ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 297 ฝันไปเถอะพวกเจ้า!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

กลางท้องฟ้า ธารแสงสายหนึ่งทอดข้ามมา

ขณะเดียวกับที่เยี่ยนจ้าวเกอเร่งไปทางคูเมืองที่เป็นตำแหน่งคน สือเถี่ยก็พาสวีเฟยเร่งเดินทางไปยังสถานที่ที่เป็นตำแหน่งฟ้าเช่นกัน

สือเถี่ยห้อตะบึงไปตามเส้นทาง ฉับพลันนั้นประกายตาฉายแวบ มองไปยังที่ไกลออกไป

บริเวณทิศนั้น เขารู้สึกถึงพลังปราณอันดุดันมุทะลุและแกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งปรากฏผลุบโผล่ ไม่ได้แปลกใหม่แต่อย่างใด คล้ายว่าเป็น ‘ราชันมังกร’ ซือหม่าฉุย

อีกฝ่ายคล้ายกับสังเกตเห็นการมีอยู่ของสือเถี่ยเช่นกัน ทว่าดูเหมือนพะว้าพะวังในใจ หาได้กระชั้นเข้ามาไม่

สวีเฟยมองยังสือเถี่ย ฝ่ายสือเถี่ยละสายตากลับ กล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “เป็นซือหม่าฉุย”

“อาจารย์…” สวีเฟยมองดูแผลช่วงเอวของสือเถี่ยที่ยังคงมีอยู่ด้วยความเป็นกังวลอยู่บ้าง

สือเถี่ยสั่นศีรษะ “วางใจ ข้าไม่เป็นไร”

สวีเฟยไม่เอ่ยอะไรอีก หากแต่แววกังวลในดวงตา ไม่เห็นว่าลดน้อยลงไปแม้แต่นิด

ผู้เป็นอาจารย์นำเขารุดหน้าต่อไป หลังจากเดินทางไปได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็มองลงไปเบื้องล่าง

ที่ตรงนั้นมีเด็กชายอายุสิบเอ็ดสิบสองปีผู้หนึ่งกำลังต่อกรกับศัตรู

ถึงแม้จะยังเยาว์วัย แต่กลับมีพลังฝึกปรือระดับปรมาจารย์แล้ว เลือดลมทั่วกายยิ่งดุจมังกรดุจช้าง ประหนึ่งมังกรเด็กตัวหนึ่ง ฆ่าฟันคู่ต่อสู้ล้มระเนระนาด

แจ่มชัดว่าเป็นศิษย์ที่สือเถี่ยรับไว้เมื่อไม่กี่ปีนี้ อิงหลงถูนั่นเอง

อิงหลงถูในเวลานี้ยังดูตะลึงงันอยู่บ้าง ทว่าก็ใจจดใจจ่ออย่างหาที่เปรียบไม่ได้

แม้จะยังลงมือยังไม่ถึงขั้นโหดเหี้ยมอำมหิตสุดขีดขนาดนั้น กระนั้นก็จำคำสั่งสอนของเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงขึ้นใจ ว่าความเมตตาต่อศัตรู ก็คือความหฤโหดต่อตนเช่นกัน

อิงหลงถูกต่อยหมัดหนึ่งคู่ต่อสู้ผู้หนึ่งกระเด็น ดึงความสนใจของศัตรูที่พลังฝึกปรือสูงกว่า

ศัตรูถลามาทางเขา ทว่าคนเพิ่งถึงกลางทาง ทั้งสรรพางค์กายก็แข็งทื่อ เป็นอัมพาตล้มพับกับพื้น ขาดใจโดยพลัน

จอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตคนอื่นรอบๆ ต่างก็ลงสนามรบเช่นเดียวกัน

จอมยุทธ์ปรมาจารย์เหล่านี้ สือเถี่ยไม่จำเป็นต้องออกมือ เพียงแค่พลังปราณและเจตจำนงหมัด ก็สามารถสั่นสะท้านพวกเขาให้สิ้นใจตายคาที่ได้อย่างง่ายดาย

อิงหลงถูสัมผัสถึงพลังปราณของอาจารย์ตน จึงแหงนหน้ามองไป บนดวงหน้าพลันเผยรอยยิ้มอันเบิกบานออกมา

“ไปพร้อมกัน” สือเถี่ยไม่เอ่ยมากความ ม้วนเอาอิงหลงถูพาไปด้วยกันทันใด ฝีเท้าไม่หยุดนิ่ง ห้อตะบึงไปยังจุดมุ่งหมายอย่างต่อเนื่อง

เด็กชายมองสือเถี่ยและสวีเฟยด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ ศิษย์พี่ มีศัตรูจำนวนมากบุกโจมตีไปบนเขาแล้ว…”

สวีเฟยเอ่ย “ฮานหลงเอ๋อร์ทำใจให้สบาย ตอนนี้พวกเรากำลังรับมือพวกเขาอยู่”

อิงหลงถูออกแรงผงกศีรษะ

ศิษย์อาจารย์ทั้งสามเหินบินไปตามเส้นทาง ไม่นานนักก็ไปถึงเป้าหมาย อันเป็นตำแหน่งที่เยี่ยนจ้าวเกอบอกกล่าวก่อนหน้า

นี่คือยอดเขาแห่งหนึ่งนอกเขากว่างเฉิง สูงโดดตั้งตระหง่าน อยู่ในกลุ่มเขาทอดยาวโดยรอบ ราวกับจะแทงทะลุท้องนภา

สือเถี่ยลอยตัวลงบนปลายยอดเขานั่น ก่อนจะต่อยหมัดหนึ่งออกไป พลันบังเกิดเป็นแสงสุกสว่างหลากสายพรั่งพรู รวมตัวกลายเป็นอักขระยันต์มหึมายันต์หนึ่งบนยอดเขา

แสงสุกสว่างพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นลำแสงสายหนึ่งกลางนภาอากาศรำไร

มือของสือเถี่ยชูขึ้นด้านบน พาให้พายุลมงวงสายหนึ่งก่อตัวขึ้นโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง คลุมครอบยอดเขาเดียวดายลูกนี้ไว้

ด้วยการปกคลุมของพายุลมงวง โลกหล้ามีปราณวิญญาณหลากสายถูกดึงรวบรวมมายังที่แห่งนี้ตลอดเวลา ขณะที่อักขระยันต์บิดเบี้ยว ก็ค่อยๆ ขยายกลายเป็นค่ายกลค่ายหนึ่งที่เล็กนิดและยังลึกลับมหัศจรรย์ ลวดลายค่ายกลเปล่งแสงขาวสะอาดวามวาบ

บริเวณใจกลางที่ลวดลายค่ายกลจำนวนมากรวมตัว ปรากฏอักษรโบราณตัวหนึ่งออกมา

อักษรอันเก่าแก่โบราณ ความหมายของมัน คือ ‘ฟ้า’

สวีเฟยเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าตนควรลงมือ เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นทันควัน กดสองหมัดลงไปบนหินผาของยอดเขาพร้อมกัน

แสงวาวโรจน์ของยันต์อักษร ‘ฟ้า’ เปล่งประกายจ้าตาขึ้นในชั่วขณะนี้

อิงหลงถูยืนอยู่ข้างๆ อย่างมึนงงอยู่บ้าง มองดูการเคลื่อนไหวของอาจารย์และศิษย์พี่ของตนด้วยความใคร่รู้

แสงวาวโรจน์ที่ทอประกายจากลวดลายค่ายกลค่อยๆ เปลี่ยนจากสีขาวบริสุทธ์เป็นสีทอง ตามการผ่านพ้นของกาลเวลา

สือเถี่ยและสวีเฟยล้วนจิตใจฮึกเหิม หากพิจารณาตามวาจาของเยี่ยนจ้าวเกอ นี่แสดงให้เห็นว่าจวนจะประสบผลสำเร็จแล้ว

ถึงกระนั้นในยามนี้สือเถี่ยก็ยังรำพันอย่างสงบนิ่ง “ตามที่จ้าวเกอบอก สถานการณ์ในตอนนี้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ แล้ว”

สายตาของเขากวาดมองระหว่างสวีเฟยและอิงหลงถู “วิชารักษาคงไว้แม้ยังคงต้องการสองคน แต่พวกเจ้าทั้งสองสวีเฟยและหลงถูก็สามารถกระทำได้เช่นกัน เพียงแต่อาจจะใช้เวลานานอีกหน่อย”

สวีเฟยได้ยินแล้ว ม่านตาหดเล็กฉับพลัน “มีศัตรูจู่โจมมาหรือ?”

ดวงหน้าสือเถี่ยแน่วแน่ประหนึ่งก้อนหินใหญ่ สีหน้าไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย “มีคนเข้าใกล้มาที่นี่ และผู้มาเยือนไม่เป็นมิตร”

“ทั้งสาม ล้วนเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้ายทั้งสิ้น”

ครั้นสวีเฟยได้ยินแล้ว แววตาของเขาพลันสุขุมหนักแน่น หากแต่สีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมาเช่นกัน

สือเถี่ยเอ่ย “ข้าไปสกัดกั้นศัตรู สวีเฟยเจ้ารีบบอกวิธีกับหลงถู เจ้าเป็นคนนำแทนตำแหน่งข้า หลงถูคอยช่วยเหลือเจ้า”

เขามองสวีเฟยอย่างเอาจริงเอาจัง “องค์รวมเป็นสำคัญ จำเป็นต้องแน่ใจว่าจะชิงมหาค่ายกลนภากลับมาได้”

สวีเฟยปิดแววกังวลในดวงตาไว้ไม่มิด กระนั้นก็ไม่ได้กล่าวไร้สาระออกไปกว่านี้ สีหน้าของเขาจริงจังหนักแน่นหาที่เปรียบไม่ได้ สุดท้ายพ่นปราณขุ่นมัวออกมาคำหนึ่ง “ศิษย์จะทุ่มเทสติปัญญาเเละความสามารถ ตราบจนชีวิตหาไม่”

สือเถี่ยพยักหน้า ก่อนจะทะยานร่างกายออกจากยอดเขาไป

เขาห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ ออกห่างจากยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของยันต์อักษร ‘ฟ้า’ ให้มากที่สุด บุกไปยังศัตรูที่รุกรานเข้ามา

ไม่นานสือเถี่ยก็หยุดฝีเท้า ยืนค้างกลางอากาศ สายตามองไกลออกไปอย่างสงบเงียบ

บนเส้นขอบฟ้า ธารแสงสามสายระยับตามาถึงเบื้องหน้าสือเถี่ยอย่างรวดเร็ว

สือเถี่ยกวาดสายตาผ่านทั้งสามคนตรงหน้า สีหน้าไม่ทุกข์ไม่สุข สงบดุจน้ำนิ่ง “ทั้งสามท่าน ไม่พบกันนาน”

ศัตรูทั้งสาม เขาล้วนรู้จักดี

ผู้อาวุโสเคราสีเทาหนึ่งในนั้น สือเถี่ยยิ่งคุ้นเคยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพราะเขาคือผู้อาวุโสหวัง ฐานะเดิมสำนักเขากว่างเฉิง รุ่นอาวุโสเดียวกันกับหยวนเจิ้งเฟิง ซินตงผิงและคนอื่นๆ แม้กระทั่งเข้าสำนักเร็วยิ่งบุคคลที่กล่าวมาทั้งหมด

เนื่องด้วยการเปิดโปงของตำหนักอัสนีสวรรค์ ล่าสุดผู้อาวุโสหวังเผยฐานะไส้ศึกภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตออกมา เขามีตำแหน่งสูงที่สุดภายในเขากว่างเฉิงก่อนซินตงผิง นับได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด

ภายหลัง ผู้เฒ่าผู้นี้ถูกคุมขังอยู่ในหุบเขาผนึกเวหา

วันนี้ หลังจากซินตงผิงทำร้ายผู้อาวุโสสูงสุดกงแห่งหุบเขาผนึกเวหาอย่างหนัก ปล่อยนักโทษสถานหนักที่กักขังอยู่ในหุบเขาออกมา ก็มีผู้อาวุโสหวังผู้นี้เป็นคนนำทัพ

สือเถี่ยมองไป อดเกิดความรู้สึกรันทดไม่ได้ เพราะเห็นนัยน์ตาทั้งสองของผู้อาวุโสหวังออกเป็นสีเหลือง ยิงแสงโลหิตออกมา กลายเป็นมารเรียบร้อยแล้ว

ข้างกายผู้อาวุโสหวังเป็นผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่ง ผมขาว ใบหน้าแดงมีเลือดฝาด หากกลับไร้ซึ่งราศีแม้แต่น้อย กลายเป็นมารแล้วเช่นเดียวกัน

เขาจำคนผู้นี้ได้เช่นกัน เป็นผู้อาวุโสผู้จงรักภักดีต่อสำนักเขานิมิตทมิฬผู้หนึ่ง นามว่าหยางเนี่ย

เขานิมิตทมิฬในปัจจุบัน มียอดฝีมือมหาปรมาจารย์ขั้นที่เก้า ขั้นรูปญาณระยะท้ายทั้งหมดสองท่าน หนนี้บุกโจมตีเขากว่างเฉิงพร้อมกัน

หนึ่งคนในนั้นถูกจางคุน ผู้อาวุโสเก่าแก่สำนักเขากว่างเฉิง ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมโจมตีด้วยวิชาฝ่ามือนภากว่างเฉิง ตายตกไปภายในหนึ่งกระบวนท่า

หยางเนี่ยเป็นอีกคนหนึ่ง ยามนี้มาถึงเบื้องหน้าสือเถี่ยแล้ว

คนที่สามก็คือ ‘ราชันมังกร’ ซือหม่าฉุย ที่ประมือกับสือเถี่ยหลายครั้งก่อนหน้านี้

ผู้อาวุโสหวังมองสือเถี่ย ดวงหน้าเรียบเฉย สายตาซือหม่าฉุยกลับตกไปบนแผลที่ช่วงเอวของสือเถี่ย “สือเถี่ย ต่อให้ทั้งร่างเจ้าเป็นเหล็กจริง บัดนี้จะยังสามารถตอกตะปูได้อีกสักกี่ตัว?”

หยางเนี่ยมองสือเถี่ยอย่างเย็นเยียบ “เขากว่างเฉิงจะต้องดับสลายวันนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจหยุดยั้ง!”

ยอดฝีมือขั้นรูปญาณระยะท้ายทั้งสาม พลังกดดันอันน่าหวาดหวั่นครอบฟ้าคลุมดิน แทบจะทำให้อากาศแข็งตัว

สือเถี่ยหนึ่งต่อศัตรูสาม ทว่าสีหน้าก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยน เขายกแขนทั้งสองขึ้นอย่างสงบนิ่ง ซัดหมัดคู่หนึ่งของตนออกไป

แสงหนักแน่นดุจดั่งโลหะดังกึกก้องทั่วหล้า

“ฝันไปเถอะพวกเจ้า!”