“คุณชายอวิ๋นยอมรับกรายๆ แล้ว ยังจะมีอันใดให้ต้องพูดอีกเพคะ บาดแผลที่อยู่บนหน้าเฝินอ๋องก็เป็นหลักฐานชั้นดี วันนี้ทำร้ายองค์ชาย วันหน้าจะไม่กบฏต่อแผ่นดินเลยหรือ” พระสนมร้องไห้เอ่ยกระตุ้น
ภายในตำหนักต่างฝ่ายต่างยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ได้ยินเสียงสตรีเอ่ยขึ้นเสียงเบาและเนิบช้า เป็นพระสนมที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเห็นบนศีรษะคุณชายอวิ๋นก็มีแผลเช่นกัน ซ้ำหัวเข่าก็มีคราบดินโคลนและรอยยุบลง ดูแล้วเหมือนกับถูกคนบังคับกดศีรษะให้โขกกับพื้นอย่างไรอย่างนั้น”
หนิงซีฮ่องเต้เข้าใจในสิ่งที่เมี่ยวเอ๋อร์กล่าว พระองค์มองไปยังเฝินอ๋อง “เจ้าบังคับคุณชายอวิ๋นให้คุกเข่าโขกหัวให้แล้วจึงชกต่อยกับเขาใช่หรือไม่”
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ!” เฝินอ๋องไม่ยอมถูกใส่ความ รีบอธิบายว่า “เป็นเขาที่ชกข้าก่อน ข้าจึงให้เขาคุกเข่าขอโทษ เขายืนกรานจะไม่ทำ ข้าจึงได้ให้ขันทีกดเขาลง!”
ประโยคนี้จบลง พระสนมก็หน้าซีดเผือด รีบไปดึงโอรสเอาไว้เงียบๆ
นางกำนัลภายในตำหนักแอบซุบซิบกันเซ็งแซ่ เฝินอ๋องท่านนี้ ยอมรับออกมาแล้วว่าตนโหดเหี้ยมเพียงใดในวังหลวงแห่งนี้
หนิงซีฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นว่า “เขายั่วโมโหเจ้า ชกเจ้า สุดท้ายต่อให้ถูกเจ้าบังคับแล้ว เขาก็มิยอมขอโทษ เราว่าเขาคงโมโหกว่าเจ้าอีกกระมัง” ตรัสจบก็ตบโต๊ะ “พวกเจ้าตัดสินใจจะปกป้องเข้าข้างเฝินอ๋องและหลอกลวงเราใช่หรือไม่”
ประโยคนี้ย่อมตรัสกับเหล่าสหายร่วมสำนักกลุ่มนั้น ทุกคนต่างหวาดผวาเหลือคณา หมอบลงกับพื้น
ถูซื่อจื่อเห็นว่าพระเนตรดุดันของฝ่าบาทจ้องมองมาที่ตน จึงร้องไห้คร่ำครวญทูลว่า “ฝ่าบาทโปรดทรงเมตตาด้วย! หลังจากเฝินอ๋องเลิกเรียน เดิมทีบอกว่าจะเชิญอวิ๋นจิ่นจ้งไปพบที่หลังสำนักศึกษา ตั้งแต่อวิ๋นจิ่นจ้งเข้าสำนักมา ก็ไม่เข้าพรรคเข้าพวกกับผู้ใด หยิ่งยโสเป็นอย่างมาก เชิญไปหลายครั้งหลายครากว่าจะยอมมา เฝินอ๋องจึงไม่พอพระทัย เอ่ยหยอกล้อสองสามคำ อวิ๋นจิ่นจ้งก็เก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงมือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลวไหล!” หนิงซีฮ่องเต้เดือดดาล ชี้ไปยังอาภรณ์ของอวิ๋นจิ่นจ้งแล้วตรัสว่า “อาภรณ์ยังเปียกชุ่มเช่นนี้ วันนี้อากาศแจ่มใสปลอดโปร่ง ไร้ฝนฟ้าคะนอง เหตุใดจึงเปียกได้ เฝินอ๋องพูดหยอกล้ออย่างเดียวจริงหรือ ยังจะกล้ามาเล่นลิ้นโกหกเรา!”
ถูซื่อจื่อตกใจจนปัสสาวะแทบราด ละล่ำละลักทูลว่า “…เฝินอ๋องทรงให้ขันทีน้อยสาดน้ำ แต่ว่านั่นก็ล้อเล่นนะพ่ะย่ะค่ะ…”
พระสนมทนไม่ไหวอีกต่อไป “ลูกแค่หยอกเล่น เป็นเพียงการหยอกล้อระหว่างเด็กๆ เท่านั้น ไม่ถึงขนาดต้องชกกันให้มีสภาพเช่นนี้เลยนะเพคะ คุณชายอวิ๋นตอบโต้รุนแรงเกินไปแล้ว”
หนิงซีฮ่องเต้มิได้มองพระสนมแม้แต่น้อย พระองค์มองอวิ๋นจิ่นจ้งตรัสว่า “เราอนุญาตให้เจ้าพูดเอง เพราะเฝินอ๋องหยอกล้อ เจ้าจึงได้ลงมือใช่หรือไม่”
อวิ๋นจิ่นจ้งได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็ประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะมิทรงลำเอียงเหมือนที่ตนคิดไว้ พอได้เห็นสายพระเนตรที่เปี่ยมด้วยเมตตาและความเชื่อใจ ในที่สุดเขาก็ยอมเอ่ยปาก น้ำเสียงยังคงสั่นเครือ “เฝินอ๋อง…ดูถูกมารดาและพี่สาวของกระหม่อม พูดตั้งแต่ที่ห้องเรียนจนถึงหลังสำนัก บอกว่ามารดาตายไปไว ตายไปก็ดีแล้ว ซ้ำยังดูถูกพี่สาว…กระหม่อมมิอาจทนฟังได้พ่ะย่ะค่ะ…” อวิ๋นจิ่นจ้งขอบตาแดงกล่ำ กลืนก้อนสะอื้นลงคอ ก้มหน้าลงไป
เมี่ยวเอ๋อร์หันไปมอง เอียงคอทูลว่า “คุณชายอวิ๋นเสียมารดาตั้งแต่ยังเล็ก พี่สาวจึงเป็นญาติที่สนิทที่สุด ทั้งสองคนเป็นบาดแผลที่เขาไม่อยากจะพูดถึง ถูกคนล่วงเกินเหยียบย่ำเข้าย่อมทนฟังมิได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงเห็นแก่ที่เขามีปณิธานแน่วแน่ตั้งแต่อายุยังน้อย เคารพมารดาและพี่สาว อภัยโทษแก่เขาสักคราเถิดเพคะ” พูดจบกลับเห็นหนิงซีฮ่องเต้สีหน้าตกตะลึง ราวกับใจลอยอยู่เล็กน้อย ไม่ตรัสอันใดอยู่นาน
พักใหญ่ๆ พระองค์ก็กัดฟันตรัสว่า “ที่แท้ก็เริ่มก่อเรื่องตั้งแต่ในห้องเรียนแล้ว ใครก็ได้ นำลี่อ๋องกับจิ่งอ๋องมาที่นี่”
องค์ชายทั้งสองเข้าพระนั่งหย่างซินเตี้ยนมา
ลี่อ๋องกับจิ่งอ๋องจะช่วยน้องสิบห้าทูลความเท็จได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะรับสั่งเรียกหาก็สงสัยเป็นอย่างยิ่ง แทบจะอดใจรอมิไหวแล้ว ทั้งสองต่างทูลเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องเรียนไปจนหมด ตั้งแต่เฝินอ๋องแสดงเป็นท่านอาจารย์ก่อนจะเริ่มเรียน แล้วเริ่มเกิดเรื่องพิพาทกับอวิ๋นจิ่นจ้ง อีกทั้งรอบข้างยังมีคนพวกนั้นคอยใส่ไฟ
“ลูกเห็นคุณชายสกุลอวิ๋นอดทนอดกลั้นมาหลายครั้งหลายครา นับว่าเป็นคนควบคุมอารมณ์ตัวเองได้พ่ะย่ะค่ะ” จิ่งอ๋องทูลจบก็เสริมอีกว่า “หากแต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายน้องสิบห้าก็บีบบังคับเขาให้หมดความอดทนลง”
พระสนมสีหน้าพลันเปลี่ยน เห็นเพียงฝ่าบาทฟังไปพระพักตร์ก็อึมครึมขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็ทรงมีรับสั่งจนทุกคนต่างทำอันใดไม่ถูก “ใครก็ได้ เอาตัวเฝินอ๋องไปตำหนักซือฝา โบยสิบที!”
เหยาฝูโซ่วรับคำ โบกมือขึ้น ขันทีสองนายที่มีพละกำลังและกล้าหาญก็เดินเข้ามา
เฝินอ๋องไม่กล้าเชื่อเลยว่าเสด็จพ่อจะสั่งโบยตน คงป่วยจนเลอะเลือนแล้วกระมัง เขาทั้งร้องทั้งตะโกนว่า “เสด็จพ่อ…”
พระสนมตระหนกขึ้นมา ขวางขันทีที่มาหิ้วตัวเฝินอ๋องไว้ “ฝ่าบาทเพคะ ลูกโดนคนทำร้ายแท้ๆ เหตุใดจึงไม่ทรงลงโทษคนทำร้ายเล่า ซ้ำยังมาสั่งให้โบยลูกอีก นี่มันเหตุผลอันใดกัน!”
“เหตุผลรึ!” หนิงซีฮ่องเต้ที่วรกายอ่อนแอมานานก็พลันมีเรี่ยวมีแรงเดือดดาลขึ้นมา พระองค์จ้องเฝิงอ๋องนิ่ง “อายุน้อยเพียงนี้ ประพฤติหยาบคายไร้หัวใจต่อผู้อื่น พูดจาไม่นึกถึงจิตใจผู้อื่น ดูถูกคนที่มีชีวิตอยู่ก็พอแรงแล้ว กระทั่งคนวายชนไปแล้วก็ยังลากมาด่าว่าเยาะเย้ย หากโตไปกว่านี้จะได้รับการเคารพนับถือได้อย่างไร จะให้คนมาหัวเราะเยาะเอาหรือว่าราชวงศ์มีโอรสที่ปากตลาดวาจาเราะร้าย ซ้ำยังจะทำราชวงศ์ได้รับความอัปยศอดสู ไร้กฎทิ้งระเบียบ! สำนักศึกษาชั้นในเป็นสถานที่ที่บรรพบุรุษทรงสร้างขึ้นเพื่อให้โอรสในราชวงศ์มาศึกษาเล่าเรียน สงบเงียบและสำคัญน่าเกรงขาม กลับถูกเขาเอามาใช้เพื่อความสะใจส่วนตัว เห็นเป็นสนามเด็กเล่นไป นี่เป็นของเล่นหรือ ไม่เคารพบรรพบุรุษนัก! นี่คือเหตุผลที่ลงโทษเขา! วันนี้ไม่ลงโทษ วันหน้าก็จะกลายเป็นเว่ยอ๋องคนต่อไปได้!”
พระสนมได้ฟังก็ผงะถอยไปสองก้าว ดวงหน้างามซีดเผือดไร้สีเลือด ได้แต่มองโอรสถูกขันทีหิ้วไปตำหนักซือฝา เบื้องหน้าพลันมืด เป็นลมล้มพับไปจนนางกำนัลต้องมาพยุงกลับไป
สหายร่วมสำนักเห็นเฝินอ๋องยังเอาตัวเองไม่รอดก็คุกเข่ากับพื้น ตัวสั่นงันงกเหมือนกระด้งฝัดข้าว มีคนหนึ่งที่ขี้ขลาดตาขาว กระทั่งปัสสาวะออกมารดกางเกง ได้ยินสุรเสียงฮ่องเต้ดังขึ้นว่า “พวกเจ้า เราให้เข้ามาศึกษาเล่าเรียนในสำนักชั้นใน ไม่บากบั่นเล่าเรียน ศึกษาแต่เรื่องประสบสอพลอ หากภายหน้าได้เป็นขุนน้ำขุนนาง ก็ไม่พ้นมาเป็นมอดแมลงของราชสำนัก! การกระพือลมใส่ไฟในครั้งนี้ อภัยให้มิได้! เฝินอ๋องถูกพวกเจ้าทำให้เสียคนหมดแล้ว! ใครก็ได้ เอาตัวพวกนี้ออกไปให้หมด โบยสามสิบทีที่หน้าประตูเจิ้งหยาง แจ้งให้เหล่านักเรียนที่สำนักศึกษาชั้นในทุกคนมาชมการลงโทษครานี้ด้วย ให้พวกเขามาดูเอาไว้ ดูสิว่าวันหน้าจะยังกล้าซ่องสุมสมัครพรรคพวกทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมที่สำนักศึกษาชั้นในอีกหรือไม่! พอลงโทษเสร็จก็รายงานไปยังแต่ละจวนให้ปู่ลุงอาพ่อของพวกเขามารับเด็กพวกนี้กลับไป!”
ถูซื่อจื่อ คุณชายอิ่นกับพวกคุณชายคนอื่นๆ ทรุดตัวลงกับพื้น นี่หมายความว่าให้ผู้ปกครองที่บ้านมาอับอายขายขี้หน้าชัดๆ ขณะที่ผู้ปกครองกำลังโกรธเคือง กลับไปพวกเขายังต้องโดนโบยอีกยกใช่หรือไม่
พวกสหายร่วมสำนักที่ตื่นตระหนกตกใจถูกขันทีหิ้วตัวออกจากพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน
จิ่งอ๋องกับลี่อ๋องจึงทูลลาออกมา
พอเสียงโหวกเหวกภายในตำหนักหายไป ก็เงียบสงบมากขึ้น
หนิงซีฮ่องเต้หมดเรี่ยวหมดแรง ทรุดลงพิงเก้าอี้ทรงกลมหายใจแผ่วเบา
เมี่ยวเอ๋อร์ทราบดีว่าที่วันนี้พระองค์เสด็จออกมาพบปะผู้คนก็ฝืนร่างกายมากพอแล้ว จึงเข้าไปกระซิบทูลว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันพยุงเข้าไปพักผ่อน…”
ทว่ากลับเห็นหนิงซีฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังอวิ๋นจิ่นจ้ง สีหน้าโหดเหี้ยมเดือดดาลเมื่อครู่พลันหายไป ความอ่อนโยนเข้ามาแทนที่ “เรื่องนี้มิได้โทษเจ้า เจ้าไม่ผิดอันใด อย่าได้กลัวไป”
เมี่ยวเอ๋อร์เลิกคิ้ว ฝ่าบาททรงปกป้องลูกชายของฮูหยินสกุลสวี่จริงๆ
เนื่องจากคุณชายน้อยอาภรณ์เปียกชุ่ม จึงยังคงตัวสั่นงันงกอยู่ อากาศช่วงนี้เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ไม่ดีต่อคนที่ร่างกายเปียกชุ่มไปทั้งร่างเท่าใดนัก เด็กคนนี้ เพิ่งจะหายป่วยมาได้ไม่นานนี้เอง
ตอนต่อไป →