[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 555 : ยันต์สี่ระดับ!
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อย..
เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน หลิงหยุนก็สั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปท่องจำเคล็ดวิชาทั้งสองที่เขาเขียนให้ และสั่งให้ถังเมิ่งไปช่วยเขาปลุกเสกยันต์บำบัดแทน
ความจริงแล้วหลิงหยุนไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง และสั่งตี้เสี่ยวอู๋เลย เพราะหลังจากได้รับเคล็ดวิชาทั้งสองไปแล้ว ตี้เสี่ยวอู๋ก็แทบไม่สนใจอย่างอื่นอีกเลย สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่กระดาษเหล่านั้นตลอดเวลา แม้แต่ข้าวเที่ยงก็แทบไม่ยอมกิน
ตี้เสี่ยวอู๋ชื่นชอบและหลงใหลในการฝึกวรยุทธ แต่เรียกว่าคลั่งไคล้น่าจะถูกต้องเสียมากกว่า!
เคล็ดวิชานู่เตาและวิชาพลังมังกรที่หลิงหยุนเขียนให้ตี้เสี่ยวอู๋นั้น นับว่าเป็นวิชาที่ฝึกได้ยากกว่าวิชาดาราคุ้มกายมาก
วิชาดาราคุ้มกายนั้นแม้จะเป็นวิชาที่อานุภาพสูง แต่ก็เป็นการฝึกเพื่อสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ วิธีการฝึกจึงค่อนข้างเข้าใจง่ายกว่า
การฝึกวิชาดาราคุ้มกายนั้น หากร่างกายของผู้ฝึกมีคุณลักษณะเด่นเป็นธาตุทองและธาตุดินจะดีที่สุด และร่างกายของตี้เสี่ยวอู๋ก็เป็นเช่นนั้น!
และนี่เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเมื่อครั้งที่หลิงหยุนพบกับตี้เสี่ยวอู๋ในครั้งแรก เขาจึงได้ดีอกดีใจราวกับได้พบกับหญิงอันเป็นที่รัก
ตราบใดที่มีร่างกายที่เหมาะสมคู่ควร ก็จะยิ่งสามารถฝึกวิชาดาราคุ้มกายในขั้นเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น แต่การฝึกขั้นเริ่มต้นได้ง่ายนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าขั้นต่อๆไปจากง่ายตามไปด้วย
วิชาดาราคุ้มกายมีทั้งหมด 7 ขั้นใหญ่ และแบ่งเป็น 49 ระดับย่อย ทุกครั้งที่สามารถฝึกฝนจนผ่านแต่ละระดับย่อยไปได้นั้น ร่างกายของผู้ฝึกก็จะค่อยๆแข็งแกร่งมากขึ้น ในขณะที่การฝึกฝนในลำดับขั้นต่อไปก็จะยากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน!
ระดับความยากของแต่ระดับย่อยที่เพิ่มขึ้นนั้น จะค่อยๆเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ เช่นจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ และจากสี่เป็นแปดเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนถึงระดับย่อยที่ 49
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่ผ่านขั้นใหญ่ไปได้แต่ละขั้น (หนึ่งขั้นใหญ่ ประกอบไปด้วยเจ็ดระดับย่อย) ความยากก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณเช่นกัน แต่ยิ่งการฝึกฝนยากขึ้นมากเท่าไหร่ อานุภาพของวิชาดาราคุ้มกายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน
ตอนนี้หลิงหยุนฝึกวิชาดาราคุ้มกายมาถึงระดับย่อยที่สิบสี่ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของขั้นที่สอง แต่หากไม่มีระยะเวลาฝึกฝนที่เพียงพอ แม้แต่อัจฉริยะอย่างหลิงหยุนก็ยังยากที่จะผ่านเข้าสู่ขั้นที่สามได้อย่างที่ต้องการง่ายๆ!
นั่นเพราะการเริ่มต้นฝึดดาราคุ้มกายนั้นง่าย แต่เมื่อยิ่งผ่านระดับขั้นไปเรื่อยๆ ความยากลำบากในการฝึกก็จะยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่จะมีสุดยอดอัจฉริยะมากมายที่ฝึกวิชาดาราคุ้มกาย แต่ท้ายที่สุดแล้วแทบทุกคนก็ไม่สามารถผ่านขั้นที่สี่ของดาราคุ้มกายไปได้ และในที่สุดก็เริ่มท้อแท้ และเปลี่ยนไปฝึกวิชาอื่นที่ช่วยในการสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งแทน
นักบ่มเพาะแทบทุกคนมองว่า หากผู้ใดตั้งเป้าหมายที่จะฝึกวิชาดาราคุ้มกายจนสามารถเข้าสู่ขั้นที่เจ็ดได้นั้น จะถูกมองว่าเพ้อฝันในเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้!
เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะนั้น หลิงหยุนสามารถเข้าสู่ขั้นอมตะได้แล้ว และเกือบจะสามารถเข้าสู่ขั้นที่ห้าของดาราคุ้มกายได้เช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าวิชาดาราคุ้มกายนั้นมีความยากเย็นแสนเข็ญในการฝึกฝนมากเพียงใด ยิ่งสูงก็ยิ่งฝึกได้ยากขึ้น!
และตอนนี้ทั้งตี้เสี่ยวอู๋และฉินตงเฉี่วยต่างก็ฝึกวิชาดาราคุ้มกายได้ถึงระดับสี่เหมือนกัน
ร่างกายของฉินตงเฉี่วยเองก็มีคุณลักษณะที่เป็นธาตุทอง และธาตุไฟ ส่วนหนิงหลิงยู่นั้นเป็นผู้ที่มีธาตุทั้งห้าสมูบรณ์ และธาตุที่เด่นที่สุดก็คือธาตุไม้กับธาตุน้ำ แต่ธาตุทอง และธาตุดินนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตี้เสี่ยวอู๋นัก
กายอัปสรของหนิงหลิงยู่นั้น ไม่อาจที่ใครจะเทียบเท่า ยกเว้นหลิงหยุน!
แต่ข้อได้เปรียบของตี้เสี่ยวอู๋ที่เด่นกว่าคนอื่นก็คือ เขาให้ความใส่ใจต่อการฝึกวิชาดาราคุ้มกายที่หลิงหยุนสอนให้อย่างมาก และประสบความสำเร็จในระดับที่หลิงหยุนเองก็คิดไม่ถึง ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
ที่ผ่านมาตี้เสี่ยวอู๋อาจจะสามารถใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงทำความเข้าใจแก่นของเคล็ดวิชาดาราคุ้มกายได้ง่าย แต่สำหรับวิชานู่เตากับวิชาพลังมังกรนั้นอาจต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจที่นานและยากกว่า
หากสามารถเรียนรู้ และทำความเข้าใจเคล็ดวิชาทั้งสองนี้ได้ภายในเวลาเพียงแค่สองสามวัน ก็นับว่าเร็วที่สุดแล้ว! เพราะวิชาทั้งสองนี้จะสอนให้ผู้ฝึกฝนรับรู้ได้ถึงพลังชี่ในจุดตันเถียนของตนเอง และสามารถเดินลมปราณไปทั่วร่างกายได้อย่างอิสระ
“เชอะ.. ดูเหมือนตี้เสี่ยวอู๋คงจะไม่ยอมช่วยอะไรเลยสินะ..!”
ถังเมิ่งรีบเข้าไปในห้องครัว และเมื่อเห็นกระสอบสมุนไพรจำนวนมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่ในห้องครัว เขาก็ได้แต่มองป้ายที่ติดอยู่ที่กระสอบด้วความปวดหัว
และทุกครั้งที่เดินออกมาแล้วเห็นตี้เสี่ยวอู๋ยังคงนั่งขัดสมาธิจ้องมองกระดาษสองสามแผ่นที่อยู่ตรงหน้า และทำปากขมุบขมิบ ถังเมิ่งก็จะถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจนัก
เมื่อหลิงหยุนที่กำลังจดจ่ออยู่กับการผสมวัตถุดิบได้ยินถังเมิ่งถอนหายใจ เขาจึงเริ่มรำคาญ และร้องบอกถังเมิ่งว่า “หรือนายอยากจะให้ฉันเขียนเคล็ดวิชาให้ นายจะได้ไปนั่งท่องกับเสี่ยวอู๋บ้าง?”
แต่ถังเมิ่งกลับรีบส่ายหัวพร้อมกับตอบไปว่า “พี่หยุน.. ขืนให้ฉันไปนั่งนิ่งๆแบบตี้เสี่ยวอู๋ ฉันคงขาดใจตายแน่!”
“ถ้างั้นก็อย่าบ่น.. ทำงานไป!” หลิงหยุนสั่งถังเมิ่ง
สมุนไพรเหล่านี้รวมทั้งกระดาษเขียนยันต์ ล้วนแล้วแต่ถูกซื้อมาเก็บไว้ในบ้านเลขที่-1 เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว วัตถุดิบต่างๆ จึงได้ดูดซับและอาบด้วยพลังชีวิตมาเป็นเวลานาน และแน่นอนว่ากระดาษเขียนยันต์ที่อาบด้วยพลังชีวิตย่อมดีกว่ากระดาษธรรมดาอย่างแน่นอน
พรุ่งนี้จะเป็นวันเปิดคลินิกสามัญชน หลิงหยุนจำเป็นต้องปลุกเสกยันต์บำบัดไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
‘หากพู่กันจักรพรรดิออกมาช่วยข้าบ้างก็ดีน่ะสิ!’ หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจ
แม้ว่าตอนนนี้หลิงหยุนจะมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลัง และสามารถใช้งานได้ดี แต่ก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของพู่กันจักรพรรดิได้ เขาได้แต่แอบคิดในใจว่า ตอนนี้เขาเองยังไม่เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นพลังชี่เลย ยังจะอาจหาญคิดเรื่องการควบคุมพู่กันและสมุดจักรพรรดิได้อย่างไรกัน?
ตลอดบ่าย.. หลิงหยุนได้ปลุกเสกยันต์บำบัดไปจำนวนหลายร้อยแผ่น มีตั้งแต่ยันต์ระดับสองไปจนถึงระดับสี่ และคร้านที่จะปลุกเสกยันต์บำบัดระดับหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าเป็นการเสียเวลาเกินไป
เมื่อยันต์แห้งสนิท หลิงหยุนก็จัดการแบ่งออกเป็นมัดๆ และเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่
ด้วยยันต์บำบัดของหลิงหยุน ต่อให้พรุ่งนี้มีคนโดนแทงเลือดอาบเป็นสิบแผลเข้ามาในคลีนิค หากคนผู้นั้นยังอยู่ในสภาพที่มีลมหายใจ หลิงหยุนก็จะสามารถรักษาให้หายได้ในทันที!
“หากมีเวลาข้าคงต้องลองปลุกเสกยันต์ระดับห้า หรือยันต์เตโชระดับสี่ดูบ้าง..”
อานุภาพของยันต์เตโชระดับสี่นั้น สามารถเผาคนให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตาเดียว เรียกได้ว่าเป็นการสังหารและทำลายศพไปพร้อมๆกัน
“ได้เวลาที่ข้าต้องคิดเรื่องการปรุงโอสถด้วยแล้วสินะ คงจะหาเงินก้อนใหญ่ได้ดีทีเดียว..”
“อีกไม่นานข้าก็คงจะมีโอกาสได้ใช้หม้อเสินหนงแล้ว!”
การได้ใช้หม้อเสินหนงนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือจะจัดวางหม้อไว้ที่ใหน และจะใช้อะไรเป็นเชื้อเพลิง
การปรุงโอสถนั้นต้องใช้วัตถุดิบสำคัญสี่อย่างคือ สมุนไพร ขาตั้งหม้อโลหะ เชื้อเพลิง และทักษะของผู้ปรุงยา
ตอนนี้หลิงหยุนไม่ได้ขาดแคลนสมุนไพร และทักษะในการปรุงยาของเขานั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ดังนั้นเรื่องที่ดูจะเป็นปัญหาใหญ่สุดจึงน่าจะเป็นเรื่องของเชื้อเพลิง!
ยันต์อัคนี และยันต์เตโชก็ไม่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ ในดาวเคราะห์ที่ขาดแคลนพลังชีวิตเช่นโลกใบนี้ พลังชีวิตในร่างกายของเขาก็ต้องมีไว้สำหรับใช้ในการฝึกฝน และป้องกันตัวเอง
“เพลิงอัคคีของข้าก็ยังไม่สามารถใช้การได้ในตอนนี้ อาจจะต้องหาไม้และถ่านหินมาทำเชื้อเพลิงแทน..” หลิงหยุนคิดหาวิธีได้เพียงเท่านี้
ในการปรุงยานั้นจำเป็นต้องใช้ไฟที่ให้ความร้อนได้สูง ดังนั้นหลิงหยุนจึงจำเป็นต้องสร้างห้องลับสำหรับใช้ปรุงยาโดยเฉพาะขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการรบกวนเพื่อนบ้านใกล้เคียง และเพื่อไม่ให้สิ่งที่เขาทำนั้นเป็นที่ดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของผู้อื่น
หลังจากที่หลิงหยุนทำการปลุกเสกยันต์เรียบร้อยแล้ว ถังเมิ่งก็จัดการเก็บกวาดทำความสะอาดจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มตกดิน
หลิงหยุนเดินยิ้มตรงไปหาตี้เสี่ยวอู๋ที่ยังคงนั่งท่องเคล็ดวิชาที่เขาเขียนให้อย่างตั้งอกตั้งใจ และได้แต่แอบพยักหน้าอย่างพึงพอใจในความแน่วแน่ และมุ่งมั่นของตี้เสี่ยวอู๋
“นายท่องไปถึงใหนแล้ว?” หลิงหยุนถามขึ้น
“เอ่อ.. พี่หยุนเมื่อครู่พี่ถามว่าอะไร?”
ตี้เสี่ยวอู๋มัวแต่จดจ่อและมีสมาธิอยู่กับการท่องเคล็ดวิชา จนไม่ทันได้ฟังว่าหลิงหยุนพูดอะไร ถังเมิ่งจึงเตะขาของเขาพร้อมกับร้องบอกเสียงดัง
“นี่นายมัวแต่งงอะไร? พี่หยุนถามว่านายท่องไปถึงใหนแล้ว?”
ตลอดทั้งบ่ายถังเมิ่งต้องทำงานอยู่เพียงคนเดียว เขาจึงได้แต่เตะตี้เสี่ยวอู๋เพื่อเป็นการระบายอารมณ์
“ตอนนี้ฉันท่องเคล็ดวิชานู่เตาได้เกือบหมดแล้ว..” ตี้เสี่ยวอู๋เกาศรีษะอย่างเก้อเขิน
“แล้ววิชาพลังมังกรล่ะ?”
“ยังไม่ได้ท่องเลย..” ตี้เสี่ยวอู๋ตอบยิ้มๆ
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ยังพอใจมากอยู่ดี เพราะเขารู้ดีว่าวิชาทั้งสองนี้ยากต่อการทำความเข้าใจมากเพียงใด จึงไม่ใช่ว่ามีเพียงแค่ความเพียร ความอดทน และสมาธิแล้ว ทุกอย่างจะเป็นไปในเวลาที่รวดเร็ว
จากนั้นหลิงหยุนก็สั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ลุกขึ้น ส่วนตัวเขานั่งลงไปบนพื้นพรมด้วยท่วงท่างสงบ หลังจากนั้นจึงให้ตี้เสี่ยวอู๋นั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าเขา แล้วหลิงหยุนก็จัดการแนบฝ่ามือลงไปที่แผ่นหลังของตี้เสี่ยวอู๋
“นายตั้งใจทำสมาธิให้ดี ฉันจะถ่ายเทลมปราณไปตามเส้นลมปราณของนาย ส่วนนายมีหน้าที่คอยสังเกตการเคลื่อนของมันให้ดี เขาใจมั๊ย?”
พูดจบหลิงหยุนก็เริ่มถ่ายเทพลังหยานเพียงเล็กน้อยเข้าสู่ร่างกายของตี้เสี่ยวอู๋อย่างช้าๆ
สิบนาทีผ่านไป หลิงหยุนจึงดึงฝ่ามือออกจากแผ่นหลังของเขาพร้อมกับถามตี้เสี่ยวอู๋ว่า
“นายรู้สึกยังไงบ้าง?”
ตี้เสี่ยวอู๋ลืมตาขึ้นและร้องออกมาอย่างตกใจ “อบอุ่น.. อบอุ่นไปทั่วทั้งร่างกาย!”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออก และได้แต่ถามใหม่อีกครั้งว่า “ฉันหมายถึงว่านายสัมผัสได้ถึงลมปราณที่เคลื่อนอยู่ในร่างกายของนายหรือเปล่า?”
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ได้สิ.. มันอัศจรรย์มาก!”
“เอาล่ะ.. ถ้างั้นนายก็ไปท่องต่อ แล้วคืนนี้นายฝึกอยู่ที่บ้านของฉัน ฉันจะได้แนะนำให้นายได้” หลิงหยุนตอบยิ้มๆ