ตอนที่ 479 ช่วยเหลือโอรสของนาง
“พระชายาอย่าวุ่นวายเลย” เสียงสดใสดังขึ้น จ้าวหลานหยู่ในชุดคลุมยาวสีแดงเข้มได้ปรากฎกายตรงหน้า
“วันนี้ข้าต้องเข้าพิธีหมั้นหมาย หากพระชายามู่กระทำเยี่ยงนี้อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ข้าเกรงว่าผู้อื่นจักคิดว่าท่านกับข้ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน”
ความสัมพันธ์กับผี!อันหลิงเกอเบะปากเล็กน้อย ผู้ใดอยากมีความสัมพันธ์กับเขามิทราบ
แต่นางถูกจับได้ตอนอยู่ในห้องหนังสือ ทำเยี่ยงไรดีเล่า ?
จู่ ๆ ดวงตากลมโตของอันหลิงเกอก็แดงก่ำแล้วหยดน้ำตาเท่าเมล็ดถั่วก็ร่วงลงมา จากนั้นนางก็หมุนตัวและพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “พระองค์ตรัสล่วงเกินหม่อมฉันเยี่ยงนี้แสดงว่ามิเห็นท่านอ๋องมู่อยู่ในสายพระเนตรเลยสิเพคะ”
จ้าวหลานหยู่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงโศกเศร้านี้ ดวงตาเรียวยาวลึกล้ำของเขามองอันหลิงเกอด้วยการจับผิด แต่เห็นใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ของนางช่างไร้เดียงสาราวกับมิมีความคิดอื่นใด
บางทีเขาอาจคิดมากไป
อันหลิงเกอมิเหมือนสตรีเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัด แม้ฉลาดปราดเปรื่องไปบ้างแต่ก็คงมิกล้าทำตามอำเภอใจในจวนเจียงอ๋องเป็นแน่
“นี่คืองานหมั้นที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ หากคนของจวนอ๋องมู่สร้างความวุ่นวายให้ข้า เยี่ยงนั้น…” ราวกับว่าประโยคสุดท้ายติดอยู่ในลำคอ จ้าวหลานหยู่จึงมิอาจกล่าวออกมาได้
อันหลิงเกอเม้มปากอย่างดื้อรั้น ดวงตากลมโตจ้องมองจ้าวหลานหยู่ด้วยความโกรธเคืองโดยมิกล่าวอันใดคล้ายกำลังยืนหยัดเช่นเดิม
“พระชายาไปร่วมโต๊ะอาหารในห้องโถงเถิด!”
จ้าวหลานหยู่ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อเอาใจอันหลิงเกอ เวลานี้หากทั้งสองคนเดินออกจากห้องหนังสือไปพร้อมกันต้องมิดีต่อชื่อเสียงของทุกฝ่ายแน่
อันหลิงเกอมีมู่จวินฮานเป็นที่พึ่งพิง แต่จ้าวหลานหยู่ในสถานการณ์ตอนนี้มิกล้าสร้างปัญหาอันใด
อันหลิงเกอปาดน้ำตาและกล่าวว่า “วันนี้หม่อมฉันอยากเตรียมของขวัญให้พระองค์แต่มิมีผู้ใดรู้ว่าจะโดนเข้าใจผิดเยี่ยงนี้เพคะ ! ”
“พระชายามู่อย่าลำบากเพื่อข้าอีกเลย” เขาทอดถอนใจแล้วแสดงสีหน้าลำบากใจมากออกมา
“เยี่ยงนั้นก็ให้หม่อมฉันเขียนอักษรอยู่ในห้องหนังสือจนเสร็จเถิดเพคะ ! ”
จ้าวหลานหยู่ปรายตามองอันหลิงเกอด้วยแววตาสงสัยแต่มิได้ส่งเสียงอันใด อันหลิงเกอที่คุ้นชินกับความคิดของเขาย่อมรู้ดีว่านี่คือการปฏิเสธ
แต่นางก็ยังแกล้งทำโง่เขลาและยังแกล้งทำตัวน่าสงสารเพื่อดึงดันอยู่ต่อ
“เหตุใดพระองค์จึงตระหนี่เยี่ยงนี้เพคะ ? ” นางคว่ำปากเล็กน้อยด้วยความรู้สึกมิดี “หรือคิดว่าหม่อมฉันจะรื้อห้องหนังสือแห่งนี้เพคะ ? ”
“มิเชื่อใจคนของจวนอ๋องมู่หรือเพคะ ? ”
จ้าวหลานหยู่เม้มปากแล้วทอดถอนใจออกมาพร้อมใบหน้าที่ผ่อนคลาย “ช่างเถิด ข้าจะรอเจ้าเขียนอักษรจนเสร็จ”
“ได้เพคะ” ดวงตานางแดงก่ำพลางกลับเข้าไปหน้าโต๊ะหนังสือ
จ้าวหลานหยู่เก็บความอ่อนโยนบนใบหน้า ก่อนกล่าวเตือนด้วยแววตาสงสัย “พระชายามู่ต้องระวังหน่อย มิควรแตะต้องของส่วนตัวข้าดีกว่า ! ”
“หม่อมฉันเขียนเสร็จแล้วจักรีบไปทันทีเพคะ ! ”
กล่าวจบ อันหลิงเกอก็รีบไปยังหน้าโต๊ะจากนั้นก็เขียนอักษรพลางดันแผนที่เมื่อครู่เข้าไปข้างใน
หลังเขียนเสร็จนางก็นำตัวอักษรที่เขียนแล้วกางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็กลับไปโดยมิหันไปมอง
ในห้องหนังสือ นัยน์ตาของจ้าวหลายหยู่ฉายแววลึกล้ำ เมื่อปิดประตูห้องหนังสือแล้ว ก็ทำการคลี่กระดาษซวนอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นแผนที่แผ่นนั้นยังอยู่ที่เดิมจึงวางใจ
บางทีเขาอาจคิดมากไปเองจริง ๆ
เมื่อทูลลาองค์ชายเจ็ดแล้ว หลายวันหลังจากนั้นหลี่กุ้ยเฟยก็ให้ประสูติองค์ชายตัวน้อยซึ่งคลอดเร็วกว่ากำหนดไปเจ็ดวัน พอได้ยินว่าร่างกายของเด็กอ่อนแอ ฮ่องเต้จึงจัดให้ครอบครัวฝ่ายหญิงในเมืองหลวงมาร่วมกันอธิษฐานขอพร
มู่จวินฮานอยู่ข้างกายของอันหลิงเกอ ส่วนองค์ชายเจ็ดก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ของตนจึงได้แต่อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
หลิงเซียวที่อยู่ข้างกายขององค์ชายเจ็ดยังมองไปทางอันหลิงเกอด้วยสีหน้าเกลียดชังเพราะสำหรับนางแล้วจ้าวหลานหยู่ที่อภิเษกกับองค์หญิงแห่งชนเผ่าต้องมีความสัมพันธ์กับอันหลิงเกอด้วยแน่นอน
อันหลิงเกอย่อมตระหนักได้ถึงสายตาขององค์ชายเจ็ดและหลิงเซียว นางแค่ยกยิ้มเล็กน้อย สถานการณ์องค์ชายเจ็ดในตอนนี้มิได้รับความโปรดปรานเท่าไรนักจึงมิจำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก
ส่วนหลิงเซียวผู้นั้นยิ่งมิมีความเกี่ยวข้องอันใดกับตน คิดได้ดังนี้อันหลิงเกอจึงแค่ชำเลืองตามองปราดหนึ่งเท่านั้น
องค์ชายเจ็ดมองไปทางมู่จวินฮานและอันหลิงเกอที่นั่งรถม้ากลับด้วยกัน
หลี่กุ้ยเฟยนั่งรถม้าคันหลังสุด แต่เวลานี้นางจิตใจมิอยู่กับเนื้อตัวพลางเหม่อลอยตลอดทาง
แม้หลี่กุ้ยเฟยรู้ว่าอันหลิงเกอเชี่ยวชาญการแพทย์ แต่หากอีกฝ่ายมิยอมช่วยแล้วจักทำเยี่ยงไร
ทว่าหลี่กุ้ยเฟยก็รู้แก่ใจดี หากโอรสมิได้รับการรักษาก็เกรงว่ามีชีวิตอยู่แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น หมอหลวงได้แจ้งนางแล้วว่าเด็กคนนี้ร่างกายอ่อนแอมากคงอยู่ได้มิเกินหนึ่งเดือน
ในใจของหลี่กุ้ยเฟยยิ่งเจ็บปวดอย่างไร้อันใดเทียบเทียม บัดนี้นางมิได้รับความโปรดปรานจึงเหลือเพียงโอรสเท่านั้น
มิว่าอย่างไรก็ต้องขอความช่วยเหลือจากอันหลิงเกอให้ได้ หวังว่าอีกฝ่ายมินึกถึงความเกลียดชังในอดีตแล้วช่วยรักษาบุตรของนางก่อน
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลี่กุ้ยเฟยจึงตัดสินใจว่าแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม
บัดนี้จ้าวหลานหยู่มิได้รับความโปรดปราน นางจึงต้องเสี่ยงคลอดบุตรคนนี้ออกมา มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องให้เขาได้ครองบัลลังก์ !
หลังกลับมาถึงจวน เพราะร่างกายของอันหลิงเกอยังมิแข็งแรงมากพอ มู่จวินฮานจึงมิพานางออกไปไหนเลย หลี่กุ้ยเฟยจึงไร้โอกาสเข้าใกล้แต่เมื่อนึกถึงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่หมอหลวงได้กล่าวไว้ บัดนี้ได้ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน
นางจึงยิ่งร้อนใจ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบมิมีโอกาส อาการบาดเจ็บของอันหลิงเกอดีขึ้นบ้างก็ผ่านไปอีกเจ็ดวันแล้วในใจของหลี่กุ้ยเฟยร้อนรนยิ่งกว่าไฟ อึดใจเดียวก็รอมิได้แล้วนางจึงรีบตรงไปยังจวนอ๋องมู่ทันที
“ได้โปรดเถิด พระชายาช่วยข้าด้วย ! ” ทันทีที่หลี่กุ้ยเฟยเห็นอันหลิงเกอก็คุกเข่าลงข้างประตูเรือนทันใด เดิมทีชิงเฟิงจะเข้ามาขวางไว้แต่ก็เห็นหลี่กุ้ยเฟยคุกเข่าอยู่ในที่ไกล อันหลิงเกอรู้ดีว่าครั้งนี้อีกฝ่ายคงมิได้เล่นสกปรกอันใดอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็ไร้ลูกน้องติดตามมาด้วย หลี่กุ้ยเฟยเพียงคนเดียวคงทำร้ายนางมิได้
“ให้เข้ามาเถิด” อันหลิงเกอโบกมือไปมาแล้วส่งสัญญาณให้พวกเขาหยุดขวาง หลังจากหลี่กุ้ยเฟยเข้ามาข้างในได้ก็คลานเข้ามากอดขาอันหลิงเกอทันที
อันหลิงเกอเห็นเยี่ยงนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าหลี่กุ้ยเฟยเคยทำร้ายนางแต่คิดแล้วเวลานี้คงมิกล้า ทว่ายอมคุกเข่าลงใต้เท้าของนางเพื่ออันใด
“มีเรื่องอันใดหรือเพคะ ? ” อันหลิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย นางมิรู้ว่าหลี่กุ้ยเฟยเป็นอันใดจึงมิกล้าวางใจแล้วรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความระวัง
“ได้โปรดช่วยโอรสของข้าด้วยเถิด องค์ชายเกิดมาร่างกายอ่อนแอ หมอหลวงก็หมดปัญญารักษา ข้าจึงมาขอความช่วยเหลือจากพระชายามู่ ! ”
เมื่อหลี่กุ้ยเฟยเห็นอันหลิงเกอหลบหลีกตนเองจึงรีบบอกจุดประสงค์ทันทีเพราะกลัวว่าจะถูกไล่ อันหลิงเกอได้ยินก็อดสงสัยมิได้
หมอหลวงในวังล้วนจนปัญญาแล้วหรือ ?
ทว่าในเวลานี้ชิงเฟิงมองไปทางหลี่กุ้ยเฟยด้วยสีหน้ามิเชื่อ เมื่อหลี่กุ้ยเฟยเห็นอันหลิงเกอและคนอื่นมิเชื่อตนเองจึงรีบกล่าวอย่างร้อนใจ
“พระชายามู่ ก่อนหน้านั้นเราสองมีความแค้นเคืองอันใดต่อกัน แล้วข้าได้ทำเรื่องที่ไร้จิตสำนึกมากมายก็เพื่อพี่สาว ตอนนี้ผลกรรมมาตกอยู่บนตัวขององค์ชายแล้ว ข้าจึงหวังเพียงว่าเจ้าจะช่วยเหลือเขา”