ตอนที่ 480 ไปเก็บสมุนไพร
หลี่กุ้ยเฟยรีบพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมา อันหลิงเกอจึงส่งสัญญาณไปทางชิงเฟิงให้ถอยไป แม้ว่าชิงเฟิงยังมิวางใจแต่ก็จำใจถอยออกไป
“ได้โปรดเถิด พระชายามู่ช่วยองค์ชายของข้าด้วย” หลี่กุ้ยเฟยคุกเข่าลงอีกครั้ง อันหลิงเกอเห็นท่าทางนี้แล้วจึงรู้ว่าหากมิช่วยก็คงดูมิดี
ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็มิได้เป็นแค่บุตรชายของหลี่กุ้ยเฟยแต่ยังเป็นถึงองค์ชาย
สาเหตุที่ฮ่องเต้มิได้ตรัสเอง ดูท่าแล้วตอนนี้พระองค์มิแยแสหลี่กุ้ยเฟยอย่างแน่นอน แม้กล่าวว่านางอยู่เคียงข้างพระวรกายนานที่สุด แต่ก็มีหญิงงามนับพันอยู่ในวังหลวง สายพระเนตรก็มิได้หยุดอยู่ที่นางผู้เดียว
อันหลิงเกอย่อมทนเห็นชีวิตหนึ่งตายไปอย่างไร้ค่ามิได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงตามหลี่กุ้ยเฟยเข้าวัง
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ว่าในตำหนักของหลี่กุ้ยเฟยฉุนไปด้วยกลิ่นยา อันหลิงเกอขมวดคิ้ว ดูท่าอีกฝ่ายคงคิดหาทางช่วยเหลือโอรสมาหลากหลายวิธีแล้ว นี่คงหมดสิ้นหนทางแล้วจริง ๆ จึงไปขอความช่วยเหลือจากตน
ตอนนี้ดวงตาของหลี่กุ้ยเฟยยังบวมแดง ดูมิได้สนใจอันใดนัก ภายใต้ความร้อนใจจึงรีบดึงมือของอันหลิงเกอเพื่อพาเข้าไปในห้อง อันหลิงเกอก็มิได้ปฏิเสธเพราะถึงอย่างไรก็รู้ดีว่าหลี่กุ้ยเฟยเป็นกังวลและร้อนรนมาก
มีร่างของทารกตัวน้อยคนหนึ่งอยู่บนเตียง สีหน้าล้วนปกติ หากมิสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่าเขาแค่กำลังหลับอยู่เท่านั้น
อันหลิงเกอจึงเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นก็นั่งลงข้างเตียง นางจับข้อมือของทารกอย่างเบามือเพื่อจับชีพจรของอีกฝ่าย หลี่กุ้ยเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่จ้องเขม็งไปทางอันหลิงเกอ นางกลัวจนขมวดคิ้วแน่น
สีหน้าของอันหลิงเกอมิได้เปลี่ยนไป เด็กคนนี้อยู่ในครรภ์ตอนที่ฮ่องเต้เกิดโรคระบาดด้วยเหตุนี้ลมปราณที่ค่อนข้างอ่อนแอและเย็นยะเยือกภายในร่างกายจึงส่งผลให้มีอาการรุนแรงเพียงนี้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและหัวใจของหลี่กุ้ยเฟยก็เจ็บปวดร้าวรานราวกับถูกบีบจนแทบหายใจมิออก
“เด็กคนนี้…เกี่ยวข้องกับโรคระบาดที่มาจากองค์ชายเจ็ดเพคะ” ทันทีที่อันหลิงเกอเอ่ยออกไป หลี่กุ้ยเฟยถึงขั้นตกตะลึง หมายความว่าช่วยบุตรของนางมิได้แล้วหรือ ?
อันหลิงเกอมิได้พูดต่อทว่าเริ่มเก็บข้าวของ ในตอนที่หลี่กุ้ยเฟยกำลังตกตะลึงอยู่ที่เดิมนั้นอันหลิงเกอก็เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“หม่อมฉันจะออกไปหาสมุนไพรสำหรับรักษา พระองค์มิต้องตรัสอันใดให้มากความและสมุนไพรชนิดนี้หากพระองค์ไปเองก็คงหามิเจอ แต่หลี่กุ้ยเฟยเพคะ หม่อมฉันอยากให้จำไว้ว่าหากเป็นห่วงเด็กคนนี้จริง จ้าวหลานหยู่ผู้นั้น…”
อันหลิงเกอมองหลี่กุ้ยเฟย นางรู้ว่าอีกฝ่ายคงอยากตามไปด้วย ขืนพาไปมิเพียงเป็นตัวถ่วงแต่ยังสร้างความลำบากให้มากขึ้นด้วย
หลี่กุ้ยเฟยรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ นางเข้าใจว่าองค์ชายเจ็ดแม้มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์มากที่สุด แต่ตอนนี้เขาได้ทำเรื่องที่ล่วงเกินฝ่าบาทมากเกินไป มินานก็คงประสบปัญหาใหญ่เป็นแน่
หลี่กุ้ยเฟยมิได้โง่ เดิมทีนางมิจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับอันหลิงเกอก็ได้ วันข้างหน้าก็อาจโน้มน้าวบรรดาโอรสได้ด้วย
ในขณะที่อันหลิงเกอกำลังเก็บของ มู่จวินฮานก็เดินเข้ามาในเรือนของนาง วันนี้เขาได้ยินคนคุยกันว่าอันหลิงเกอและหลี่กุ้ยเฟยไปมาหาสู่กัน เขาจึงอดเป็นห่วงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เขารีบเข้ามาทันทีเพื่อดูอันหลิงเกอ แต่เห็นนางกำลังเก็บของอยู่พอดี เขาจึงคิดว่าหลี่กุ้ยเฟยกล่าวเรื่องอันใดบางอย่างแน่
“เกอเอ๋อ นางคุยเรื่องใดกับเจ้าหรือ ? ” มู่จวินฮานจับตัวของอันหลิงเกอไว้ มิยอมให้นางเก็บของต่อ อันหลิงเกอมองไปยังของที่อยู่ในมือเล็กน้อยจากนั้นก็มองมู่จวินฮาน นางรู้ว่าเขาต้องเข้าใจผิดแน่นอน
อันหลิงเกอส่ายหน้าแล้วเขาจึงปล่อยมือ นางเล่าเรื่องในวันนี้ให้มู่จวินฮานฟังทั้งหมด
หลังจากที่มู่จวินฮานได้ยินดังนั้นและในใจรู้ว่าอันหลิงเกอมิมีทางไปจากตนจึงวางใจ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นห่วงภรรยาเพราะรู้ว่าอันหลิงเกอเป็นคนใจอ่อน แต่เขาก็รู้ว่านั่นคือชีวิตหนึ่งเช่นกัน
“ข้าจะไปกับเจ้า” มู่จวินฮานกุมมือของอันหลิงเกอไว้และมองนางอย่างจริงจัง
เวลานี้หนอนกู่ทั้งสองตัวที่อยู่ในร่างกายยังมิไปไหน หากพวกเขาอยู่ห่างไกลกันกว่านี้คงมิดีแน่
อันหลิงเกอเกิดความลังเลเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้า หากมีมู่จวินฮานเดินทางไปด้วย นางเชื่อว่าทุกอย่างต้องราบรื่นมากแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นหากนางไปเพียงลำพังก็คงมิชินกับเส้นทางแคว้นชิงเยว่เป็นแน่
มู่จวินฮานจึงไปเก็บของ จากนั้นก็เดินไปลากม้าสองตัวออกจากคอกแล้วมารออันหลิงเกออยู่นอกจวน อันหลิงเกอมิได้พาปี้จูและองครักษ์ไปด้วยแต่ออกมาเพียงลำพัง
ชายแดนของแคว้นชิงเยว่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุด เมืองต่าง ๆ และแคว้นมากมายล้วนเนรเทศนักโทษมาไว้ที่แห่งนี้เพื่อให้ใช้ชีวิตตามมีตามเกิด แต่ในความเป็นจริงคือมิอยากให้พวกเขาได้มีชีวิตต่อไปต่างหาก มิต้องเอ่ยถึงสัตว์ป่าดุร้ายในที่แห่งนั้นเพราะแค่ความเย็นยะเยือกก็สามารถคร่าชีวิตทุกคนได้แล้ว
ครั้งนี้อันหลิงเกอและมู่จวินฮานมีการเตรียมตัวมาอย่างดี พวกเขาได้นำอาหารแห้งและตะบันไฟติดตัวมาด้วยเพราะเกรงว่าหากถึงที่นั่นแล้วจักหาสิ่งของบางอย่างมิได้
โอรสของหลี่กุ้ยเฟยยังมีชีวิตอยู่ได้อีกแปดหรือเก้าวัน อันหลิงเกอรู้ว่าพอกลับไปยังต้องเคี่ยวยาและวินิจฉัยโรคอีกหนึ่งวันเต็มซึ่งกล่าวได้ว่าหากตัดเวลาในการเดินทางออก พวกนางสามารถอยู่ที่นี่ได้มิเกินสามวันเท่านั้น
ทว่าพื้นที่ทางตอนเหนือสุดอันตรายมาก มิมีผู้ใดรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง หลังจากมู่จวินฮานได้ยินอันหลิงเกอบอกจะไปหาสมุนไพรในเมืองนี้ เขาจึงเกิดความมิสบายใจขึ้นมา
แต่เขามิได้บอกความคิดให้อันหลิงเกอได้รับรู้ ถึงอย่างไรนางก็คิดช่วยโอรสของหลี่กุ้ยเฟยอยู่แล้ว ย่อมมิยอมรามือโดยง่าย
ความดื้อรั้นของเด็กคนนี้ไร้ผู้ใดเข้าใจมากกว่าเขาแล้ว
ตลอดการเดินทางทั้งสองคนมิกล้าหยุดพัก จนกระทั่งฟ้ามืดจึงหาถ้ำสักแห่งเพื่อหยุดพักชั่วคราว
“ข้ามภูเขาตรงหน้านี้ไปก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอดื่มน้ำไปหนึ่งอึกพร้อมมองไปยังทิศทางของภูเขา ประกายของความหวังฉายชัดอยู่ในดวงตาของนางและทอแสงระยิบระยับมากทีเดียว
“อืม” มู่จวินฮานทำเพียงตอบกลับไป จากนั้นก็มิได้กล่าวอันใดอีก อันหลิงเกอคิดว่าเขาคงเหนื่อยจึงมิได้พูดมากความ ทั้งสองจึงหลับตาแล้วพักผ่อนเก็บแรงด้วยกันที่นี่
มินานอันหลิงเกอก็รู้สึกปวดศีรษะและวิงเวียน นางจึงตกเข้าสู่ห้วงนิทราโดยมิรู้ตัว มิรู้ว่ามู่จวินฮานแอบใส่ยาในน้ำดื่มของนาง
มู่จวินฮานมองอันหลิงเกอที่หลับสนิท จากนั้นก็ล้วงไปหยิบของง่าย ๆ สองสามอย่างออกจากในย่ามของนาง ก่อนจุดกองไฟให้แล้วกระโดดขึ้นม้าพร้อมจากไปโดยมิหันหลังกลับมามองอีก
ในเวลานี้อันหลิงเกอยังมิรู้ตัวว่ามู่จวินฮานออกไปค้นหาสมุนไพรเพียงลำพัง เพราะเขามิอยากให้นางต้องไปเสี่ยงอันตราย
ทว่าอันหลิงเกอมิใช่หญิงสาวธรรมดา นางจะทำตามความคิดของเขาได้เยี่ยงไร มู่จวินฮานคาดมิถึงเรื่องนี้เพราะเขายังตรงไปยังภูเขาหิมะและในเวลานี้ก็ข้ามภูเขาไปแล้วครึ่งลูก
มู่จวินฮานมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มสว่างเล็กน้อย เขาคิดว่าเวลานี้อันหลิงเกอคงตื่นแล้ว มิรู้ว่านางจะกลับจวนตามที่เขาคิดไว้หรือไม่ ?