บทที่ 109 ข้าสับอีกไม่ไหวแล้ว (ต้น)
อันที่จริงหลังจากเยี่ยฉวนพุ่งตัวออกไป มันก็ได้เกิดแรงผลักดันและพลังสภาวะที่แผ่กระจายโดยมิอาจ ยับยั้ง ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก !
เคล็ดวิชาต่อสู้ !
ที่แผ่นดินชิง ตราบใดที่คนผู้หนึ่งบรรลุในเคล็ดวิทยายุทธ์ คนผู้นั้นก็จะได้รับการยกย่องเสมอว่าเป็นยอดคนและยอดอัจฉริยะ !
เยี่ยฉวนทะยานออกเผชิญหน้าชายผู้นั้น เขาพุ่งหมัดตรงปะทะเข้ากับคนตรงหน้าอย่างรุนแรง !
หมัดทลายภูผา !
พลังหมัดที่พุ่งออกนั้นคือการผสานเข้ากันของแรงผลักดันกับเคล็ดวิชาต่อสู้
ทันทีที่เยี่ยฉวนผลักพลังหมัดออกไป มันก็ทำให้เกิดเสียงระเบิดกัมปนาทดังกึกก้องสะท้อนสะท้านไป ทั้งลานโล่ง
คนที่ยืนฝั่งตรงกันข้าม ชายผู้นั้นเหลือบตามอง เห็นดังนั้นเยี่ยฉวนจึงไม่ต้องการเสี่ยงอีก ชายหนุ่มเกร็งหมัดขวา ก่อนจะปล่อยออกกระแทกพื้นดินอย่างดุดัน !
ตู้ม !
พื้นเบื้องล่างระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง อิฐหินจำนวนมหาศาลร่วงหล่นลงมา แต่ละก้อนเต็มไปด้วยเหลี่ยมคมราวหัวลูกศรที่พุ่งกระจายขึ้นสู่อากาศ ก่อนจะร่วงลงพื้นรอบตัวชายหนุ่ม
ตู้ม !
ชั่วพริบตา หินเหล่านี้ที่ตกลงมาก็พลันแหลกละเอียดกลายเป็นฝุ่นผงฟุ้งกระจาย เยี่ยฉวนอาศัยจังหวะดังกล่าว เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วจนมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะปล่อยหมัดตรงเข้าใส่ชายผู้นั้นเต็มแรง
ก่อนที่หมัดจะถึงเป้าหมาย กำปั้นของชายหนุ่มก็ได้ทำให้เกิดรอยแตกร้าวบนพื้นที่โดยรอบด้านหลัง ชายผู้นั้น !
อีกฝ่ายได้แต่มองตาม ด้วยไม่ทันตั้งตัว จึงถูกแรงกระแทกจนเป็นเหตุให้ถูกดันล่าถอยรวดเดียวไกล หลายจั้ง
ชายหนุ่มไม่ออกตามติดเพื่อสู้ต่อ เขากลับมายืนข้างองค์หญิงเก้า เวลานี้พลังปราณที่ขับเคลื่อนด้วย เคล็ดวิชาต่อสู้ได้หลั่งไหลไปทั่วร่าง เขาหันไปมองกลุ่มคนยืนมุงด้วยสายตาเยือกเย็น “มีใครหน้าไหนอีก ?”
ผู้คนโดยรอบต่างพากันจับตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีเคร่งเครียด !
ชายหนึ่งหญิงหนึ่งท่าทางผึ่งผายยืนมองมาจากระยะไกล โดยเฉพาะฝ่ายชาย หลังจากที่ออกต่อสู้กัน แล้ว เขาจึงได้ตระหนักถึงพลังของเยี่ยฉวน ด้วยพลังหมัดของคนผู้นี้นั้นช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก !
เมื่อเยี่ยฉวนกลับมายืนที่เดิม องค์หญิงเก้าจึงหันไปมองเขาเต็มตา ด้วยจิตวิญญาณนักสู้ที่ตื่นขึ้น ดังนั้นนางจึงเปล่งเสียงดังก้องออกมา “เอาเลย ฆ่าพวกมัน !”
โดยไม่รีรอ หญิงสาวดึงดาบโค้งทองคำออกจากฝัก หากทว่าเยี่ยฉวนกลับเอื้อมมือมาพร้อมฉุดแขน พานางวิ่งออกไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเคลื่อนที่เร็วมาก ชั่วพริบตาเท่านั้นก็พากันวิ่งออกไประยะทางไกลหลายลี้เสียแล้ว…
ขณะเดียวกันทุกคนในที่นั้น ต่างก็พากันตกตะลึงและงุนงงกับเหตุการณ์
“วิ่ง… วิ่งหนี ?”
“เขาไม่ต่อสู้ ?”
ต่างคนต่างหันมามองหน้ากันไปมาด้วยไม่ทันคิด ทว่าเสี้ยววินาทีต่อมา !
“พวกเราถูกหลอก !”
ครานี้มีเสียงคำรามลั่นด้วยความโมโห ไม่นานคนทั้งกลุ่มพลันเร่งติดตามทั้งเยี่ยฉวนและองค์หญิงเก้า ซึ่งตอนนี้ออกไปไกลลิบแล้ว
ท่ามกลางกลุ่มคนที่ไล่ตามมา ผู้ที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็วที่สุดคือคู่ชายหญิงทั้งสองนั่น !
เยี่ยฉวนนำองค์หญิงเก้าออกวิ่งเตลิดมาไกล ถึงอย่างไรสมรรถนะทางกายของชายหนุ่มก็นับได้ว่าแข็ง แกร่งเป็นอย่างมาก
ขณะที่ทั้งสองออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต จังหวะหนึ่งองค์หญิงเก้าก็ได้หันมาถาม “ไม่ใช่ว่าพวกเราจะต่อสู้หรือ ?”
ชายหนุ่มทำหน้าเมื่อย “พวกเราไม่อาจสู้กับคนตั้งโขยงได้ !”
“เจ้าพึ่งทำท่าอวดเก่งเมื่อตะกี้ ?”
เยี่ยฉวนหน้าตาจริงจัง “ควรใช้คำว่ายุทธวิธีล่าถอยเสียมากกว่า !”
องค์หญิงเก้ายิ้มมุมปาก “ยุทธวิธีล่าถอยนี่เอง… ว่าแต่ เจ้าช่วยปล่อยแขนข้าก่อนจะได้ไหม ?”
ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึก เจ้าตัวสีหน้าเก้อเล็กน้อย ก่อนจะรีบปล่อยมือออกจากแขนของนาง
ทั้งสองใช้ความเร็วสุดฝีเท้าหลบหนีจนมาถึงปากทางออก ถึงกระนั้นเมื่อวิ่งผ่านทางออกไปแล้ว ทั้งคู่ พลันตกใจจนหน้าถอดสีเมื่อปรากฏว่าทางด้านซ้ายมีประกายแสงวูบพุ่งตรงเข้าหายังช่วงบนของร่างกาย องค์หญิง
ความสว่างนั้นเร็วประหนึ่งแสงอสุนีบาต !
เสี้ยววินาทีแห่งความคับขัน ชายหนุ่มตกใจสุดขีด เขาเผลอทำตัวไปตามสัญชาตญาณ เยี่ยฉวคว้าร่าง ขององค์หญิงเบี่ยงออก ก่อนจะใช้ร่างของตนเองพุ่งขวางแสงสว่างนั่นไว้ !
เปรี้ยง !
ร่างหนึ่งปะทะเข้ากับเยี่ยฉวนจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น ปรากฏโลหิตพุ่งกระฉูดออกจากบริเวณหน้าอก ของชายหนุ่ม
องค์หญิงเก้าได้แต่ตกตะลึงเมื่อหันมาเห็นรอยบาดเจ็บที่หน้าอกของเยี่ยฉวน
ทว่าชายหนุ่มหาได้ใส่ใจความบาดเจ็บของตนเอง เขาเหลือบมองกลุ่มคนที่วิ่งตามมาถึงด้วยสายตาไม่ เป็นมิตร ด้วยคุ้นหน้าเจ้าคนที่พุ่งมาปะทะ บุรุษสวมผ้าคลุมสีดำนั่งนิ่งบนบนไดหินที่ประตูทางออก สายตาที่ มองเยี่ยฉวนเต็มไปด้วยแววตาแห่งความอาฆาตมาดร้าย
“อยากทำตัวเป็นคนดีหรือ ? เจ้า…”
โดยไม่รอให้ผู้นั้นพูดจบประโยค เยี่ยฉวนก็ได้ทะยานเข้าหาอีกฝ่ายทันที
ฟุ่บ !
เสียงวัตถุบางอย่างแหวกขึ้นสู่อากาศสะท้อนบริเวณลานโล่ง
นั่นคือเสียงที่เกิดจากร่างของคนผู้หนึ่งทะยานสู่อากาศธาตุ !
สายตาจับภาพที่เคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ชายสวมผ้าคลุมดำสีหน้าเปลี่ยนเป็นถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม โดยไม่คาดคิด อีกฝ่ายพลันดึงมือทั้งสองออกจากชายแขนเสื้อทันที
ฟิ้ว ! ฟิ้ว !
รัศมีจากสองลำแสงสีดำพุ่งวาบออกมา !
ลูกธนูคมกริบสองดอก !
เยี่ยฉวนไม่ได้หลบหลีก แต่เขากลับปล่อยให้ลูกธนูทั้งสองพุ่งเข้าเป้าหมาย ซึ่งก็คือหน้าอกของตนเอง ลำธนูที่กำลังพุ่งแหวกกลางอากาศเหลือระยะห่างเพียงไม่กี่คืบจะถึงที่หมาย
พลันลูกธนูกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นดังนั้น ชายในผ้าคลุมดำถึงกับหน้าถอดสีซีด ได้แต่ยืน มองด้วยความตกตะลึงจนบอกไม่ถูก เขาคิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้จะไม่หลบหลีก ! จังหวะนั้นเอง มันก็ได้มีหมัดตรง ของชายหนุ่มพุ่งวืดเข้ามาตรงหน้า !
เยี่ยฉวนถ่ายเทพลังที่มีลงสู่กำปั้นก่อนพุ่งหมัดออกไป !
ผ้าคลุมสีดำของคนผู้นั้นขาดสะบั้นลงในทันทีด้วยพลังผลักดันของหมัดที่เยี่ยฉวนปล่อยออก
สีหน้าของบุรุษผู้นั้นบ่งชี้ว่าตกตะลึงยิ่งนัก ทว่ามันกลับช้าไปเสียแล้วที่จะหลบหลีก อีกฝ่ายจึงทำได้เพียงยกท่อนแขนขึ้นสกัดกั้นพลังหมัดของเยี่ยฉวน
กร๊อบ !
เสียงของกระดูกท่อนแขนแหลกละเอียดจากการตั้งรับปะทะหมัดตรงของเยี่ยฉวนดังขึ้น ร่างทั้งร่างของคนผู้นั้นกระเด็นไปกระแทกเข้ากับสันเขาซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกหลายจั้ง !
คนผู้นั้นทำท่าขยับจะลุกขึ้น แต่ช้าไป เพราะว่าตอนนี้เยี่ยฉวนได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ยามนี้บนใบหน้าของอีกฝ่ายมีเพียงความหวาดกลัว
ทว่าคนผู้นั้นก็ยังคงเอ่ยวาจาร้อนแรงหมายข่มขวัญ
“ข้าคือองค์ชายแห่งแคว้นหนิง ถ้าขืนกล้า…”