ตอนที่ 477 แสดงตนอย่างเปิดเผย
“ค่อยสมเป็นเจ้า” มู่จวินฮานหัวเราะออกมา “การร้องไห้มิใช่นิสัยของเจ้าสักนิด การรับมือกับองค์ชายเจ็ดนั้น หากเจ้าเต็มใจก็ทำอย่างกล้าหาญ มิต้องทำตัวลับล่อ ส่วนข้าจักคอยเฝ้าระวังหลังให้ และเจ้าสามารถใช้อำนาจของพระชายามู่ได้อย่างเปิดเผย ! ”
ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็ตกอยู่ในภวังค์ การร้องไห้มิใช่นิสัยของนางจริง ๆ แต่เมื่อถึงจุดนั้นนางกลับมิได้อารมณ์เสีย นางถอยหลังไปสองก้าวพร้อมสีหน้ามึนงง “มิกล้าเจ้าค่ะ”
องค์ชายเจ็ดหากนางทำตามที่มู่จวินฮานกล่าวจริงก็ถือว่าเป็นการต่อสู้อย่างเปิดเผยและย่อมเป็นวิธีเหมาะสมที่สุดแน่นอน
ทว่า…
หากเป็นเยี่ยงนี้ก็เกรงว่าคนในวังจักเพิ่มการเฝ้าระวังต่อสองสามีภรรยามากขึ้น และหากโจมตีมิสำเร็จ ด้านหลี่กุ้ยเฟยต้องคอยเป่าหูฮ่องเต้เป็นแน่ เกรงว่าถึงตอนนั้นฮ่องเต้คงจับพวกตนทำเป็นอาหารเสียมากกว่า
ในระหว่างที่อารมณ์ของนางกำลังเศร้าหมอง มู่จวินฮานกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาหัวเราะจนอันหลิงเกองุนงง จากนั้นนางก็กระชากคอเสื้อเขาเข้ามา “ท่านเห็นข้าขลาดกลัวจึงดีใจหรือเจ้าคะ ! ”
“ข้าหัวเราะที่เจ้าพูดว่ามิกล้าต่างหาก ในใต้หล้านี้ยังมีเรื่องที่เจ้ามิกล้าทำ เหลือเชื่อเสียจริง” มู่จวินฮานตบไปบนเสื้อผ้าที่ถูกอันหลิงเกอขยำจนเกิดรอยยับ “ได้ยินว่าช่วงวัยเด็ก เกอเอ๋อกล้าสั่งสอนน้องสาวที่อยู่ในจวนอย่างกล้าหาญ”
อันหลิงเกอกัดริมฝีปาก เหตุใดเขาต้องเอ่ยถึงเหตุการณ์ในอดีตเหล่านั้นด้วย ?
“อืม…คุณหนูผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างรู้ดีจึงไร้ผู้ใดกล้าล่วงเกินคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวอัน ! ”
“นอกจากนี้ยังมี…”
แท้จริงแล้วในช่วงเวลานั้นนางเพิ่งกลับชาติมาเกิดใหม่ นางจึงต้องทำตัวให้เหมือนกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนามคม
“หยุดพูด ! ” อันหลิงเกอเขย่งปลายเท้าขึ้นมาปิดปากของมู่จวินฮานเอาไว้ “สุภาพบุรุษมิควรเอ่ยถึงความกล้าหาญในครานั้นเจ้าค่ะ ! ”
มู่จวินฮานปล่อยให้มืออ่อนนุ่มปิดปากของตนไว้ ดวงตาของเขาลดต่ำลงเล็กน้อยแล้วมองหญิงสาวที่มีดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธ
มิรู้เหตุใดมู่จวินฮานจึงรู้สึกว่าทุกครั้งที่เหลือบมองท่าทางเอาแต่ใจของนางก็มักมีความสุขอยู่เสมอ
เขายิ้มเยาะออกมาเบา ๆ แล้วเป่าลมร้อนลงบนฝ่ามืออ่อนนุ่มของนาง ร่างกายของอันหลิงเกอสั่นไปทั่วทั้งทันทีแล้วดึงมือกลับ
นางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เช็ดฝ่ามือบนเสื้อของมู่จวินฮานด้วยความรังเกียจ “น้ำลาย ! ”
“รังเกียจหรือ ? ” มู่จวินฮานเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยแล้วถามด้วยน้ำเสียงแฝงความอันตราย
แต่อันหลิงเกอมิได้ตระหนักถึงอันตรายนั้นเลย นางยังถูมืออย่างจริงจัง ปากก็พล่ามว่ามิมีวันให้อภัยเขา “ก็ อือ…”
อีกฝ่ายประกบริมฝีปากลงมาโดยนางมิทันได้ตั้งตัว อันหลิงเกอได้แต่ตกตะลึงแล้วยืนโง่งมอยู่ที่เดิม ร่างกายแข็งทื่อ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นเรื่อย ๆ มันแดงจนลามไปถึงใบหูเลยทีเดียว
ยังอยู่ในสวนดอกไม้!
“ท่าน ท่านไร้ยางอายเกินไปแล้ว ! ” อันหลิงเกออัดอั้นตันใจเป็นนานสองนานจึงได้เอ่ยประโยคนี้ออกมา จากนั้นนางก็หันไปเช็ดปากแล้วมิกล้าเหลือบมองเขาอีก
“หากพระชายายังคิดตรวจสอบก็ลองไปดูในจวนเจียงอ๋องสิ ! ”
ดวงตาสุกใสของมู่จวินฮานฉายแววเจ้าเล่ห์วูบหนึ่ง อันหลิงเกอจึงเข้าใจได้ทันที
ในสายตาขององค์ชายเจ็ดคือรู้สึกประหลาดใจต่อนางมาโดยตลอด กอปรกับความสามารถของอันหลิงเกอที่องค์ชายเจ็ดยังมิรู้ทั้งหมดจึงเตรียมการป้องกันจากนางแล้วก็ได้
และก็เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ การมาเยือนของอันหลิงเกอนี้จ้าวหลานหยู่ได้แสดงท่าทีสุภาพออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขานำทางอันหลิงเกอไปยังศาลาขนาดเล็กที่มีขนมจัดวางไว้บนโต๊ะหลากหลายชนิด
“ในจวนมีแต่ขนมเหล่านี้ พระชายามู่มิชอบเลยหรือ ? ” จ้าวหลานหยู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดุจหยกเลอค่า
อันหลิงเกอส่ายหน้า ก่อนคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย จากนั้นก็สนทนาเรื่องนั้นเรื่องนี้กับจ้าวหลานหยู่ ส่วนอีกฝ่ายก็มักเมินเฉยโดยมิทราบสาเหตุเสมอ
หลังเอ่ยลากับจ้าวหลานหยู่เสร็จแล้ว อันหลิงเกอก็กลับเข้ามาในจวนอ๋องมู่ ก่อนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ นางได้เหลือบมองไปยังหน้าประตูห้องซึ่งไร้เงาของชิงเฟิง นางจึงคว้าตัวบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างมาถาม “ท่านอ๋องอยู่ที่ใด ? ”
บ่าวผู้นั้นรีบตอบกลับ “พอท่านอ๋องกลับจวนก็ถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงอีกขอรับ”
“แค่เขาคนเดียว มิได้เรียกข้าเข้าวังด้วยหรือ ? ”
บ่าวพยักหน้าส่งผลให้คิ้วโก่งคู่งามของอันหลิงเกอขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน สุดท้ายก็กลับเรือนโดยมิคิดอันใดมาก
“พระชายาเป็นอันใดหรือเจ้าคะ ช่วงนี้มักเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง” หมิงซินยกอ่างสำหรับล้างหน้าเข้ามา เมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยของอันหลิงเกอแล้วจึงถามขึ้นมามิได้
อันหลิงเกอปัดมือไปมาด้วยความลนลาน น้ำเสียงแข็งกร้าวตำหนิออกไป “ข้ามิได้เป็นอันใด ! ”
หมิงซินเม้มปาก พยักหน้าและกล่าวว่า “พระชายามิได้เป็นอันใดก็มิเป็นอันใดเจ้าค่ะ น้ำกำลังอุ่นเลย บ่าวล้างเนื้อล้างตัวให้พระชายานะเจ้าคะ ดึกแล้วก็ถึงเวลาพักผ่อนเจ้าค่ะ”
“ยามใดแล้วหรือ ? ” อันหลิงเกอเหลือบมองไปยังหน้าต่างที่เปิดเพียงครึ่งเดียว
“ยามจื่อ ( 23.00 – 24.59 น. ) แล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเช็ดหน้าแต่สายตายังเหม่อมองไปข้างนอก หมิงซินเห็นท่าทางเยี่ยงนั้นจึงเดินไปปิดหน้าต่างบานนั้นเสีย “ท่านอ๋องกลับมาหรือยัง ? ”
“ท่านอ๋องยังมิกลับเจ้าค่ะ”
คิ้วโก่งงามของอันหลิงเกอขมวดเข้าหากันแล้วพูดด้วยความมิสบายใจเล็กน้อย “คงไปพบนักขับร้องสาวผู้นั้นอีกแล้ว ! ”
“บ่าวฟังจากชิงเฟิงแล้วพบว่าท่านอ๋องยังอยู่ในวังเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอจึงกล่าวอย่างสงสัย “เขาทำอันใดอยู่ในวัง เหตุใดจึงนานเยี่ยงนี้”
“เรื่องนี้บ่าวเองก็มิทราบ บางทีอาจมีเรื่องยุ่งในราชสำนักก็ได้เจ้าค่ะ” หมิงซินตอบ
“ทว่าช่วงนี้ฮ่องเต้ยังมิได้มอบหมายเรื่องด่วนอันใดให้แก่เขา” อันหลิงเกอนั่งกระสับกระส่ายเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางเยี่ยงนี้หมิงซิงก็รู้สึกแปลกใจ
“พระชายามีเรื่องต้องการพบท่านอ๋องหรือเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกองุนงงเล็กน้อย ก่อนตีหน้าตึงและกล่าวว่า “แค่ถามไปเรื่อยเปื่อย”
หมิงซินจึงยิ้มเจื่อน หลายวันมานี้พระชายามักแสดงท่าทางต่อต้านท่านอ๋องเสมอ แต่มองไปแล้วก็น่ารักมิน้อย
เห็นกันอยู่ว่าเป็นห่วงท่านอ๋องเต็มหัวใจ แต่มิยอมเอ่ยปากออกไป
พอล้างหน้าเสร็จก็นั่งพักอีกชั่วครู่ จู่ ๆ อันหลิงเกอก็ถามขึ้นมาโดยฉับพลัน “เขากลับมาแล้วหรือ ? ”
“ยังมิกลับเจ้าค่ะ ฟ้ามืดแล้วคงมิกลับมาเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอพลิกตัวไปอีกด้านอย่างฉุนเฉียวและกล่าวด้วยความอึดอัดใจ “เช่นนั้นก็ให้เขาค้างข้างนอกไปเลย ! ”
รุ่งสางของอีกวัน อันหลิงเกอตื่นขึ้นมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แท้จริงแล้วนางมีเรื่องให้ครุ่นคิดจึงทำให้นอนมิค่อยหลับ
หลังลุกจากเตียงยังมิทันได้ล้างหน้าบ้วนปาก นางก็เดินไปยังทิศทางของห้องหนังสือทันที เมื่อเหลือบเห็นชิงเฟิงก็รู้สึกโล่งใจโดยมิทราบสาเหตุ
“คงกลับมาแล้วกระมัง” อันหลิงเกอพึมพำเสียงเบา
จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงสดใสที่คุ้นหูดังขึ้น “ข้ากลับมาแล้ว”
“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมามิให้สุ้มเสียงเจ้าคะ ? ”
“เห็นได้ชัดว่าพระชายากำลังเหม่อลอยอยู่” มู่จวินฮานยื่นมือไปปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าของอันหลิงเกอ ยิ้มและกล่าวว่า “ได้ยินว่าเมื่อคืนพระชายาเป็นห่วงข้า มิใช่รังเกียจที่ข้ามิเอาอกเอาใจเจ้าแล้วหรือ ? ”
“ไร้ยางอายยิ่งนัก ! ” ดวงตากลมโตของอันหลิงเกอมองมู่จวินฮานอย่างดุร้าย แต่เมื่อเห็นใต้ตาดำคล้ำของเขา นางจึงใจอ่อนจากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เมื่อคืนท่านไปทำอันใด ฮ่องเต้จับผิดท่านอีกแล้วหรือเจ้าคะ ? ”
มู่จวินฮานตอบ “สานต่อพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น”
อันหลิงเกอมิรู้เรื่องราวในราชสำนักมากนัก แต่นางได้ยินว่ายุ่งเหยิงและเข้าใจยาก
“ท่านอ๋องยุ่งอยู่คนเดียวหรือเจ้าคะ ? ”
มู่จวินฮานยิ้ม “เด็กโง่ ขุนนางส่วนใหญ่ต้องอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว ฮ่องเต้เรียกข้าเข้าไปฝึกทหารและมิพ้นให้คำปรึกษาตามปกติ”