ตอนที่ 478 เข้าข้างตนเอง
“ท่านต่างหากที่โง่ ! ” อันหลิงเกอโต้กลับพร้อมชำเลืองมองเขาอีกครั้ง “ท่านอ๋องเข้าข้างตนเองเก่งเสียจริง”
มู่จวินฮานมิใส่ใจ “ข้ามิได้เข้าข้างตนเอง พระชายามิรู้เลยหรือ ? ”
“เรื่องอันใดเจ้าคะ ? ” คิ้วโค้งงามดั่งกิ่งหลิวของนางเลิกสูง มู่จวินฮานจึงยิ้มเยาะออกมาเบา ๆ
“ท่าน คำพูดสั้น ๆ ของท่านกำลังกดดันข้า มู่จวินฮานช่างเลวทรามจริง ๆ ” อันหลิงเกอกล่าวด้วยความขุ่นเคือง
มู่จวินฮานเลิกคิ้วสูง ก่อนยกยิ้มและกล่าวออกไป “นี่มิใช่ครั้งแรก ดังนั้นเจ้าควรคุ้นชินได้แล้ว”
“ปากร้ายเยี่ยงท่าน ข้าสู้มิได้หรอกเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอนำขวดยาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมายัดใส่มือของเขา จากนั้นกระแอมไอเบา ๆ “อย่าลืมจัดการบาดแผลตนเองด้วยเจ้าค่ะ ! ”
มู่จวินฮานอมยิ้ม “ข้าจักจำไว้”
เมื่อมู่จวินฮานกลับเข้าห้องหนังสือก็มีชายชุดดำผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของตู้หนังสือ ไอสังหารจากตัวแผ่ซ่านออกมา เมื่อปรากฏตัวต่อหน้ามู่จวินฮานแล้ว เขาก็ตวัดกระบี่เก็บเข้าฝักพร้อมโค้งคำนับ “คารวะท่านอ๋องขอรับ”
“ตรวจสอบเป็นเยี่ยงไร ? ”
“ได้ความคืบหน้าบางส่วนว่าองค์ชายเจ็ดจะลงมือเร็ว ๆ นี้ขอรับ”
มู่จวินฮานจ้องเขม็งไปบนกระดาษในมือ นิ้วชี้เคาะโต๊ะเบาๆ ราวกับชั่งใจอันใดบางอย่าง
“อีกทั้งครั้งนี้ข้าน้อยได้พบว่า…” ชายชุดดำเอ่ย
“หืม ? ”
ชายชุดดำเอ่ยอย่างลังเล “ดูเหมือนคนของพระชายาก็กำลังตามสืบเรื่องขององค์ชายเจ็ดด้วยขอรับ”
แม้นัยน์ตาของมู่จวินฮานฉายแววตกใจออกมาวูบหนึ่ง แต่ใบหน้าของเขายังสงบนิ่งราวกับเป็นเรื่องที่คาดคิดไว้แล้วก็มิปาน เขามองไปยังพู่กันหยกเขียวบนโต๊ะด้วยสายตาคมกริบและกล่าวออกไปอย่างเนิบ ๆ “เป็นลูกน้องที่เคยอยู่ในจวนโหวอันของนางใช่หรือไม่ ? ”
“ยังมิแน่ใจแต่อาจใช่ขอรับ”
มู่จวินฮานยกยิ้มแล้วถอนหายใจออกมายาว ๆ “โชคดีที่ข้างกายของนางมีคนคอยปกป้องอยู่”
“ดูท่าแล้วคนเหล่านั้นจงรักภักดีมากและสามารถจัดการเรื่องราวได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยขอรับ” ชายชุดดำขยายความ
มู่จวินฮานปรายตามองเขาปราดหนึ่ง
“ออกไปได้”
เมื่อชายชุดดำจากไป มู่จวินฮานจึงหยิบขวดยาที่อันหลิงเกอให้ออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อและมองมันด้วยแววตาแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
ชิงเฟิงเคาะประตูทำลายความคิดของมู่จวินฮาน ก่อนกล่าวออกมาด้วยเสียงดังว่า “เรียนท่านอ๋อง ทหารในวังรายงานมาว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านอ๋องเข้าวังโดยด่วนขอรับ”
อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าปัญหาที่ตนก่อขึ้นในจวนจะทำให้หลี่กุ้ยเฟยเป็นกังวลนานหลายวัน สุดท้ายจึงปรึกษากับฮ่องเต้และฮองเฮาเพื่อกำหนดเรื่องงานหมั้นหมายขององค์ชายเจ็ด เดิมทียังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนแต่มีการเปลี่ยนแปลงให้เลื่อนมาจัดงานในวันมะรืนนี้
องค์ชายเจ็ดก็มิกล้าคัดค้านจึงแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึกออกมา ราวกับว่ามิใช่เรื่องของตนเอง
ส่วนสาเหตุที่ต้องจัดให้เร็วขึ้นเป็นเพราะหลี่กุ้ยเฟยหวังให้ตำแหน่งขององค์ชายเจ็ดถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการ
อ๋องมู่กำลังวางแผนทำอันใดบางอย่างกับพระชายามู่ นางจึงต้องการให้โอรสปีนป่ายขึ้นไปสูงกว่าให้ได้
ก่อนหน้านั้นองค์ชายเจ็ดเคยอภิเษกกับบุตรีของแม่ทัพหลิง บัดนี้ถึงเวลาหาผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการได้แล้ว
“ทางด้านชนเผ่า องค์หญิงที่มาจากตระกูลของอี้หวางเฟยนั้นแม่ได้เลือกให้เจ้าแล้ว”
หลี่กุ้ยเฟยก็อยากรู้เช่นกันว่าหากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูอันหลิงเกอ คงเป็นการเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนกว่าเดิม
แม้องค์ชายเจ็ดเคยช่วยเหลืองานราชการของฮ่องเต้ แม้ได้รับการไว้วางพระทัยอยู่มิน้อยแต่ก็ไร้อำนาจโดยแท้จริง
วันนี้เป็นงานหมั้นหมาย ต่อไปก็ต้องเลือกวันมงคลสำหรับงานอภิเษก ฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนประทับอยู่ในจวนเจียงอ๋องและมีการเชิญครอบครัวขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาอีกมิน้อย
องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ได้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก แต่ละคนล้วนอยากปีนป่ายขึ้นเป็นว่าที่ภรรยาขององค์ชายเจ็ดตามความประสงค์ของครอบครัวทั้งสิ้น
“นึกมิถึงว่าพระชายาก็มาด้วย คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นคงทำให้พระชายาอารมณ์ขุ่นเคืองหลายวันเจ้าค่ะ” หลิงอวี่หนิงรุดหน้าเข้ามาหาเรื่อง
น้องสาวของหลิงอวี่หนิงเป็นเช่อเฟยอยู่ในจวนเจียงอ๋อง นางต้องมาเข้าร่วมพิธีอยู่แล้ว
อันหลิงเกอมิปรายตามองราวกับว่ามิได้อยู่ในสายตาสักนิด ก่อนค่อย ๆ กล่าวออกไป “เหตุใดข้าจึงมิกล้ามาหรือ ? คิดว่าคนในใต้หล้าล้วนคล้ายคลึงกับเจ้าว่าหากมิได้แต่งกับอ๋องมู่ก็จะฆ่าตัวตายในจวนบิดาน่ะหรือ”
หลิงอวี่หนิงโกรธจนต้องกำหมัดแน่น เหตุใดอันหลิงเกอจึงรู้เรื่องที่น่าอับอายในตอนนั้นของนาง
“อย่าลืมว่าเจ้าจะด้อยกว่าผู้อื่นทันที หากได้เป็นอนุภรรยา ! ” อันหลิงเกอเดินเยาะเย้ยอย่างมิเกรงใจ
อวี๋หมิงหลันเหมือนทนดูมิได้จึงเข้าไปขวางอันหลิงเกอไว้และกล่าวว่า “พระชายาทำเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เหตุใดถึงกล่าวเยี่ยงนี้กับอวี่หนิง พวกเราเป็นพี่น้องในจวนเดียวกัน พระชายามิควรแสดงมารยาทเยี่ยงนี้เจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าอันใดนะ ? ” อันหลิงเกอหรี่ตามองและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าพูดความจริง เจ้าได้ยินการดูหมิ่นจากในคำพูดของข้าหรือ ? ”
อวี๋หมิงหลันจึงชะงักทันใด จากนั้นก็กล่าวอย่างขุ่นเคืองใจ “ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของอวี่หนิง พระชายากล่าวออกมาต่อหน้าทุกคนเยี่ยงนี้ก็เท่ากับทำลายชื่อเสียงของนางเจ้าค่ะ”
“ก่อนหน้านี้ข้าเหลือบไปเห็นพวกเจ้าคุยกันอย่างสนุกปากจากที่ไกลแล้ววิจารณ์เรื่องของข้าได้ตามใจชอบ มิถือว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงด้วยหรือ ? ”
“พระชายาทำตัวเป็นสตรีชอบหึงหวงเวลาอยู่นอกจวน ในเมื่อท่านมิต้องการชื่อเสียงของตนแล้ว พวกเชี่ยเซินยังกล่าวอันใดได้เล่า ? ” หลิงอวี่หนิงโต้กลับด้วยตาแดงก่ำ
อันหลิงเกอยกยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นที่ข้ากล่าวก็เป็นความจริง เหตุใดเจ้าจึงมิยอมรับ ? ” เมื่อกล่าวจบนางก็หยุดไปชั่วครู่ จากนั้นนัยน์ตาก็ฉายแววดุร้ายออกมา “หรือเจ้าคิดว่าข้ากล่าวผิดตรงไหน ? เจ้าอยากช่วยเสริมเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เมื่อเห็นสีหน้าของหลิงอวี่หนิงคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ อันหลิงเกอจึงหยุดไว้แค่ตรงนี้มิได้กล่าวจนจบ นางได้แต่ตบไปบนไหล่ของหลิงอวี่หนิงและพูดอย่างมีความหมายแอบแฝง “ในเมื่อเจ้าแต่งงานเข้ามาในจวนอ๋องแล้ว ทางที่ดีก็ควรสงบเสงี่ยมเจียมตัว มิควรมาหลอกล่อด้วยกลอุบายไร้ประโยชน์เยี่ยงนี้อีก”
กล่าวจบ อันหลิงเกอก็เดินจากไป
หลิงอวี่หนิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางดีใจที่อันหลิงเกอมิได้พูดต่อ จากนั้นก็หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความอึดอัดใจ “เหตุใดพระชายามิเห็นเราอยู่ในสายตาเลย ! ”
อวี๋หมิงหลันส่ายหน้าพร้อมมองไปยังแผ่นหลังของอันหลิงเกอด้วยแววตาลุ่มลึก “หลายวันมานี้ท่าทางของนางดูแปลกไป”
“อย่าไปสนใจนาง ! ” หลิงอวี่หนิงมิได้ใส่ใจ “นางแค่นำพวกเรามาระบายอารมณ์เท่านั้น”
เนื่องจากเคยมาเยี่ยมเยือนจวนเจียงอ๋องแล้วจึงค่อนข้างคุ้นชินทาง อันหลิงเกอเดินไปตามถนนที่ทอดยาวไปยังห้องหนังสือของจ้าวหลานหยู่
หลังจากลอบสังเกตจากที่ไกลจนมั่นใจว่ามิมีผู้ใดเฝ้าอยู่หน้าประตู อันหลิงเกอจึงหรี่ตาลง แสร้งทำตัวปกติแล้วผลักประตูห้องหนังสือเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาต
ประตูถูกผลักออกและด้านในว่างเปล่าไร้ผู้ใด
อันหลิงเกอเรียกออกไป “เจียงอ๋องเพคะ ? ”
ในเมื่อไร้เสียงผู้ใดตอบรับ อันหลิงเกอจึงยกชายกระโปรงย่างเท้าเข้าไปในห้องหนังสือ สายตาของนางเหลือบเห็น*กระดาษซวนที่เปิดกางอยู่บนโต๊ะตัวยาว
แผนที่เฝ้าระวังในวังหลวง !
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก อันหลิงเกอจึงรีบวางกระดาษซวนแผ่นนั้นลงและรีบดึงกระดาษอีกแผ่นออกมาอย่างรวดเร็ว นางหยิบพู่กันที่ยังมิแห่งสนิทขึ้นมาเขียนด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“ผู้ใดบังอาจเข้ามาในห้องหนังสือเจียงอ๋องของเรา ! ” เสียงผู้ติดตามขององค์ชายเจ็ดดังขึ้น
เขารีบวิ่งเข้ามาดูแต่มิคาดคิดว่าจักเป็นอันหลิงเกอ เขาจึงตื่นตระหนกแล้วกล่าวอย่างอาย ๆ ว่า “เหตุใดพระชายามู่ถึงเข้ามาในนี้ขอรับ ฮองเฮาและมู่เหล่าหวางเฟยเรียกหาท่านอยู่ข้างนอกขอรับ”
“วันนี้ข้ามิได้นำของขวัญติดตัวมาด้วย ข้าจึงอยากเขียนอักษรเพื่อเป็นของขวัญแด่องค์ชายเจ็ด”
หากมู่จวินฮานมิยอมแต่งงานกับองค์หญิงจากชนเผ่าผู้นี้ อีกฝ่ายคงตกมาอยู่ในมือขององค์ชายเจ็ดเป็นแน่
…
*กระดาษซวน หรือ ซวนจื่อ เป็นกระดาษสีขาวที่มีลักษณะลื่นและนุ่มยากจะยับและเน่าเปื่อย ใช้สำหรับเขียนตัวอักษรจีนและวาดภาพในสมัยโบราณ