[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 556 : นายน้อย!
“พี่หยุน.. พิธีเปิดคลินิกพรุ่งนี้ฉันชวนเพื่อนซี้สองสามคนมางานด้วยนะ คืนนี้ฉันก็จะว่าจะแวะไปหาพวกเขาซะหน่อย..”
“เพื่อนซี้นายเหรอ.. ใครกัน?” หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าถังเมิ่งจะมาไม้นี้ จึงได้แต่ถามยิ้มๆ
“ฉันกับหลี่จิ้งเฉินเล่นกัน แล้วก็สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้กลับไม่ค่อยมีเวลาได้ไปมาหาสู่กันเลย เพราะฉันเองก็ยุ่งมาก!” ถังเมิ่งตอบยิ้มๆ
เพื่อนสนิทของถังเมิ่งนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนๆที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังได้ฉายาว่าหนุ่มเพลย์บอยเหมือนๆกันอีกด้วย
“แล้วทำไมฉันไม่เคยเห็นเพื่อนซี้นายที่โรงเรียนบ้างเลยล่ะ?” หลิงหยุนร้องถามอย่างแปลกใจ
“นี่พี่หยุน.. ในจิงฉูไม่ได้มีแค่โรงเรียนมัธยมจิงฉูแห่งเดียวสักหน่อย..” ถังเมิ่งมองหลิงหยุนอย่างไม่อยากจะเชื่อในความไม่รู้ของเขา เพราะในจิงฉูมีโรงเรียนมัธยมอยู่ตั้งมากมายหลายแห่ง
“เอาล่ะ.. ฉันกับเซียนเอ๋อจะกลับไปบ้านเลขที่-9 ก่อน เสี่ยวอู๋.. นายอยู่เฝ้าบ้านไป แล้วถ้าฉันยังไม่กลับมา ให้นายฝึกวิชาดาราคุ้มกายไปก่อน”
ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ต้องการพบไป๋เซียนเอ๋อ และถึงเวลาที่หลิงหยุนต้องพานางไปพบพวกเธอทั้งคู่แล้ว
“เซียนเอ๋อ.. เจ้าเคยพบกับหลิงยู่แล้ว เจ้ายังจำนางได้ใช่หรือไม่? หลิงยู่กับน้าหญิงเป็นญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของข้า ในวันข้างหน้าเจ้ามีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองพวกนาง เข้าใจหรือไม่?”
ระหว่างทาง.. หลิงหยุนไม่ลืมที่จะอบรมไป๋เซียนเอ๋อ “ต่อไป.. เจ้าอาจพบเจอผู้คนที่ตะโกนเสียงดังใส่ข้าบ้าง หรือถกเถียงกับข้าบ้าง เจ้าอย่าได้กังวล หรือเป็นห่วงข้ามากจนเกินไป เพราะผู้คนล้วนแล้วแต่มีอุปนิสัย และอารมณ์ที่แตกต่างกันไป..”
หลิงหยุนต้องค่อยๆ อธิบายให้ไป๋เซียนเอ๋อเข้าใจ เพราะเมื่อเช้านี้เขากับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เพิ่งจะมีปากเสียงกัน ดังนั้นไป๋เซียนเอ๋อจำเป็นต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจในเรื่องพวกนี้ไปเรื่อยๆ
ฉินตงเฉี่วยเป็นญาติผู้ใหญ่ของหลิงหยุน หากนางต้องการอบรมสั่งสอนหลิงหยุน แล้วไป๋เซียนเอ๋อไม่เข้าใจ นางคงจะต้องปะทะกับฉินตงเฉี่วยอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น มีหวังบ้านทั้งหลังของเขาคงต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน และแม้แต่หลิงหยุนเองก็คงยากที่จะหยุดยั้งคนทั้งคู่ได้
แต่ครั้งนี้ไป๋เซียนเอ๋อนั้นกลับว่านอนสอนง่ายเกินกว่าที่หลิงหยุนจะคาดเดาได้ นางรีบยิ้มและพยักหน้าอย่างประจบสอพลอ
“ถอดแว่นกันแดดออกได้แล้ว ที่นี่มีแต่คนในครอบครัว เจ้าไม่จำเป็นต้องอำพรางใบหน้า..”
เมื่อขับมาถึงหน้าประตูบ้านเลขที่-9 หลิงหยุนจึงหันไปบอกไป๋เซียนเอ๋อ
ทั้งฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ต่างก็อยู่บ้านด้วยกันทั้งคู่ และทันทีที่ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา หญิงสาวทั้งคู่ก็รีบวิ่งออกมาทักทาย
หลิงหยุนได้กลิ่นหอมของอาหารโชยออกมาจากในบ้าน เขาลงมาจากรถพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับสูดดมกลิ่นอาหาร และได้แต่คิดในใจว่า.. ช่างคล้ายคลึงกับกลิ่นอาหารฝีมือแม่ของเขามาก หรือว่าแม่ของเขาจะกลับมาแล้ว?
“น้าหญิง.. ใครทำอาหารอยู่ในครัว? กลิ่นหอมโชยมาถึงนี่เลย..”
‘….’
ไม่มีเสียงตอบ.. ทั้งฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ต่างก็อยู่ในอาการตกตะลึง เมื่อได้เห็นไป๋เซียนเอ๋อเดินลงมาจากรถ
ความงดงามของไป๋เซียนเอ๋อนั้น เป็นความงดงามที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม หากได้พบเห็นนางเป็นครั้งแรก ก็ต้องตกตะลึงไปตามๆกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น
แต่ไม่สิ..! น่าจะยังมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง เพราะเมื่อครั้งที่ธิดาพรรคมารได้พบกับไป๋เซียนเอ๋อนั้น นางกลับสงบนิ่งไม่มีท่าทีตกตะลึง หรือแปลกใจแม้แต่น้อย!
“หลิงหยุน.. นี่.. นี่คือ?!”
“ห๊ะ.. นี่เธอ เธอ..”
“ช่างงดงามเหลือเกิน!” และนี่คือคำพูดที่ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ต่างก็ร้องอุทานออกมาพร้อมๆกัน
ความจริงแล้ว.. หนิงหลิงยู่เองก็ไม่ได้งดงามน้อยไปกว่าไป๋เซียนเอ๋อ เพียงแต่หนิงหลิงยู่นั้นไม่มีเสน่ห์ในแบบที่สุนัขจิ้งจอกมีเท่านั้นเอง
หญิงสาวคนหนึ่งมีร่างเป็นกายอัปสรที่หาได้ยากยิ่ง ส่วนอีกคนก็เป็นสุนัขจิ้งจอกเก้าหาง!
แม้แต่เทพธิดาฉินเองก็ถึงกับตกตะลึงในความงดงามของไป๋เซียนเอ๋อ!
“น้าหญิง.. หลิงยู่.. นี่คือไป๋เซียนเอ๋อ!”
หลิงหยุนยืนมองสีหน้าตกใจของหญิงสาวทั้งสองคนอย่างมีความสุข ก่อนจะดึงไป๋เซียนเอ๋อเข้ามาพร้อมกับเอ่ยแนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จัก
ทั้งฉินตงเฉี่วยและหนิ่งหลิงยู่เอง ต่างก็คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าหญิงสาวผู้นี้จะต้องเป็นไป๋เซียนเอ๋อ แต่ทันทีที่หลิงหยุนเอ่ยปากแนะนำอย่างเป็นทางการ ฉินตงเฉี่วยก็รีบตรงเข้าไปจับมือไป๋เซียนเอ๋ออย่างสนิทสนม และทักทายอย่างเป็นกันเอง
“เซียนเอ๋อ.. เร็วเข้า! เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า จะได้ทานข้าวพร้อมกันด้วย!”
ไป๋เซียนเอ๋อเดินตามฉินตงเฉี่วยกับหนิงหลิงยู่ที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับการต้อนรับนางไป หญิงสาวทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่นาน และสุดท้ายก็ชวนกันดื่มชา หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จู่ๆ ผู้หญิงในวัยห้าสิบปีแต่งตัวสะอาดเรียบร้อยคนหนึ่ง ก็เดินถือชุดน้ำชาออกมาจากห้องครัว
‘ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9!’
“นายน้อยกลับมาแล้วหรือ? นายน้อยช่างหน้าตาหล่อเหลาจริงๆ เพิ่งมาถึงคงจะคอแห้ง.. มาดื่มน้ำชาก่อนสิ!”
‘นายน้อยงั้นรึ? นี่ข้ากลายเป็นนายน้อยไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แล้วนี่เจ้าเป็นใคร มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’
หลิงหยุนนั่งนิ่งครุ่นคิดอย่างงุนงง ฉินตงเฉี่วยจึงรีบพูดขึ้นว่า “เจ้าเด็กโง่! ยังไม่รีบลุกขึ้นทักทายป้าเหมยอีกรึ!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็รู้แล้วว่ากลิ่นหอมของอาหารเมื่อครู่เป็นฝีมือผู้ใด? เขารีบคุกเข่าลงและโค้งศรีษะเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยความเคารพ
“ป้าเหมย!”
“นายน้อย.. อย่าทำเช่นนี้ ข้าจะอายุสั้น รีบลุกขึ้นเร็วเข้า!”
ป้าเหมยมองด้วยความตกใจ และรีบวางชุดชาลงบนโต๊ะ แล้วรีบพยุงหลิงหยุนให้ลุกขึ้น
“ป้าเหมย.. หลิงหยุนยังเป็นเด็ก อีกทั้งอยู่ข้างนอนมาตลอด ท่านต้องอบรมเขาให้มาก..”
ฉินตงเฉี่วยจับแขนป้าเหมยพร้อมกับร้องบอก แล้วหันไปขยิบตาให้หลิงหยุน
“หลิงหยุน.. เจ้าเด็กดื้อ! ป้าเหมยเป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลฉิน ทั้งข้าและพี่ใหญ่ต่างก็เติบโตขึ้นมาด้วยมือของนาง หากเจ้ากล้าไม่เคารพนางแล้วล่ะก็ ป้าเหมย.. ท่านคอยดูว่าข้าจะจัดการกับเขายังไง?”
จากคำพูดของฉินตงเฉี่วย หลิงหยุนเข้าใจได้ทันทีว่า ป้าเหมยท่านนี้คงต้องเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ และอาศัยอยู่กับตระกูลฉินมานาน เรียกได้ว่าตั้งแต่ยังสาว และได้เคยเลี้ยงดูฉินจิวยื่อกับฉินตงเฉี่วยมา
หลิงหยุนได้แต่นึกหวาดกลัว และแอบคิดอยู่ในใจเงียบๆว่า ไม่ใช่ว่าตระกูลฉินตกต่ำไปแล้วงั้นหรือ? เหตุใดจึงยังมีบ่าวที่เป็นถึงยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9?
หลิงหยุนอดที่จะนึกถึงตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดในเมืองหลวงไม่ได้.. ตระกูลใหญ่เหล่านั้นจะแข็งแกร่งสักเพียงใด? อีกทั้งต้องไม่ธรรมดาอย่างที่เขาเคยพบเห็นมาอย่างแน่นอน
“คุณหนูรองคะ.. ในเมื่อนายน้อยเป็นบุตรชายของคุณหนูใหญ่ ก็ต้องมีฐานะเช่นเดียวกับหลิงยู่..”
คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของป้าเหมย ก็สามารถบ่งบอกได้ว่านางเป็นคนถ่อมเนื้อถ่อมตัว ทำให้หลิงหยุนรู้สึกประทับใจในตัวหญิงชราเป็นอย่างมาก
หลิงหยุนจึงรีบพูดขึ้นว่า “ป้าเหมย.. ข้ายังเด็ก ท่านเรียกข้าว่าหลิงหยุนเถิดนะ!”
หลิงหยุนรู้สึกเก้อเขิน และไม่คุ้นเคยกับคำเรียกขานของหญิงชรา และได้ขอร้องนางว่า “อย่าเรียกข้าว่านายน้อยอีกเลยนะ..”
ฉินตงเฉี่วยเหลือบมองหลิงหยุน แล้วหันไปพูดกับป้าเหมยอีกครั้ง “ในเมื่อฐานะเช่นเดียวกันกับหลิงยู่ ท่านก็เรียกชื่อของเขาเถิด..”
ป้าเหมยรับใช้ตระกูลฉินมานานกว่าสี่สิบปี นางได้ดูแลฉินจิวยื่อ และฉินตงเฉี่วยมา แน่นอนว่าฐานะและความรู้ของนางจึงไม่ธรรมดาเลย ป้าเหมยเพียงแค่ยิ้มน้อยๆเป็นการตอบตกลง
หลังจากที่ฉินตงเฉี่วยแนะนำไป๋เซียนเอ๋อให้นางรู้จัก ป้าเหมยก็ถึงกับตกใจ แต่เมื่อหายจากอาการตกตะลึงแล้ว นางก็เริ่มรินชาให้กับทุกคนอย่างมีความสุข ฉินตงเฉี่วยเองก็นั่งนิ่งให้นางรินชาน้ำชาให้ เพราะป้าเหมยนั้นดูแลฉินตงเฉี่วยมาตั้งแต่เด็ก นางจึงค่อนข้างคุ้นเคย
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ป้าเหมยถูกเรียกตัวมามาที่นี่ ก็เพื่อให้มาดูแลนางกับหนิงหลิงยู่ และนั่นก็ช่วยให้ฉินตงเฉี่วยแก้ปัญหาจุกจิกต่างๆไปได้มาก
“พวกท่านรอเดี๋ยว ข้าจะไปยกอาหารมาให้ทานกันเลย” ป้าเหมยพูดยิ้มๆ พร้อมกับเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อนำอาหารมาเสริฟที่โต๊ะ
“เจ้าเด็กดื้อ.. นี่เจ้าสามารถหยั่งรู้อนาคตหรือยังไงกัน? ถึงได้เลือกกลับมาวันนี้ เจ้าคงยังไม่รู้สินะว่าฝีมือการทำอาหารของแม่เจ้า ป้าเหมยเป็นคนสอนให้เอง..”
หลิงหยุนเองก็คิดเช่นนั้นอยู่แล้ว และนั่นยิ่งทำให้เขาคิดถึงนางฉินจิวยื่อที่อยู่ไกลถึงเขาเทียนซันมากขึ้น และไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นเช่นไรบ้าง?
เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย..
ฝีมือการทำอาหารของป้าเหมยนั้นช่างเหมือนกับนางฉินจิวยื่อไม่มีผิด เพราะรสชาติของอาหารไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ทำให้หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่ต่างก็นิ่งไปทั้งคู่..
“น้าหญิง ข้าสั่งให้ถังเมิ่งหาแม่บ้านมาทำงานบ้านให้แล้ว เรื่องเก็บกวาดทำความสะอาด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่บ้านที่จะเข้ามาทำความสะอาดอาทิตย์ละสามครั้งก็แล้วกัน..” หลิงหยุนบอกกับฉินตงเฉี่วยหลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย
“นายน้อย.. ท่านจะเสียเงินจ้างแม่บ้านทำไมกัน? งานเล็กๆน้อยๆเท่านี้ ข้าทำคนเดียวได้” ป้าเหมยที่กำลังล้างจ้างรีบหันมาบอกหลิงหยุนพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ป้าเหมย.. เมื่อครู่เราตกลงกันแล้วว่าจะเรียกข้า ‘หลิงหยุน’ ยังไงล่ะ?” หลิงหยุนฟังแล้วรู้สึกเก้อเขิน
“นั่นสิ.. ข้าแก่แล้วก็หลงๆลืมๆ”
ป้าเหมยยิ้มพร้อมกับตำหนิตัวเอง นางคิดไม่ถึงจริงๆว่าหลิงหยุนจะมีหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้
ป้าเหมยดูแลฉินจิวยื่อมาจนกระทั่งอายุสิบแปดปี นางป้อนข้าวป้อนน้ำและอยู่ด้วยกันกับฉินจิวยื่อมาตลอด จึงรู้สึกผูกพันกันไม่ต่างจากแม่กับลูกสาว
และเมื่อครั้งที่ฉินจิวยื่อถูกขับออกจากตระกูลนั้น ป้าเหมยก็เฝ้าคิดถึงนางมาตลอด!
เมื่อได้มาเห็นรูปถ่าย เสื้อผ้า และได้มาฟังหนิงหลิงยู่เล่าเรื่องของนางฉินจิวยื่อตลอดระยะเวลาสิบแปดปีมานี้ ป้าเหมยก็ได้แต่เสียใจจนน้ำตาไหลนอง
และเมื่อได้มาเห็นเด็กทั้งสองคนคือหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ซึ่งเป็นลูกของนางฉินจิวยื่อ ป้าเหมยก็ได้แต่รู้สึกเจ็บปวด
หลิงหยุนรีบพูดเรื่องธุระของตัวเอง “น้าหญิง.. คลีนิคของข้าจะเปิดพรุ่งนี้แล้ว!”
หลิงหยุนกลับมาที่บ้านวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้ ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ต่างก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ข้ารู้แล้ว.. แค่รอให้เจ้ามาบอกด้วยตัวเองเท่านั้น!”
หนิงหลิงยู่เคยไปอาศัยอยู่กับท่านเสี่ยวหมอเทวดา และมีความสนิทสนมกับเสี่ยวเม่ยหนิงมาก ทั้งคู่ต่างก็โทรศัพท์คุยกันแทบทุกวัน ดังนั้นเรื่องเปิดคลินิกซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ เด็กสาวตัวแสบจึงต้องบอกหนิงหลิงยู่อยู่แล้ว
“ถ้าเช่นนั้น.. พรุ่งนี้น้าหญิงกับหลิงยู่ต้องไปร่วมยินดีกับข้าด้วยล่ะ?”
หลิงหยุนบอกยิ้มๆ