลูเซียนคงไม่อยากเจอหน้าเฟลิเป
ครั้งนี้ เฟลิเปได้รับเสื้อคลุมเวทมนตร์เป็นรางวัลจากบัลลังก์นิรันดร ขณะที่ครั้งก่อน เขาได้รับเครื่องรางเวทมนตร์ เสื้อคลุมเวทมนตร์ตัวนี้ชื่อว่า ‘ชีวิต’ และแหวนที่เขาได้รับจากรางวัลมงกุฎแห่งโฮล์มชื่อว่า ‘กรดแห่งนักปราชญ์’ ซึ่งมีที่มาจากกรดไขมันที่เขาสังเคราะห์ขึ้นได้
และแน่นอน การเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าเฟลิเปได้รับสุดยอดอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับเจ็ดอีกสองชิ้น ทำให้เขาอิจฉา
…
ณ เมืองซาริวา
รอย ชาวไร่สามัญชน ถือเครื่องไม้เครื่องมือทำไร่เดินผ่านไร่ทดลอง เขารู้ว่าเขาใช้เวลาอยู่ตรงนี้มานานมากแล้ว แต่เขาก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้มองผลงานตรงหน้า
ทุ่งข้าวธัญญาหารเจริญเติบโตขึ้นสวยงามอย่างสมบูรณ์! ผลผลิตรอบนี้ช่างงดงามเหลือเกิน!
“ข้าอยากมีไร่แบบนี้บ้าง…” รอยบ่นพึมพำกับตัวเอง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวัง เขาหวังว่าวันหนึ่งผลผลิตของเขาจะเจริญเติบโตได้เช่นนี้ หลังจากเสียภาษีทั้งหมด เขายังสามารถเลี้ยงดูลูกๆ ของตัวเองได้ พวกเขาจะได้ไม่ต้องอดอยากจนข่มตานอนไม่หลับในตอนกลางคืน
และถ้าเขาสามารถมีผลผลิตงดงามขนาดนี้ไปได้สองสามปีติดต่อกัน เขาจะสามารถเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง และส่งลูกชาย วิลเลียม เข้ารับการฝึกอัศวิน
ในฐานะพ่อคน ในหัวของรอยมีแต่เรื่องลูกๆ อย่างไรก็ตาม อีกความคิดหนึ่ง ก็ทำให้รอยรู้สึกท้อแท้ขึ้นมา
ณ ตอนนั้นเอง มีกลุ่มผู้ชายและผู้หญิงหน้าตาสะโอดสะองและหูยาวเดินมาทางเขา ผู้หญิงที่เป็นแกนนำของกลุ่มเอ่ยปากถามเขา “บอกข้าได้ไหม ทำไมเจ้าท่าทางเป็นทุกข์เมื่อเห็นผลผลิตงดงามขนาดนี้?”
เมื่อเห็นว่าสตรีผู้นั้นงดงามยิ่งกว่าธิดาของนายกเทศมนตรีของเมืองมากมายนัก ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ รอยตอบด้วยน้ำเสียงประหม่า “…ท่านหญิง… ข้า… ข้าไม่มีความสุขขอรับ ข้าคิดว่า… สิ่งที่ทำให้ผลผลิตงดงามขนาดนี้คงตกเป็นของพวกเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น… ข้า… ข้าหมายความว่า…”
รอยไม่ได้รับการศึกษา เขาไม่รู้จะพูดต่อว่าอย่างไร
ครั้งนี้ ไอริสทีนและอาร์เซเลียนแอบนั่งรถไฟเวทมนตร์กลับมาโดยไม่ให้สภาเวทมนตร์รู้ เนื่องจากทั้งสองต้องการเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับไร่ทดลองด้วยตาของตัวเอง
เมื่อเห็นผลผลิตงดงาม ทั้งสองต่างดีอกดีใจ
“ไม่ต้องกังวล” ไอริสทีนยิ้ม “ผลิตภัณฑ์แร่แปรธาตุพวกนี้สร้างขึ้นมาเพื่อพวกเจ้า สำหรับชาวไร่ชาวนาทั้งหลาย พวกเจ้าก็จะมีผลผลิตที่งดงามอย่างนี้ในไม่ช้า”
“แต่… ข้าไม่มีเงิน” ร่างของรอยสั่นไปทั้งตัวด้วยความเครียด เขากังวลว่าเขาอาจถูกบังคับให้ต้องซื้อผลิตภัณฑ์พวกนี้ เหมือนที่ถูกบังคับให้เสียภาษี
“ของพวกนี้ราคาถูก” ไอริสทีนพยายามปลอบใจเขา “คนรวยพวกนั้นรู้วิธีคิดเลขดี”
เมื่อได้ยินดังนั้น รอยก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง แล้วเขาก็รีบถามออกไป “เราขอใช้มันก่อน แล้วจ่ายทีหลังได้ไหมขอรับ?”
“ก็อาจจะ” ไอริสทีนก็ไม่รู้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร แล้วนางก็รีบจากไปพร้อมกับกลุ่มของนาง
เมื่อเห็นกลุ่มนั้นจากไปแล้ว รอยคิดกับตัวเอง ‘นี่พวก… เอลฟ์สินะ? หูยาวอย่างกับ…’
แต่เมื่อเขาหันกลับมามองท้องทุ่งนาอีกครั้ง หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความปลื้มปิติจริงๆ เสียที
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากขอขอบคุณพระเจ้า เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าผลิตภัณฑ์พวกนี้ประดิษฐ์โดยนักเวท
รอยก็ไม่ใช่ผู้ศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระเจ้าแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงก็คืออนาคตของลูกๆ
…
เมื่อไอริสทีนและอาร์เซเลียนกำลังมุ่งหน้าไปยังโรงงานแร่แปรธาตุ พวกเขาก็ได้สัมผัสได้ถึงกลิ่นฉุนรุนแรงบางอย่าง
พวกเขาสับสน และเดินเร็วขึ้นๆ จนกระทั่งเห็นโรงงานขนาดใหญ่ตั้งอยู่
โรงงานหลังนี้ใหญ่มาก ราวกลับหอคอยเวทมนตร์ขนาดมหึมา นอกเหนือจากเสียงดังอื้ออึงและกลิ่นรุนแรง ลำน้ำบริเวณรอบๆ โรงงานกลายเป็นสีค่อนข้างดำ และมีปลาตายลอยอยู่
“ปีศาจ… เราได้ปลดปล่อย… ปีศาจออกมา…” ไอริสทีนพูดพึมพำราวกับนางกำลังอยู่ในฝันร้าย
……………………………….