บทที่ 306 กล่าวหา ชิงเฉินของข้า

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ



หวังจิ่นหลิงพลันก้าวไปข้างหน้า แล้วจึงเดินไปนั่งทางด้านซ้ายมือของตี๋ตงหมิง “ในเมื่อนั่งตรงไหนก็ได้ เช่นนั้น จิ่นหลิงจะนั่งตรงนี้ก็แล้วกัน”

หลังจากนั่งลงแล้วนั้น ก็หาได้สนใจผู้อื่นว่าจะมองเช่นไรไม่ พลางเอียงตัวไปกล่าวกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “เจ้าสวยมาก!”

แม้ว่าผู้อื่นจะไม่รู้ แต่หวังจิ่นหลิงกับเข้าใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดี อาภรณ์ชุดนี้ หาใช่ของเฟิ่งชิงเฉินไม่ อาภรณ์ของเฟิ่งชิงเฉินนั้น เป็นเขาที่สั่งให้คนนำไปตัดเย็บด้วยตนเอง เขาย่อมไม่เตรียมอาภรณ์ที่ดูหรูหราสำรับชาววังเช่นนี้ให้นางอย่างแน่นอน

หาได้เป็นเพราะว่า หวังจิ่นหลิงคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินสวมใส่ชุดของชาววังแล้วจะดูไม่งามไม่ แต่หวังจิ่นหลิงรู้ดีว่า เฟิ่งชิงเฉินไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย เขาจึงมิได้จัดเตรียมอาภรณ์ที่ดูหรูหราให้นางเอาไว้ รวมไปถึง หวังจิ่นหลิงชื่นชอบยามที่เฟิ่งชิงเฉินสวมใส่อาภรณ์ที่เรียบง่าย แต่ให้ความรู้สึกสง่างามเสียมากกว่า ฉะนั้นแล้ว อาภรณ์ส่วนใหญ่ของเฟิ่งชิงเฉินนั้น เขาจึงได้สั่งตัดชุดตามลักษณะนิสัยของนาง ที่นางชื่นชอบแทน

เมื่อได้มาเห็นเฟิ่งชิงเฉินสวมอาภรณ์เฉกเช่นชาววังในวันนี้ ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์เป็นพิเศษยิ่งนัก เขาจึงคิดว่า กลับจวนไปเมื่อใด จะไปสั่งให้คนตัดชุดเช่นนี้ให้นางอีกสักชุด ถึงอย่างไร ตระกูลหวังหาได้ขาดแคลนเนื้อผ้าไม่ ทั้งยังไม่ขาดช่างฝีมือในการตัดเย็บอีก เฟิ่งชิงเฉินมิจำเป็นต้องไปสวมใส่อาภรณ์ของผู้อื่น โดยเฉพาะอาภรณ์ของเสด็จอาเก้า ถึงแม้ว่าจะมีเหตุผลให้ได้ใส่ ถึงอย่างไรก็ไม่ควร

หวังจิ่นหลิงพลันแย้มยิ้มออกมา พร้อมทั้งหันไปหาเสด็จอาเก้า แล้วจึงพยักหน้าส่งให้เล็กน้อย คล้ายกับจะบอกเสด็จอาเก้าว่า คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าชุดของเฟิ่งชิงเฉินเป็นเช่นไร แต่เขารู้ดี คนอื่นจักเข้าใจผิดไปเช่นไร เขาหาได้เข้าใจเหมือนคนพวกนั้นไม่

หวังจิ่นหลิงพลันนั่งอยู่ด้านซ้ายของเฟิ่งชิงเฉิน เซี่ยซานจึงได้มานั่งที่ด้านขวาของเฟิ่งชิงเฉิน หวังชีจึงได้เดินมานั่งถัดจากเซี่ยซานแทน ทางด้านขวายังมีที่นั่งว่างอยู่อีกสี่ที่

ยามที่ทุกคนกำลังคาดเดาว่า เสด็จอาเก้าได้ทำการเชื้อเชิญผู้ใดมาบ้าง ข้ารับใช้พลันเข้ามารายงานว่าองค์รัชทายาทซีหลิง องค์หญิง คุณหนูซูหว่านและองค์ชายรองเป่ยหลิงมาถึงพอดี

“ซีหลิงเทียนเหล่ย?” หากอีกสามคนมาถึงแล้วละก็ พวกเขายังพอเข้าใจได้ แต่ทว่า ขาทั้งสองข้างของซีหลิงเทียนเหล่ยดีขึ้นแล้วงั้นหรือ?

ยามที่สัมผัสได้ถึงความสงสัยของทุกคนนั้น เสด็จอาเก้าจึงเอ่ยปากอธิบายออกมาว่า “ราชวงศ์ซีหลิงส่งยาอะไรบางอย่างมาให้ บาดแผลขององค์รัชทายาทเหล่ยจึงฟื้นฟูขึ้นโดยไว ในยามนี้จึงเดินเหินได้เป็นปกติแล้ว”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พลันพยักหน้าลงมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่า งานเลี้ยงชมดอกบัวของเสด็จอาเก้าจักไม่ง่ายดายนัก ภายในใจของทุกคนจึงได้แต่คาดการณ์ไปต่าง ๆ นานา

“เสด็จอาพ่ะย่ะค่ะ แขกมาแล้ว หลานจักไปต้อนรับแทนท่านเองพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทพลันลุกขึ้น เพื่อแจ้งความประสงค์ของตน

ถึงแม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงธรรมดางานหนึ่ง หากแต่แขกที่มาร่วมงานเป็นถึงองค์รัชทายาทแคว้นอื่น หากมิลุกขึ้นออกไปต้อนรับ เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทแย่ หากจะให้เสด็จอาเก้าที่เป็นเจ้างาน ออกไปต้อนรับนั้น นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง

เสด็จอาเก้าจึงพยักหน้าเล็กน้อย ให้เขาออกไปต้อนรับซีหลิงเทียนเหล่ย นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากเป็นองค์จักรพรรดิตงหลิงมาละก็ ยังพอนับว่ามีความเป็นไปได้อยู่บ้าง

ยามที่องค์รัชทายาทลุกขึ้นต้อนรับนั้น คนอื่น ๆ ย่อมไม่อาจนั่งนิ่งดูดายได้อีก ทุกคนพลันค่อย ๆ ลุกขึ้นมา เช่นนี้ จึงมีเพียงเสด็จอาเก้าที่นั่งลงอยู่ผู้เดียว ทั้งยังมีความโดดเด่นยิ่งนัก

ผ่านไปไม่นาน องค์รัชทายาทก็เดินนำผู้คนเข้ามาในทันที ทั้งซีหลิงเทียนเหล่ยและเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียน อีกคนหนึ่งสูงส่งสง่างาม อีกคนหนึ่งองอาจผ่าเผย ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น พวกเขาทั้งสองนับว่าหล่อเหลาไปกันละแบบ

ทว่า ในสายตาขององค์หญิงอันผิงนั้น หาได้คิดเช่นนั้นไม่ นางชื่นชอบสุภาพบุรุษที่อ่อนหวานเช่นหวังจิ่นหลิง จะให้มองเช่นไร เป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนก็เป็นบุรุษที่ดูหยาบคายไร้มารยาทเพียงผู้หนึ่ง คนประเภทนี้ ย่อมไม่มีวันที่องค์หญิงอันผิงจะชายตามองเป็นอันขาด

เมื่อคิดว่าองค์ชายรองเป่ยหลิงผู้นี้ มาสู่ของนางต่อหน้าผู้คนแล้วนั้น ทำให้องค์หญิงอันผิงรู้สึกอับอายยิ่งนัก พร้อมกับใช้สายตาที่เศร้าสร้อยมองไปยังหวังจิ่นหลิง หากแต่ หวังจิ่นหลิ่งหาได้สนใจมองนางไม่ ทว่า เขากลับหยิบผมขึ้นมาทัดหูให้เฟิ่งชิงเฉินด้วยความอ่อนโยนแทน

สีหน้าขององค์หญิงอันผิงพลันแปรเปลี่ยนไปในทันที ยามที่กำลังโมโหนั้น เสด็จอาเก้าพลันหันมามองนาง ทำให้องค์หญิงอันผิงชะงักไปโดยพลัน พร้อมทั้งก้มหน้าลง ไม่กล้ามีปากมีเสียงอันใดอีก

เมื่อเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนเข้ามานั้น เขาพลันหันไปมองเฟิ่งชิงเฉินที่โดดเด่นมากที่สุดในทันที แววตาพลันฉายแววประกายแวววับออกมา พร้อมกับหันไปชำเลืองมององค์หญิงอันผิงที่มีรูปร่างน่าเอ็นดู เขากลับเห็นองค์หญิงอันผิง มีท่าที “เขินอาย” ก้มหน้าลง เป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนพลันรู้ได้ในทันที สตรีผู้นั้น คือคนที่เขาขอแต่งงานด้วย ก็พลันรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก ดูแล้วองค์หญิงอันผิงมิได้แย่มาก นางอาจจะเป็นฮูหยินที่ดีให้กับเขาได้

ซีหลิงเหยาหวาและซูหว่านที่เดินตามมาด้านหลังนั้น เมื่อทั้งสองเห็นเฟิ่งชิงเฉิน ก็พลันแสดงท่าทีรังเกียจนางออกมาโดยไม่รู้ตัว ช่างน่าเสียดายนัก เมื่อพวกนางมาเผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉิน อาภรณ์ที่พวกนางแต่งตัวมาในวันนี้ หาได้กลบความสวยสง่าของเฟิ่งชิงเฉินลงไปไม่

หลังจากที่ทุกคนพบหน้า พร้อมทั้งทำความเคารพกันและกันแล้วนั้น สายตาของทุกคนพลันมองไปที่ร่างกายของซีหลิงเทียนเหล่ยในทันที เมื่อมองเห็นการเดินเหินของเขามีความมั่นคงแล้ว พลันรับรู้ได้ในทันทีว่า ข่าวของเสด็จอาเก้าหาได้ผิดไปไม่

หลังจากที่ซีหลิงเทียนเหล่ยได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขามาปรากฏตัวให้เห็นภายในตงหลิง คล้ายจะเป็นการประกาศบอกผู้คนกลาย ๆ ว่า อาการบาดเจ็บของซีหลิงเทียนเหล่ยดีขึ้นแล้ว เขาสามารถเฉิดฉายอยู่ภายในตงหลิงได้แล้วเช่นกัน

ที่นั่งทางด้านขวามือเป็นของซีหลิงเทียนเหล่ย ซีหลิงเหยาหวา หลังจากนั้นจึงเป็นเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนกับซูหว่าน

มิรู้ว่าเป็นการตั้งใจหรือไม่ตั้งใจในการจัดที่นั่ง ตรงข้ามของที่นั่งตงหลิงเทียนเหล่ยเป็นซีหลิงเหยาหวา ที่นั่งตรงข้ามเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนเป็นองค์หญิงอันผิง และที่นั่งตรงข้ามกับซูหว่านเป็นตงหลิงจื่อชุน หากแต่ทั้งสองคนหาได้ต้องตากันไม่

ตงหลิงจื่อชุนเพียงเดินเข้ามา เขาก็จับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉินในทันที เขาอยากจะเปิดปากพูดคุยกับเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก ทว่า หาได้มีโอกาสไม่

ซูหว่านก็เป็นเหมือนตงหลิงจื่อชุนเช่นกัน เพียงเดินเข้ามา นางก็หันมองหาร่างของเสด็จอาเก้าในทันที เมื่อเห็นว่าทั้งเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้า สวมอาภรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกันนั้น แม้ว่าดวงตาของนางจักหรี่ลงด้วยอาการป่วย ทว่ากลับมีแสงสว่างคล้ายกับความอาฆาตส่งออกมาแทน

ถึงแม้ว่า เฟิ่งชิงเฉินจักรู้อยู่แล้วว่าซูหว่านจะต้องมางานนี้ หากแต่เมื่อเห็นนางมาเช่นนี้ ก็อดที่จะรู้สึกตกใจไปไม่ได้ เนื่องจากว่า สภาพอาการปวดท้องของนางจนไม่อาจลุกขึ้นมาได้ตั้งแต่เมื่อวานนั้น ดูจะสาหัสมากเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าจะเห็นใบหน้าของซูหว่าน มีการแต่งองค์ทรงเครื่องมากนั้น ทว่า มันก็ไม่อาจกลบสีหน้าของนางที่ซีดขาวได้มิด เฟิ่งชิงเฉินได้แต่บอกว่า หน้าตาของเสด็จอาเก้าช่างใหญ่โตเสียจริง ซูหว่านที่เจ็บป่วยเช่นนี้ เขาก็ยังกล้าส่งเทียบเชิญให้มาร่วมงานด้วยได้

หลังจากที่ทุกคนนั่งประจำที่แล้วนั้น เสด็จอาเก้าหาได้เอ่ยอันใดออกมาไม่ พร้อมทั้งส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้นำสำรับอาหารเข้ามา เมื่อเห็นการจัดสำรับอาหารแล้วนั้น เป็นเพียงอาหารง่าย ๆ โดยมีองค์รัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่วชวนซีหลิงเทียนเหล่ยและเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนพูดคุย เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตนเองโดนทิ้ง

เรื่องงานมงคลสมรสของเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนกับองค์หญิงอันผิงนั้น แม้ยังไม่มีกำหนดการออกมาแน่นอน แต่ก็คงไม่พ้นดั่งที่คาดเดากันนัก

ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจักได้ตัวหลี่เซี่ยงมาแล้ว จะช้าหรือเร็วพระองค์ย่อมทำการก่อศึกสงครามกับแคว้นอื่นเป็นแน่ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้ระเบิดเทียนเหล่ยในปริมาณมาก ๆ เพื่อทำการรบ ทว่า ตงหลิงหาได้มีความสามารถที่จะกลืนกินอีกสามแคว้นภายในการโจใตีครั้งเดียวไม่ หากพูดถึงแคว้นเป่ยหลิงแล้ว การที่พวกเขาเลือกการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี ย่อมเป็นทางเลือกในการประนีประนอมที่ดี

การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าตงหลิงมีระเบิดเทียนเหบ่ยแล้วอย่างไร ทว่า หากอีกสามแคว้นรวมตัวกันต่อต้านตงหลิงเล่า ตงหลิงย่อมไม่อาจรับมือได้แน่ การเข้าร่วมกับแคว้นที่ล้าหลังเช่นเป่ยหลิง นำองค์หญิงไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีนั้น ย่อมเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเป่ยหลิงแทน

องค์หญิงของราชวงศ์ตงหลิง ถึงแม้ว่าจะมีสถานะที่สูงส่งและได้รับความโปรดปรานมากมาย แต่ก็ต้องสละตนเองเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองเช่นกัน แต่ทว่า ทุกอย่างย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายของมัน ถ้าหากเป็นการแต่งงานเฉกเช่นปกติละก็ เพียงสรรหาบุตรีของคนในราชวงศ์และแต่งตั้งนางให้เป็นองค์หญิง เพื่อส่งไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีทางไกลก็พอแล้ว ทว่า เป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนนั้น ได้มีการระบุชื่อขององค์หญิงอันผิงมาเช่นนี้ โดยเฉพาะในยามที่ทูตสันถวไมตรีทั้งสามแคว้นมารวมตัวกัน ฝ่าบาทย่อมไม่อาจเห็นแก่บุตรีของตนเองและทำลายการทูตของสองแคว้นลงได้

ในขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการทำให้ศัตรูสับสน ทั้งยังเป็นการยืดเวลาออกไปด้วย ทั้งซีหลิงและหนานหลิงเอง ฝ่าบาทย่อมไม่อาจดูเบาได้ ทั้งยังไม่อาจละเลยทั้งสองแคว้นนี้ไปได้เช่นกัน

ในคราก่อนที่เคยมีการพูดคุยเจรจาเรื่องการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีนั้น ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน อย่างไร ทั้งซีหลิงและหนานหลิงเอง ต่างก็เป็นสตรีชนชั้นสูงที่จะต้องแต่งเข้าตงหลิง ตงหลิงหาได้เสียหายอันใดไม่ ถ้าหากจำเป็นจริง ๆ ถึงแวลานั้น ตงหลิงค่อยฆ่าสตรีที่ส่งมา หรือใช้พวกนางเป็นข้ออ้างในการเปิดศึกระหว่างแค้นก็ย่อมได้

เมื่อได้ยินองค์รัชทายาท ตงหลิงจื่อลั่ว ซีหลิงเทียนเหล่ยและเป่ยหลิงเฟิ่งเฉิน ต่างลองเชิงกันไปกันมาเช่นนั้น จู่ ๆ เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่า ทั้งอันผิง เหยาหวาและซูหว่าน ต่างมีชะตาชีวิตที่น่าสงสารยิ่งนัก เบื้องหลังความสวยงามของพวกนางนั้น ต่างก็เต็มไปด้วยหยาดเลือดและรอยน้ำตา ตำแหน่งที่สูงส่งเพียงใด ก็กลับกลายเป็นหมากบนกระดานให้ผู้คนได้เลือกเดินได้ทุกเมื่อ

เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ถึงเฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกสงสารพวกนางเพียงใด นางก็ไม่อาจเอ่ยปากออกมาได้ นางสงสารพวกเขาแล้วอย่างไรเล่า แล้วมีผู้ใดรู้สึกสงสารนางบ้างหรือไม่!

เฟิ่งชิงเฉินรู้ดี งานเลี้ยงในวันนี้นางโดดเด่นมากเกินไปแล้ว เมื่อรวมไปถึงบรรยากาศเช่นนี้อีก นางเป็นได้แต่เพียงฉากหลังเท่านั้น เมื่อฟังเขาพูดไปได้ไม่กี่ประโยค เฟิ่งชิงเฉินพลันสงบสติอารมณ์ และตั้งหน้าตั้งตาจดจ่ดกับการกินต่อไปแทน

เสด็จอาเก้าที่ได้ตระเตรียมสำรับอาหารคาวหวานที่เหมาะกับช่วงโอกาสนั้น ๆ โดยมีใบบัวและเม็ดบัวเป็นตัวหลักในการชูโรง จึงทำให้ผู้คนที่ได้กินรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินเอง ก็ได้ทานอาหารอย่างมีความสุขเช่นกัน หวังจิ่นหลิงเองหาได้รู้สึกสนใจเรื่องงานมมงคลสมรสเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีไม่ เขาจึงเอาแต่ช่วยเฟิ่งชิงเฉินคีบอาหารใส่จานเท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินเองก็ได้แต่ส่งยิ้มออกมาให้แทนคำขอบคุณ ในบางครั้งบางครา ก็มีการสบตากับหวังจิ่นหลิงบ้าง แม้มิได้พูดคุยอันใดกันมาก แต่ทั้งสองราวกับสื่อถึงกันได้ พวกเขาหาได้สนใจสายตาโดยรอบไม่ แต่ทว่า ผู้อื่นไม่อาจละสายตาไปจากพวกเขาทั้งสองคนได้เช่นกัน

มิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนริเริ่มกันแน่ จู่ ๆ ก็พลันหยุดหัวข้อสนทนาลง พร้อมกับมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงเป็นตาเดียว เฟิ่งชิงเฉินหาได้รู้สึกอันใดไม่ หวังจิ่นหลิงเองก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นกัน พร้อมทั้งคีบอาหารให้กับเฟิ่งชิงเฉินอย่างเอาอกเอาใจ บางครั้งก็หันมาส่งยิ้มหวานกับเฟิ่งชิงเฉิน

แค่กแค่ก แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำเป็นมองไม่เห็นเช่นไร แต่นางก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศโดยรอบที่ผิดปกติไปในทันที

มันเงียบเกินไป!

เฟิ่งชิงเฉินจึงเงยหน้าขึ้น ก็พลันพบว่าทุกคนหันมามองที่นาง โดยเฉพาะสายตาของเสด็จอาเก้า ที่หันมาสบตากับนางในทันที มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ยามที่เผชิญหน้ากับสายตาไร้อารมณ์​ของเสด็จอาเก้านั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกผิดยิ่งนัก พร้อมทั้งหันหน้าหนีไปทันที แล้วจึงแอบถามหวังจิ่นหลิงว่า”หน้าข้า มีสิ่งใดติดอยู่หรือไม่?”
เหตุใดทุกคนถึงมองนางเช่นนั้น

“มี มีคราบผักติดอยู่ที่มุมปากของเจ้า” หวังจิ่นหลิงเพียงแย้มยิ้มกล่าวออกมา มิรอให้เฟิ่งชิงเฉินมีปฏิกิริยาอันใด พลันหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา พร้อมทั้งนำไปเช็ดที่มุมปากให้กับเฟิ่งชิงเฉิน ต่อหน้าสายตาของผู้คนในทันที

บู้ม

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าเลือดลมในกายพลันพลุ่งพล่านในทันที พร้อมทั้งคลื่นความร้อนที่เห่อขึ้นมาเต็มใบหน้า เฟิ่งชิงเฉินเหม่อมองไปยังหวังจิ่นหลิงโดยไม่กะพริบตา

แม้แต่ต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ หวังจิ่นหลิงยัง นี่มันเป็นการเกี้ยวนางชัด ๆ !

อ๊าก นางจะไปมีหน้ามองผู้คนได้อย่างไร!

นัยน์ตาทั้งสองข้างขององค์หญิงอันผิงราวกับมีลูกไฟออกมา อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นเพื่อหาเรื่องเฟิ่งชิงเฉินในทันที ทว่า ตงหลิงจื่อลั่วกับส่งสายตาเตือนองค์หญิงอันผิงมาเสียก่อน องค์หญิงอันผิงจึงได้แต่อดทนอดกลั้นความแค้นเอาไว้ภายในใจ

ซูหว่านรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก สีหน้าที่ซีดเผือดพลันมีรอยยิ้มประดับประดาเล็กน้อย เมื่อนางมองไปที่เสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าหาได้มีท่าทางอันใดไม่ ภายในใจของซูหว่านพลันรู้สึกโล่งอกออกมาในทันที

ทุกคนพลันรู้สึกว่า การกระทำของหวังจิ่นหลิงนั้นเสียมารยาทมากไปนัก แต่ซีหลิงเทียนเหล่ยเพียงมองไปที่หวังจิ่นหลิงด้วยรอยยิ้มที่รู้หน้าไม่รู้ใจ ทั้งยังคงอารมณ์สูงส่งของตนเองเอาไว้เช่นเดิม

การกระทำของหวังจิ่นหลิงในครานี้ คล้ายกับก้อนหินที่โยนลงไปในแม่น้ำที่เงียบสงบ ทำเอาผู้คนใจเต้นขึ้นมาเลยทีเดียว

หากแต่ หวังจิ่นหลิงทำทีเป็นไม่รู้สึกรู้สาอันใดออกมา ทั้งยังตักน้ำแกงยื่นเข้าไปให้เฟิ่งชิงเฉินตามเดิม “เจ้าลองน้ำแกงไก่ในใบบัวนี่ดูสิ รสชาติดียิ่งนัก”

พร้อมทั้งหันไปส่งยิ้มให้กับผู้คนที่มองดูอยู่ แล้วจึงหันมาพยักหน้าให้กับเสด็จอาเก้าเบา ๆ ว่า “ชิงเฉินของข้า สร้างปัญหาให้กับทุกคนแล้ว จิ่นหลิงขอเป็นตัวแทนชิงเฉินในการกล่าวขออภัยทุกท่านที่อยู่ตรงนี้แทน”

พูดจบ พลันยกจอกสุราของตนเองขึ้น แล้วนำขึ้นจรดริมฝีปากและกลืนมันเข้าไปรวดเดียวหมดในทันที

อะไร? ชิงเฉินของข้า?

ถึงผู้อ่านทุกท่าน:

เสี่ยวอาฉ่ายขอกล่าว: ถึงแม้ว่าจะมีการอัปเดตนิยายถึงสองครั้ง ในครั้งละห้าพันตัว แต่เสี่ยวอาฉ่ายขอร้องอย่างหน้าไม่อายเลยว่า ทุกคนช่วยกันโหวตให้เสี่ยวอาฉ่ายทุก ๆ เดือนด้วยเถอะ!

เสด็จอาเก้ากล่าว: ถึงสาวงามทุกท่าน หากพวกเจ้าช่วยโหวตให้ทุก ๆ เดือนแล้วละก็ วันพรุ่ง เปิ่นหวางจะชวนพวกเจ้าไปล่องเรือชมบุปผา พร้อมทั้งขับร้อง《ร้อยวิหคคำนับพญาหงษ์》ให้พวกเจ้าฟังเอง

คุณชายใหญ่กล่าว: ถึงแม่นางทุก ๆท่าน หากพวกท่านช่วนโหวตทุก ๆ เดือนละก็ วันพรุ่ง พวกท่านจะได้ลิ้มลองน้ำแกงไก่ที่ข้าเป็นคำทำเองกับมือ พร้อมทั้งอาภรณ์ที่ข้าสั่งตัดให้พวกท่านอย่างแน่นอน!

เฟิ่งชิงเฉินกล่าว: ถึงพี่สาวน้องสาวข้าทุก ๆ ท่าน ช่วยกันกดโหวตให้ข้าทุก ๆ เดือนด้วยเถิด หากพวกท่านมิยินยอมละก็ เสด็จอาเก้ากับคุณชายใหญ่ย่อมไม่อาจปล่อยข้าไปแน่!